สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1534 เกียรติยศ
ตอนที่ 1534 เกียรติยศ
“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าตระกูลหลู่คือตระกูลของพวกเราทุกคน หากท่านพ่อเป็นคนเดียวที่จะได้มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นขุนนางที่จงรักภักดีและยอมทำทุกอย่างเพื่อจักรพรรดิ ข้าคิดว่าพวกเราก็ควรปล่อยชื่อเสียงนั้นไป จากนั้นหันมาปูทางให้คนในตระกูลดีกว่าขอรับ เมื่ออำนาจของตระกูลหลู่ฝักรากลึกในราชสำนักได้แล้ว ถึงเวลานั้นตระกูลหลู่ของพวกเราจึงจะมีเกียรติยศไปพร้อมกับราชวงศ์ หากต้าโจวไม่ล่มสลายตระกูลหลู่ก็ไม่มีทางล่มสลายแน่นอนขอรับ!”
หลู่จิ่นเสียนคือบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่ เขารับรู้ตั้งแต่เล็กว่าเขามีหน้าที่แบกรับภาระของตระกูล เขาเห็นความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลคือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
หากหลู่จิ่นเสียนได้สืบทอดตำแหน่งไท่เว่ยต่อจากบิดาของตัวเองก็ดี ทว่า หากไม่ได้เขาก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาอันใด สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่อำนาจของตำแหน่งนั้น ทว่า เขาอยากให้ตระกูลหลู่ของเขาเจริญรุ่งเรืองสืบไป
หลู่ไท่เว่ยมองดูบุตรชายที่ในที่สุดก็ยอมกล่าวความในใจออกมานิ่ง เขาไม่ได้ผิดหวังในตัวบุตรชาย บุตรชายของเขาคือประมุขคนต่อไปของตระกูลหลู่ การที่เขาคิดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิด ทว่า สายตาของเขาแคบเกินไป
“เจ้าคิดว่าพ่อเป็นห่วงชื่อเสียงของตัวเอง ไม่ต้องการให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงในตัวพ่อจึงไม่สนใจอนาคตของลูกหลานตัวเองอย่างนั้นหรือ”
หลู่ไท่เว่ยถอนหายใจ
“ความจริงเมื่อพ่อได้อยู่ในตำแหน่งไท่เว่ยพ่อก็ควรปูทางให้ลูกหลานของตัวเองให้ได้มากที่สุดดังที่เจ้ากล่าวมาจริงๆ”
“ทว่า ลูกข้า…”
ไท่เว่ยประคองบุตรชายคนโตของตัวเองให้ลุกขึ้น จากนั้นมองบุตรชายด้วยแววตาแน่วแน่
“เกิดเป็นมนุษย์ควรมียำเกรง ฝ่าบาททรงแบกภาระที่ยิ่งใหญ่ของใต้หล้าเอาไว้ ดังนั้นพระองค์จึงยำเกรงต่อชีวิต ตระกูลหลู่คือแขนซ้ายขวาของฝ่าบาท ดังนั้นพวกเราควรยำเกรงต่ออำนาจของราชวงศ์ ฝ่าบาททรงไว้ใจตระกูลหลู่มากดั่งที่เจ้าว่าจริงๆ ทว่า นั่นมิใช่เหตุผลที่พวกเราจะสามารถทำตัวไร้ความยำเกรงได้ อำนาจของราชวงศ์ อำนาจของฝ่าบาทมีมากจนสามารถตัดสินความเป็นความตายและเกียรติยศของตระกูลๆ หนึ่งได้เพียงแค่คำตรัสเดียวเท่านั้น การที่เจ้าหวังให้ทายาทของตระกูลหลู่แต่งงานกับราชวงศ์เพื่อตระกูลหลู่จะทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงได้”
หลู่จิ่นเสียนเม้มปากแน่น เขารู้ดีว่าบิดาของตนกล่าวถูกต้อง ทว่า เขาแค่ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ กระทั่งอยากช่วยให้หลู่หยวนเผิงได้สมปรารถนากับไป๋จิ่นจื้อให้ได้
“ทว่า ครั้งนี้หยวนเผิงกับเกาอี้อ๋องอาจมีใจตรงกันก็ได้นะขอรับ เหตุใดท่านพ่อต้องขัดขวางด้วยขอรับ เกาอี้อ๋องเป็นคนเช่นใดกันขอรับ นางไม่มีทางยอมแพ้ต่อสิ่งใดง่ายๆ แน่นอน หากเกาอี้อ๋องทรงเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ฝ่าบาทจะคิดว่าตระกูลหลู่หวังแต่งงานกับราชวงศ์หรือขอรับ”
หลู่จิ่นเสียนยังคงไม่อยากยอมแพ้
“หลู่หยวนเผิงไม่ได้แต่งงานกับเกาอี้อ๋องไม่ได้ ทว่า ห้ามแต่งต่างหาก!”
ดวงตาของหลู่ไท่เว่ยเคร่งขรึมลง
“คนในตระกูลบรรพบุรุษหลู่ล้วนอยากหาคู่ครองที่ดีให้ทายาทของพวกเขาโดยอาศัยตำแหน่งไท่เว่ยของข้า นั่นเป็นเพราะข้าไม่เคยใช้ตำแหน่งของตัวเองปูทางให้พวกเจ้าคนใดในตระกูลเลยสักคน แม้แต่หยวนเผิงที่ไม่ได้เรื่องผู้นั้นยังอาศัยความสามารถของตัวเองเข้าร่วมกองทัพไป๋ ถึงแม้จะมีคนของตระกูลหลู่คอยปกป้องอยู่ลับๆ ทว่า คนภายนอกล้วนรู้ว่าเขาใช้ความสามารถของตัวเอง คนในตระกูลบรรพบุรุษหลู่จึงไม่กล้ามาขอความช่วยเหลือจากข้า หากหยวนเผิงแต่งงานกับเกาอี้อ๋อง พวกเขาต้องส่งบุตรชายบุตรสาวของตัวเองมาให้พวกเรา ใช้เรื่องการแต่งงานของหยวนเผิงบีบให้พวกเราหาคู่ครองที่ดีให้ทายาทของพวกเขาแน่นอน!”
“ตระกูลบรรพบุรุษหลู่ในตอนนี้แตกต่างอันใดกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ของซั่วหยางในตอนนั้นกัน ล้วนเน่าเฟะ…”
หลู่ไท่เว่ยกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์มาก
หลู่จิ่นเสียนไม่สามารถคัดค้านคำกล่าวของบิดาได้เช่นกัน
“หากรากของพวกเขาเน่าเฟะเป็นทุนเดิมแล้วพวกเรายังต้องคิดและทำเพื่อตระกูลบรรพบุรุษหลู่อีก ถึงเวลานั้นหากเราทำผิดพลาดขึ้นมาในตอนที่รากยังไม่มั่นคง อย่าว่าแต่ตระกูลบรรพบุรุษหลู่เลย แม้แต่ตระกูลของพวกเราก็ยากจะฟื้นคืนเช่นเดียวกัน”
หลู่จิ่นเสียนร่างชาวาบทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวของบิดา เมื่อคิดตามก็รู้สึกว่าบิดากล่าวมีเหตุผล เขาเม้มปากพลางขบคิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ต้องหาทางกำจัดรากที่เน่าเฟะทิ้งไป จากนั้นสร้างรากใหม่ให้มั่นคง อีกทั้งห้ามทำอย่างโจ่งแจ้ง”
หลู่ไท่เว่ยกำลังสอนบุตรชายของตัวเองอยู่
หลู่จิ่นเสียนก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย จากนั้นโค้งกายคำนับบิดาของตัวเอง
“ท่านพ่อได้โปรดชี้แนะด้วยขอรับ”
“ทายาททุกคนของตระกูลหลู่จะแต่งงานกับตระกูลที่ต่ำศักดิ์กว่า แม้ตอนนี้ตระกูลเหล่านั้นจะยังไม่โดดเด่น ทว่า วันหน้าพวกเขาจะกลายเป็นเขยหรือสะใภ้ที่มีอนาคตที่กว้างไกลแน่นอน! เช่นนี้ฝ่าบาทจะทอดพระเนตรเห็นว่าตระกูลหลู่ไม่คิดแย่งชิงอำนาจ เมื่อพ่อลงจากตำแหน่งไท่เว่ย พ่อจะกลับไปสร้างสำนักศึกษาที่บ้านเกิดของพวกเรา ให้ทายาทในตระกูลบรรพบุรุษหลู่มาร่ำเรียนหนังสือและสอบขุนนางเพื่อปูทางให้ตระกูลหลู่มีอำนาจในราชสำนักต่อไป ที่สำคัญเมื่อพ่อไม่ได้ช่วยให้ลูกหลานของพวกเราได้เป็นไท่เว่ยคนต่อไป ตระกูลบรรพบุรุษหลู่ก็ไม่อาจมาขอร้องให้พ่อช่วยได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นผู้ใดมีความสามารถผู้นั้นจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลู่ทั้งตระกูล ตอนนั้นรุ่นของเจ้ายังมีเจ้าซึ่งยังอยู่ในราชสำนัก รุ่นหลานมีหยวนชิ่งและหยวนเผิงที่อยู่ในกองทัพไป๋!”
สายตาของหลู่ไท่เว่ยกว้างไกล
“เมื่อเวลานั้นตระกูลหลู่จะอบรมสั่งสอนทายาทที่มีความสามารถจริงๆ ออกมาทำงานในราชสำนักอีกมากมาย ถึงเวลานั้นพ่อซึ่งเกษียณออกจากตำแหน่งแล้วจะสอนบัณฑิตออกมารับใช้ราชสำนักอีกมามาย บัณฑิตเหล่านั้นต้องสำนึกในบุญคุณของตระกูลหลู่แน่นอน”
“ทว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด!”
หลู่ไท่เว่ยชชี้นิ้วที่เหี่ยวย่นของตัวเองขึ้นไปบนฟ้า
“ต้องทำให้ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นว่าพ่อและตระกูลหลู่ไม่ได้คิดแก่งแย่งอำนาจในราชสำนัก เช่นนี้ฝ่าบาทจะได้คิดว่าทายาทตระกูลหลู่หรือบัณฑิตที่จบจากสำนักศึกษาของพ่อคือคนมีความสามารถที่พ่อตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรับใช้ราชสำนักจริงๆ เมื่อได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท อนาคตของตระกูลหลู่จึงจะรุ่งเรืองสืบไปอย่างแท้จริง”
“ถึงเวลานั้นราชสำนักจะมีทายาทของตระกูลหลู่และบัณฑิตจากสำนักศึกษาของตระกูลหลู่เข้าไปทำงานมากมาย เมื่อจะใช้วิธีที่ถูกต้องแสวงหาผลประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัว ทว่า พ่อทำไปเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลหลู่และตอบแทนราชสำนักด้วยเช่นกัน เช่นนี้ฝ่าบาทจะหวาดระแวงตระกูลหลู่อีกอย่างนั้นหรือ นี่ถึงจะทำให้ตระกูลหลู่เจริญรุ่งเรืองสืบไปต่างหาก!”
หลู่ไท่เว่ยมองบุตรชายของตัวเองแล้วกล่าวออกมาทีละคำ
“ตอนนี้เจ้าตอบพ่อได้แล้วหรือไม่ว่าสิ่งที่ตระกูลหลู่ต้องการในตอนนี้คือการฝังรากลึกในราชสำนักหรือไม่”
มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว หากมนุษย์ไม่วางแผนเพื่อตัวเองก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ ทว่า หลู่ไท่เว่ยไม่ได้ทำไปทั้งหมดเพื่ออำนาจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาทำไปเพื่อให้ตระกูลหลู่รุ่งเรืองสืบไป ให้ตระกูลหลู่มีที่ยืนในราชสำนักต่อไปเท่านั้น
ไม่ว่าเวลาใดตระกูลหลู่ของเขาก็จะเคารพยำเกรงฝ่าบาทตลอดไป ตระกูลหลู่จะไม่ขอเป็นขุนนางที่มีอำนาจใหญ่ในราชสำนัก ทว่า จะต้องปกป้องความรุ่งเรืองของตระกูลไว้ให้คนรุ่นหลังสืบไป