สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1478 หวาดระแวง
ตอนที่ 1477 ต่อต้านศัตรู
เมื่อแม่ทัพกงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบนสุดได้ยินคำกล่าวนี้ อีกทั้งเห็นสีหน้าของเฉินชิ่งเซิงจึงเดาได้ทันทีว่าไข่มุกราตรีถูกขโมยไป เมื่อคิดได้ว่าชุยเฟิ่งเหนียนอุตส่าห์ให้เฉินชิ่งเซิงนำตำราเพลงพิณโบราณมาให้ตนแม่ทัพกงจึงลุกขึ้นยืนพลางสั่งเสียงดัง “ทหารล้อมที่นี่ไว้ทั้งหมด ห้ามให้ผู้ใดออกไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพมากขอรับ!” เฉินชิ่งเซิงรีบโค้งกายคำนับแม่ทัพกง จากนั้นหันไปถามกวนจิ่วด้วยความร้อนใจ “นอกจากเจ้าแล้วมีผู้ใดแตะต้องไข่มุกราตรีอีกหรือไม่!”
“รายงาน…” ทหารส่งสารคนหนึ่งบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าแม่ทัพกวนอย่างเหนื่อยหอบ จากนั้นรายงานเสียงดังลั่น “ท่านแม่ทัพกง ต้าโจวบุกโจมตีเมืองแล้วขอรับ!”
“ว่าอย่างไรนะ!” แม่ทัพกงที่เริ่มมึนเมาได้สติขึ้นมาทันที ต้าโจวกำลังเดิมพันแคว้นกับต้าเยี่ยนอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกล้าทำสงครามกับตงอี๋ขึ้นมาจริงๆ เช่นนี้กัน!
ไม่เพียงแค่แม่ทัพกงเท่านั้น ขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ที่นั่งถัดจากแม่ทัพกงต่างลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นทันทีที่ได้ยินเสียงรายงานดังลั่นของทหารส่งสารเช่นเดียวกัน
“กำลังโจมตีกำแพงเมืองขอรับ นั่นคือธงเฮยฟานไป๋หมั่งประจำของกองทัพไป๋ของต้าโจวขอรับ!” เมื่อทหารส่งสารเอ่ยถึงกองทัพไป๋ใจของเขาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “กองทัพไป๋บุกมาด้วยความดุดัน ท่านแม่ทัพควรขอความช่วยเหลือจากเมืองอื่นโดยเร็วที่สุดขอรับ!”
แม้แต่แม่ทัพของต้าเหลียงยังหวาดกลัวชื่อเสียงของกองทัพไป๋ นับประสาอันใดกับแม่ทัพของตงอี๋ซึ่งเคยเป็นแคว้นบรรณาการของต้าเหลียงกัน
แม่ทัพกงได้ยินจึงหันไปทางแม่ทัพคนอื่นๆ ในงานพลางตะโกนเสียงดัง “ต้าโจวบุกโจมตีเมืองแล้ว แม่ทัพทุกคนรีบไปต้านทานศัตรูเดี๋ยวนี้!”
แม้แม่ทัพที่อยู่ในงานจะเริ่มดื่มจนเมาแล้ว บางคนถึงขนาดยืนทรงตัวตรงไม่อยู่ ทว่า เมื่อได้รับคำสั่งทางทหารทุกคนจึงรีบวิ่งตามหลังแม่ทัพกงไปทันที
“ท่านแม่ทัพกง! ท่านแม่ทัพกง!” เฉินชิ่งเซิงรีบวิ่งตามแม่ทัพกงไป “ข้ายังหาไข่มุกราตรีไม่พบ คนที่เหลือ…โอ้ยๆ”
เฉินชิ่งเซิงยังกล่าวไม่จบประโยคก็ถูกแม่ทัพข้างกายแม่ทัพกงผลักออกห่างจนล้มลงบนพื้นหญ้ากลางสวน หากบ่าวรับใช้ของเฉินชิ่งเซิงคว้าตัวเขาไว้ไม่ทันเขาคงตกลงไปในบ่อน้ำแล้ว
“จะทำเช่นไรดี! ไข่มุกราตรีหายไปแล้ว! ข้าจะรายงานเถ้าแก่ของข้าเช่นไร ชีวิตของคนตระกูลข้าทั้งตระกูลยังไม่มีปัญญาชดใช้ไข่มุกราตรีเม็ดนั้นเลย!” เฉินชิ่งเซิงทรุดกายลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรงพลางตะโกนร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น “สวรรค์ ผู้ใดขโมยไข่มุกราตรีของข้าไปกันแน่!”
“ผู้ดูแล ท่านอย่าเพิ่งเสียใจไปขอรับ ตอนนี้ท้องฟ้ายังมืดอยู่พวกเราสามารถส่งคนพวกเราไปสืบหาได้ขอรับ ไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เพียงนั้น คนที่ขโมยไปไม่มีทางซ่อนไว้ได้แน่ขอรับ” บ่าวรับใช้ที่ช่วยพยุงร่างของเฉินชิ่งเซิงอยู่รีบกล่าวเตือนสติเสียงดัง “ท่านต้องตั้งสตินะขอรับ มิเช่นนั้นพวกเราคงตอบคำถามเถ้าแก่ไม่ได้แน่ขอรับ!”
“จริงด้วย!” เฉินชิ่งเซิงสั่งให้องครักษ์ที่พามายังแคว้นตงอี๋ในครั้งนี้ออกไปค้นหาไข่มุกราตรีให้ทั่วทั้งเมืองกวาตู้ท่ามกลางสายตาของตระกูลสูงศักดิ์ของตงอี๋ที่ยังอยู่ในงาน เมื่อบ่าวรับใช้ในจวนส่งแขกทุกคนกลับไปหมดเขาจึงปิดจวนค้นหาไข่มุกราตรีให้ทั่วอีกรอบ
เกิดสงครามขึ้นแล้วคนตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองกวาตู้จึงไม่มีอารมณ์อยู่ดูเรื่องสนุกต่อ พวกเขาต้องรีบกลับไปวางแผนว่าจะหาที่หลบซ่อนตัวในเมืองหรืออพยพหนีออกจากเมืองดี
เฉินชิ่งเซิงและคนของเขาล้วนกล่าวด้วยภาษาต้าโจวด้วยความรวดเร็ว แม้คนตระกูลสูงศักดิ์จะพอรู้ภาษาต้าโจวอยู่บ้าง ทว่า พวกเขาฟังออกเพียงคร่าวๆ เท่านั้น
เมื่อเฉินชิ่งเซิงได้สติจึงรีบวิ่งตามคนสูงศักดิ์ของตงอี๋ออกไปด้านนอก จากนั้นบอกกับพวกเขาว่าจะไปขอขมาที่จวนด้วยตัวเองในวันหลังด้วยภาษาตงอี๋ที่ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก
แขกจากไปอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่ของจวนถูกปิดลง เฉินชิ่งเซิงแสร้งตะโกนให้บ่าวรับใช้ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามหญ้าเพื่อตามหาไข่มุกราตรีให้พบ
ทว่า ผู้ที่มารวมตัวกันที่สนามหญ้าล้วนเป็นองครักษ์ไป๋ที่แต่งกายในชุดนอกเครื่องแบบ องครักษ์ไป๋เหล่านี้ล้วนถอนตัวออกมาจากกองทัพไป พวกเขารู้ดีว่าพวกเขามีส่วนสำคัญในการร่วมมือกับกองทัพไป๋ที่กำลังโจมตีเมืองอยู่ด้านนอกเพียงใด
เฉินชิ่งเซิงยืนถือจอกสุราอยู่ในมือกลางลานหญ้า จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น “ทุกคนล้วนคือคนของตระกูลไป๋ ตอนนี้คุณชายเจ็ดและคุณหนูสี่กำลังโจมตีเมือง สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการช่วยพวกเขาเปิดประตูเมือง ทำให้กองทัพไป๋บาดเจ็บและล้มตายน้อยที่สุด ทุกท่านล้วนเป็นวีรบุรุษที่ข้าเฉินชิ่งเซิงนับถือยิ่งนัก! แม้ครั้งนี้จะเสี่ยงอันตราย ทว่า เฉินชิ่งเซิงหวังว่าทุกท่านจะรอดกลับมาอย่างปลอดภัย พวกเราจะกลับบ้านด้วยกัน!”
เฉินชิ่งเซิงกล่าวจบจึงยกเหล้าในมือดื่มจนหมดจอก
องครักษ์ไป๋ที่ยืนอยู่กลางลานหญ้าเงยหน้าดื่มเหล้าจนหมดเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกเขาออกเดินทางภายใต้การนำของหัวหน้าองครักษ์ไป๋ทันที
เฉินชิ่งเซิงขบกรามแน่น หากเขามีวรยุทธ์ หากเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของ “ชุยเฟิ่งเหนียน” ที่เมื่อเขาไปปรากฏตัวที่สนามรบอาจทำให้คุณหนูสามซึ่งอยู่ที่ต้าเยี่ยนเดือดร้อน เขาก็อยากออกเดินทางไปรบร่วมกับองครักษ์ไป๋ทุกคนเช่นเดียวกัน
เมื่อองครักษ์ไป๋จากไปเฉินชิ่งเซิงจึงรีบสั่งให้คนซึ่งปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้นำบ่าวรับใช้ทั้งหมดแสร้งทำเป็นออกไปตามหาไข่มุกราตรีทั่วเมือง ทว่า แท้จริงแล้วคนพวกนั้นหาทางออกไปช่วยองครักษ์ไป๋ที่ยอมพลีชีพเหล่านั้นเปิดประตูเมืองให้กองทัพไป๋บุกเข้ามาได้อย่างราบรื่น
เฉินชิ่งเซิงรู้ดีว่าสงครามต้องมีการเสียสละ ทว่า หากพวกเขาร่วมแรงกันอาจช่วยชีวิตสหายในกองทัพไป๋ได้มากเท่าที่จะทำได้ พวกเขายินดีออกแรงช่วยเหลืออย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน
ตอนที่แม่ทัพกงเดินทางไปถึงกำแพงเมือง กองทัพไป๋ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้สำเร็จแล้ว แม่ทัพกงตกตะลึง เขารีบสั่งให้ทหารป้องกันไม่ให้กองทัพไป๋บุกขึ้นมาบนกำแพงเมืองได้อีกอย่างสุดกำลัง…
เมื่อก่อนแม่ทัพกงเคยได้ยินแต่ผลงานของกองทัพไป๋จากปากของผู้อื่น เขารู้ว่ากองทัพไป๋ไม่เคยพ่ายแพ้ ทว่า เมื่อถึงคราวต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ แม่ทัพกงจึงรับรู้ถึงความเก่งกาจของกองทัพไป๋อย่างแท้จริง
เดิมทีแคว้นตงอี๋คือแคว้นบรรณาการของต้าเหลียง กำแพงและการป้องกันเมืองของพวกเขาสู้ต้าเหลียงไม่ได้แม้แต่น้อย ขนาดกำแพงเมืองยังต่ำกว่าของต้าเหลียงเกือบครึ่ง สำหรับกองทัพไป๋ที่เคยโจมตีแคว้นต้าเหลียงมาก่อนการโจมตีแคว้นตงอี๋จึงถือเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว
ทหารที่ได้รับคำสั่งให้ไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลิ่วกวนขี่ม้าเร็วออกเดินทางไปยังเมืองหลิ่วกวนแล้ว…
แคว้นตงอี๋ถูกจัดเป็นแคว้นเล็กเพราะพวกเขามีพื้นที่ไม่มาก ระยะห่างระหว่างสองเมืองไม่ได้ไกลกันเหมือนต้าเหลียงกับต้าโจวเมื่อเฉิงหย่วนจื้อที่ดักซุ่มโจมตีอยู่ระหว่างทางนานแล้วเห็นม้าเร็วขี่ตรงไปยังเมืองหลิ่วกวนจึงขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน “เสี่ยวไป๋ไซว่ มีคนขี่ม้าเร็วไปขอความช่วยเหลือแล้วขอรับ ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิดขอรับ ข้ารับประกันว่าไม่มีทางผิดพลาดแน่ ให้แม่ทัพเสิ่นเหลียงอวี้และทหารของค่ายหู่อิงพาเสี่ยวไป๋ไซว่ไปพักผ่อนบนเรือก่อนเถิดขอรับ เมื่อเริ่มสู้กันข้าจะให้คนไปรายงานเสี่ยวไป๋ไซว่ พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้มีดฆ่าสัตว์สังหารไก่หรอกขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ฝากเจ้าด้วย ห้ามปล่อยพวกเขาหลุดไปยังเมืองกวาตู้ได้เด็ดขาด!”
“เสี่ยวไป๋ไซว่ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ!” เฉิงหย่วนจื้อรับคำ “เหล่าเฉิงจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นรอดไปได้แม้แต่คนเดียวขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนพาเสิ่นเหลียงอวี้และทหารอีกสองร้อยนายจากไป เฉิงหย่วนจื้อจึงวางใจลง ทว่า เขาคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋ชิงเหยียนจะไม่ได้พาเสิ่นเหลียงอวี้และทหารสองร้อยนายกลับไปพักผ่อนบนเรือ ทว่า มุ่งหน้าไปยังเมืองหลิ่วกวนแทน หญิงสาวให้คนจับตาดูทางฝั่งของเฉิงหย่วนจื้อเอาไว้ จากนั้นให้มารายงานสถานการณ์กับนางเมื่อตงอี๋กับกองทัพไป๋เริ่มเปิดศึกกัน
ตอนที่ 1478 หวาดระแวง
เสิ่นเหลียงอวี้ตามไป๋ชิงเหยียนไปโดยไม่ถามสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อเห็นระยะทางเริ่มใกล้เมืองหลิ่วกวนขึ้นเรื่อยๆจนเห็นแสงสว่างบนกำแพงเมืองหลิ่วกวนเสิ่นเหลียงอวี้จึงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการทำสิ่งใด
พวกเขาอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นแสงไฟจากกำแพงเมืองของหลิ่วกวน ทว่า คนจากบนกำแพงมองไม่เห็นพวกเขานอกเสียจากพวกเขาจะจุดคบเพลิงให้สว่างขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นคนจากเมืองหลิ่วกวนไม่มีทางสังเกตเห็นพวกเขาอย่างแน่นอน
เสี่ยวไป๋ไซว่ของพวกเขาต้องการดักซุ่มโจมตีทหารที่ย้อนกลับมาขอทัพเสริมจากเมืองหลิ่วกวนอีกครั้งหลักจากถูกพวกของเฉิงหย่วนจื้อดักซุ่มโจมตี
เสิ่นเหลียงอวี้มองไปทางจักรพรรดินีไป๋ชิงเหยียนที่นอนราบไปบนพื้นเดินเช่นเดียวกับทหารอย่างพวกเขา เขารู้สึกว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ของพวกเขาเหมาะกับสนามรบที่ร้อนแรงมากกว่าราชสำนักที่เต็มไปด้วยกลอุบายพวกนั้น
เสิ่นเหลียงอวี้ไม่ได้คิดว่าเสี่ยวไป๋ไซว่จะเป็นจักรพรรดินีที่ดีไม่ได้ ทว่า เสิ่นเหลียงอวี้รู้ดีว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ชอบสนามรบมากกว่า บุรุษและสตรีของตระกูลไป๋ล้วนเป็นเช่นนี้ทุกคน
ทว่า เสี่ยวไป๋ไซว่คือหลานสาวคนโตของตระกูลไป๋ นางต้องการกลายเป็นเกราะกำบังให้ทายาทตระกูลไป๋ กองทัพไป๋และทหารต้าโจวทุกคน นางจึงเลือกที่จะยืนในราชสำนักให้พวกเขาได้แสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ให้ทหารเลือดร้อนที่ยอมพลีชีพเพื่อแคว้นอย่างพวกเขาตกอยู่ในกลอุบายที่ชั่วร้ายหรือถูกทำร้ายจากความหวาดระแวงของจักรพรรดิ
เสิ่นเหลียงอวี้เคยเห็นไป๋ชิงเหยียนนั่งถือหอกเงินหงอิงอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างาม เขารู้ดีว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ของเขาเกิดมาเพื่อทำสงคราม
“ส่งทหารสิบนายไปเฝ้าที่ประตูทิศตะวันออก อย่าให้คนของตงอี๋กลับเข้าไปรายงานสถานการณ์รบในเมืองได้”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับเสิ่นเหลียงอวี้
“ขอรับ!”
เสิ่นเหลียงอวี้รับคำ
ไม่นานประตูเมืองหลิ่วกวนก็ถูกเปิดออก แม่ทัพพาทหารสวมชุดเกราะอาวุธเต็มมือมุ่งหน้าไปยังเมืองกวาตู้
ไป๋ชิงเหยียนและเสิ่นเหลียงอวี้นอนหมอบอยู่ที่เดิม ปล่อยให้พวกเขาขี่ม้าผ่านไปโดยไม่ขัดขวาง เสิ่นเหลียงอวี้เริ่มอยู่ไม่สุข
ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับเสิ่นเหลียงอวี้ยิ้มๆ
เสิ่นเหลียงอวี้หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ติดตามเสี่ยวไป๋ไซว่ต้องได้ทำสงครามแน่นอนขอรับ!”
ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถามออกมายิ้มๆ
“ข้าได้ยินเฉิงหย่วนจื้อกล่าวว่าเจ้าอิจฉาที่หลิ่วผิงเกามีคนคอยดูแล เมื่อทำสงครามกลับไปข้าจะหาภรรยาให้พวกเจ้าที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยตัวเอง”
หากท่านพ่อยังอยู่ท่านคงช่วยแม่ทัพเหล่านี้หาคู่ครองแน่นอน ทว่า หลายปีมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายพวกเขาจึงยังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวเสียที
“ข้าสุดแล้วแต่เสี่ยวไป๋ไซว่ขอรับ”
เสิ่นเหลียงอวี้เกาศีรษะอย่างเขินอาย
ไม่นานทหารที่ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้จับตาดูความเคลื่อนไหวทางเฉิงหย่วนจื้อจึงกลับมารายงานไป๋ชิงเหยียน
“เสี่ยวไป๋ไซว่ กองทัพตงอี๋ถูกพวกเราซุ่มโจมตีจนตั้งรับไม่ทันขอรับ วิธีรบของพวกตงอี๋แย่มากขอรับ ยังสู้ทหารธรรมดาของต้าโจวไม่ได้ด้วยซ้ำ กองทัพไป๋ทำสงครามโดยแทบไม่ต้องออกแรงเลยขอรับ!”
ทหารรายงานด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ แม้จะมีแววโอ้อวดอยู่บ้าง ทว่า ถ้อยคำที่กล่าวมาล้วนคือเรื่องจริง
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับเสิ่นเหลียงอวี้
“เจ้ารีบพาทหารค่ายหูอิงร้อยนายลอบเข้าไปในเมืองหลิ่วกวน เมื่อพร้อมเปิดประตูเมืองให้จุดพลุส่งสัญญาณ”
เสิ่นเหลียงอวี้ตะลึง
“เสี่ยวไป๋ไซว่ไม่ได้ดักซุ่มรอทหารที่ย้อนกลับมาขอทัพเสริมจากเมืองหลิ่วกวนหรือขอรับ ข้าจะปล่อยให้เสี่ยวไป๋ไซว่อยู่ที่นี่กับทหารอีกแค่ร้อยนายได้อย่างไรขอรับ!”
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ามีแผนแล้ว”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับเสิ่นเหลียงอวี้
ทางฝั่งของเฉิงหย่วนจื้อพยายามควบคุมความใจร้อนของตัวเองรอให้กองทัพศัตรูเข้ามาในวงล้อมของกองทัพไป๋ทั้งหมด จากนั้นค่อยจัดการพวกเขาทีเดียว ทางฝั่งไป๋ชิงเหยียนเหมือนจะได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันและเสียงฆ่าฟันดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด เสิ่นเหลียงอวี้ฮึกเหิมขึ้นกว่าเดิมทันที
“เสี่ยวไป๋ไซว่เลือกสถานที่ดักซุ่มโจมตีได้ดีมากขอรับ หากใกล้กว่านี้อีกนิดหนึ่งเมืองหลิ่วกวนต้องได้ยินเสียงต่อสู้แน่ขอรับ”
เสิ่นเหลียงอวี้กำดาบที่เอวแน่น
“หวังว่าเหล่าเฉิงจะปล่อยมาทางพวกเราบ้าง อย่าสังหารทิ้งจนเกลี้ยง เขาได้กินเนื้อก็ควรเหลือน้ำแกงให้ข้าดื่มบ้างขอรับ!”
กองทัพเสริมของเมืองหลิ่วกวนนึกไม่ถึงว่ากองทัพต้าโจวจะดักซุ่มโจมตีระหว่างทาง พวกเขาถูกโจมตีโดยตั้งตัวไม่ทัน กองทัพไป๋ดักซุ่มอยู่บนที่สูง ที่สำคัญทหารส่วนใหญ่ของแคว้นตงอี๋ล้วนเป็นทหารเรือ ทหารบกมีไม่มากนัก ครั้งนี้พวกเขาเผชิญหน้ากับกองทัพไป๋ที่เก่งกาจและเคยทำลายล้างซีเหลียงสำเร็จมาแล้ว พวกเขาจึงถูกโจมตีจนไม่เหลือสภาพ
เมื่อแม่ทัพของกองทัพเสริมเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพไป๋จึงรีบหันไปออกคำสั่งอย่างร้อนรนเสียงดังลั่น
“ฝ่าออกไปให้ได้ รีบกลับไปยังค่ายทหารหลิ่วกวนเร็ว!”
มีเพียงบุกฝ่าออกไปให้ได้พวกเขาจึงจะยังพอมีทางรอด มิเช่นนั้นพวกเขาคงตายอยู่ที่นี่ทั้งหมดแน่นอน
เฉิงหย่วนจื้อกำจัดทหารตงอี๋แต่ละนายด้วยเพลงดาบเพียงครั้งเดียว เขาตะโกนลั่น
“ห้ามปล่อยให้พวกมันหนีออกไปได้แม้แต่คนเดียว!”
ในสายตาของเฉิงหย่วนจื้อทหารตงอี๋เหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพไป๋แม้แต่น้อย หากเขาปล่อยให้ทหารตงอี๋หนีรอดไปได้เท่ากับเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรีของกองทัพไป๋ชัดๆ!
“ท่านแม่ทัพเฉิง เสี่ยวไป๋ไซว่สั่งให้พวกเราเก็บแรงไว้โจมตีเมืองหลิ่วกวนด้วยขอรับ”
ทหารส่งสารขี่ม้าเข้าไปใกล้เฉิงหย่วนจื้อที่สังหารศัตรูจนตาแดงก่ำ จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น
“ข้ารู้แล้ว!”
เฉิงหย่วนจื้อรับคำ จากนั้นหันไปสังหารทหารตงอี๋อีกคนต่อ
“แค่สังหารเศษสวะกลุ่มหนึ่ง ไม่เปลืองแรงสักนิด!”
แม้เฉิงหย่วนจื้อจะมั่นใจว่าทำได้ ทว่า กองทัพตงอี๋กลับหนีออกจากวงล้อมของกองทัพไป๋ไปได้ด้วยปณิธานแรงกล้าที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แม่ทัพของกองทัพตงอี๋พากองทัพขี่ม้าเร็วหนีไปยังเมืองหลิ่วกวน เขาอยากหนีกลับไปยังเมืองหลิ่วกวนให้ได้ เมื่อกองทัพไป๋ทำลายเมืองกวาตู้เสร็จพวกเขาต้องพักเอาแรงก่อนค่อยโจมตีต่อแน่นอน ขอเพียงพวกเขาคุ้มกันเมืองหลิ่วกวนไว้ได้ จากนั้นส่งคนไปขอทัพเสริมจากราชสำนัก หากราชสำนักอยากทำสงครามพวกเขาต้องส่งทัพมาช่วยเหลือเมืองหลิ่วกวนแน่นอน ทว่า หากราชสำนักอย่างสงบศึก…พวกเขาก็ต้องส่งคนไปเจรจาขอสงบศึกกับต้าโจวแน่
ทว่า พวกเขาคงรักษาเมืองกวาตู้ไว้ไม่ได้ การหนีไปยังเมืองกวาตู้ในตอนนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดแม้แต่น้อย
แม่ทัพตงอี๋พากองทัพหนีออกมาจากวงล้อมของกองทัพไป๋ได้สำเร็จ แม่ทัพตงอี๋รู้สึกสงสารแม่ทัพคุ้มกันเมืองกวาตู้เล็กน้อย ทว่า เมื่อเขาพากองทัพขี่ม้าฝ่าความมืดจนเห็นแสงสว่างบนกำแพงเมืองหลิ่วกวนดวงตาของเขาเปล่งประกายราวเห็นเจ้าชีวิตของตัวเอง เขาตะโกนเสียงดังลั่น
“เร็วเข้า ใกล้ถึงประตูเมืองแล้ว!”
ทว่า สิ้นเสียงของแม่ทัพตงอี๋ผู้นั้น ลูกธนูดอกหนึ่งกลับลอยไปเสียบทะลุลำคอของแม่ทัพตงอี๋ผู้นั้นจนเขากระเด็นตกจากหลังม้า
กองทัพตงอี๋ที่ขี่ม้าตามหลังแม่ทัพตงอี๋มารู้สึกเหมือนความหวังของพวกเขาหยุดอยู่ที่ร่างของแม่ทัพซึ่งอยู่ในต้ปลายเท้าของพวกเขา
แสงของดวงจันทร์ถูกก้อนเมฆบดบัง เมืองหลิ่วกวนอยู่ไม่ห่างจากพวกเขาเท่าใดนัก ทว่า กองทัพตงอี๋ไม่แน่ใจว่าด้านหน้ามีกับดักของต้าโจวรอพวกเขาอยู่เหมือนกันหรือไม่ พวกเขาได้แต่กำดาบไว้ในมือด้วยท่าทีเตรียมพร้อมตลอดเวลา
ลมพัดโชยมาเล็กน้อย ดวงจันทร์ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากเมฆ แสงสีเงินของดวงจันทร์ส่องกระทบลงบนร่างของสตรีบนหลังม้าขาวซึ่งถือธนูเซ่อรื้ออยู่ในมือ องรักษ์ข้างกายของหญิงสาวเล็งธนูไปยังร่างของทหารกองทัพตงอี๋เหล่านั้น