สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1596 ตอนจบ (2)
ตอนที่ 1596 ตอนจบ (2)
……….
ไม่มีผู้ใดรู้สถานการณ์ของต้าเยี่ยนได้ดีไปกว่าเซียวหรงเหยี่ยนและมู่หรงลี่อีกแล้ว ส่วนเสิ่นเทียนจือก็ใช้ชีวิตอยู่ในต้าเยี่ยนได้ระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้บรรดาอ๋องและครอบครัวของพวกเขาล้วนติดตามไป๋ชิงเหยียนกลับมายังเมืองหลวงของต้าโจวด้วย
ตอนนี้ต้าเยี่ยนไม่มีอำนาจของอ๋องคอยขัดขวางแล้ว ไป๋ชิงเหยียนให้เซียวหรงเหยี่ยน มู่หรงลี่และเสิ่นเทียนจือช่วยกันหาวิธีผลักดันระบอบการปกครองใหม่ในต้าเยี่ยน
ครั้งนี้เซียวรั่วเจียงไม่ได้เดินทางกลับมากับไป๋ชิงเหยียนด้วย ชายหนุ่มตั้งใจจะออกเดินทางสำรวจทั่วแคว้นต้าเยี่ยน จากนั้นวาดแผนที่อย่างละเอียดของแคว้นต้าเยี่ยนออกมาด้วยตัวเอง ไป๋ชิงเหยียนอนุญาตให้เขาทำตามใจ
เมื่อเดินทางเข้าสู่แคว้นต้าโจว ไป๋ชิงเหยียนได้พบหน้าเฉิงซ่านหรูที่ตากแดดจนผิวคล้ำที่เมืองเป่าอัน
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเข้าพักในเมืองเป่าอันเฉิงซ่านหรูก็รีบมาพบไป๋ชิงเหยียนทันที
ไป๋จิ่นจื้อเห็นผิวของเฉิงซ่านหรูที่คล้ำราวกับเตาถ่านก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที นางกล่าวกับซือหม่าผิง
“ที่จริงไม่ได้มีข้าคนเดียวที่ตากแดดแล้วผิวคล้ำเสียหน่อย ตอนเฉิงซ่านหรูอยู่ในเมืองหลวงผิวของเขาขาวมาก ตอนนี้ผิวดำราวกับถ่านเชียว!”
ซือหม่าผิงเห็นสีหน้าสะใจของไป๋จิ่นจื้อจึงยกมือขึ้นกอดอกพลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เกาอี้อ๋องเลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสตรีแล้วหันมาเปรียบเทียบกับบุรุษแทนแล้วหรือ ใจของท่านช่างกว้างยิ่งนัก!”
ไป๋จิ่นจื้อที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขถลึงตาใส่ซือหม่าผิง จากนั้นหมุนกายจากไปทันที
ซือหม่าผิงเห็นท่าทีโมโหของไป๋จิ่นจื้อก็หลุดยิ้มออกมา ทว่า เมื่อนึกถึงหลู่หยวนเผิง…รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปทันที
หลู่หยวนเผิงถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงนานแล้ว ไป๋จิ่นจื้อคิดว่าหลู่หยวนเผิงถูกส่งกลับไปรักษาตัวที่เมืองหลวง นางยังไม่รู้ว่าหลู่หยวนเผิง
หากไป๋จิ่นจื้อรู้ว่าหลู่หยวนเผิงทนพิษบาดแผลไม่ไหวนางคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!
รอยยิ้มในแววตาของซือหม่าผิงหายไปจนหมดสิ้น เขารู้ทั้งรู้ว่าหลู่หยวนเผิงกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาด้วยความโมโห ทว่า เขากลับไม่ยอมติดตามหลู่หยวนเผิงไปยังต้าเยี่ยนจริงๆ หากเขามาด้วยบางทีอาจไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
เขาไม่เคยคิดแย่งไป๋จิ่นจื้อไปจากหลู่หยวนเผิง หลู่หยวนเผิงคือสหายเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่เชื่อใจเขาอย่างสนิทใจ หากเป็นไปได้…เขาเต็มใจปกป้องความสุขของคนสำคัญในชีวิตทั้งสองคนของเขาตลอดไป
เฉิงซ่านหรูถือกล่องไม้สีแดงยืนรออยู่ตรงระเบียงทางเดินอย่างสงบเสงี่ยม เมื่อเว่ยจงออกมาเชิญเขาและแหวกผ้าม่านให้เฉิงซ่านหรูจึงสาวเท้าเข้าไปด้านในและเดินขึ้นไปชั้นสอง
ชั้นสองของที่พักแห่งนี้มีเสาเคลือบน้ำมันสีแดงแปดต้นค้ำยันหลังคาไว้เช่นเดียวกัน ตรงหน้าต่างมีม่านไม้ไผ่แผ่นบางผูกอยู่ บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นไม่แพ้ตำหนักเส้าฮวาของจวนไป๋แม้แต่น้อย
เฉิงซ่านหรูก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง เมื่อเห็นเซียวหรงเหยี่ยนที่นั่งขมวดคิ้วอ่านฎีกาอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียนจึงตกใจมาก เซียวหรงเหยี่ยนสามีของคุณหนูใหญ่ของพวกเขาเสียชีวิตไปแล้วมิใช่หรือ…
เฉิงซ่านหรูนึกถึงข่าวลือที่ว่าผู้สำเร็จราชการของต้าเยี่ยนคือคนๆ เดียวกับเซียวหรงเหยี่ยนขึ้นมาทันที่ แม้จะรู้สึกประหลาดใจ ทว่า เขารู้ดีว่าที่คุณหนูใหญ่ไม่ปิดบังเขาเพราะเห็นว่าเขาคือคนของนาง
เฉิงซ่านหรูวางกล่องไม้สีแดงลงบนโต๊ะ จากนั้นทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“คุณหนูใหญ่ นายท่านเขย…”
เมื่อได้ยินสรรพนามเซียวหรงเหยี่ยนจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉิงซ่านหรู เขาจำไม่ได้ว่าเขาเคยพบคนผู้นี้ด้วย
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด เจ้าคล้ำลงไม่น้อยเลย หากถงหมัวมัวเห็นเข้าต้องปวดใจแน่”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ นางจุ่มพู่กันลงในถาดหมึกเพิ่ม เมื่อเห็นเฉิงซ่านหรูดูแจ่มใสดีจึงกล่าวยิ้มๆ
“เดือนหกปีที่แล้วเจ้าบอกว่าจะจากมาดูแลที่นา ต่อมาข้าเห็นฎีกาที่กรมการคลังส่งขึ้นมาให้อ่าน ผลผลิตของเดือนเก้าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ทว่า ต่อมากลับเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ…”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉิงซ่านหรูกว้างขึ้นกว่าเดิม เขาพยักหน้าด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด
“ใช่ขอรับ ตอนนี้ใกล้ถึงฤดูเพาะปลูกแล้ว ใต้เท้าเว่ยกรมการคลังช่วยแพร่กระจายวิธีการเพาะปลูกที่ได้ผลให้ชาวบ้านอย่างแพร่หลายขึ้น เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวพวกเราต้องได้ผลผลิตที่ดีแน่นอนขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้ามาทำอันใดที่อันเป่า”
ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
“ใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีแล้ว ใต้เท้าเว่ยให้ข้ามาดูว่าสามารถเพิ่มผลข้าวสาลีได้หรือไม่ขอรับ”
เฉิงซ่านหรูกล่าวยิ้มๆ
เมื่อเห็นท่าทีมั่นใจของเฉิงซ่านหรูไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยถามขึ้น
“เจ้ามีวิธีแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ปกติเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จชาวนาจะนำกิ่งของข้าวสาลีไปทำฟืนก่อไฟ แม้จะติดไฟไม่ได้ดีเท่าฟืนไม้ ทว่า ชาวบ้านคิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการรักษาดินไปในตัว แต่ข้าคิดว่าควรนำกิ่งของมันไปหมักเป็นปุ๋ยดีกว่า เช่นนี้ถึงจะเป็นการบำรุงดินเพาะปลูกอย่างแท้จริงขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า
“ดีมาก หากเจ้าสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้จริงๆ เจ้าจะกลายเป็นผู้มีพระคุณของชาวบ้านเหล่านี้ทันที”
หากเฉิงซ่านหรูทำสำเร็จ…ความสำเร็จของเขามากพอที่เขาจะมียศเป็นของตัวเอง
เช่นนี้ถงหมัวมัวจะได้ภาคภูมิใจในตัวเขา
เฉิงซ่านหรูรีบกล่าวปฏิเสธ
“ซ่านหรูแค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ไม่กล้าอวดอ้างความดีความชอบขอรับ”
“ก่อนหน้านี้ซ่านหรูบังเอิญพบฉินเซียนเซิงที่เคยรักษาตัวอยู่ที่จวนไป๋ ฉินเซียนเซิงราวกับทราบว่าคุณหนูใหญ่จะยึดต้าเยี่ยนได้ในเร็ววัน ฉินเซียนเซิงยุ่งอยู่กับการซ่อมแซมเขื่อนจึงฝากข้ามาแสดงความยินดีกับคุณหนูใหญ่ เขาฝากบอกว่าคุณหนูใหญ่ต้องเป็นจักรพรรดิผู้บุกเบิกใต้หล้าที่ทรงคุณธรรมแน่นอน เขานับถือในตัวคุณหนูใหญ่มากขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า นางได้แต่เสียดายความสามารถของฉินซ่างจื้อ คนมีความสามารถเพียงนั้นกลับใช้ความสามารถของตัวเองแค่ซ่อมแซมเขื่อน ไม่ยอมทำงานให้นาง
ชาตินี้ขอมีเจ้านายเพียงคนเดียว…นี่คือทางเลือกของฉินซ่างจื้อ ไป๋ชิงเหยียนจนปัญญาจริงๆ
เฉิงซ่านหรูเห็นคุณหนูใหญ่แสดงสีหน้าเสียดายออกมาจึงรีบหันไปหยิบกล่องไม้สีแดงส่งใหญ่หญิงสาว เขากล่าวขึ้น
“ซ่านหรูกลับไปร่วมงานฉลองวันเกิดของเจ้านายน้อยทั้งสองไม่ทัน ตอนนี้ก็ยังปลีกตัวกลับไปไม่ได้ ข้าขอบังอาจฝากของขวัญไปทางคุณหนูใหญ่แทนขอรับ”
สิ่งที่เฉิงซ่านหรูมอบให้ไม่ใช่ของล้ำค่าอันใด ทว่า เป็นดอกฝูหรงแฝดสีสันสดใส กลีบละเอียดและบริสุทธิ์มาก เขาตั้งใจว่าวันหน้าเขาจะทำตราประทับให้เจ้านายน้อยทั้งสอง
ทว่า เขากลับไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเจ้านายน้อยทั้งสองในเดือนสามไม่ทัน ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเดินทางกลับไปพร้อมคุณหนูใหญ่ได้ เขาจึงได้แต่ฝากของขวัญไปกับไป๋ชิงเหยียน อย่างน้อยก็ถือเป็นน้ำใจจากเขา
“ข้ากับอาเหยี่ยนก็พลาดงานเลี้ยงวันเกิดของพวกเขาเช่นกัน”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างเสียดาย สำหรับคนเป็นแม่แล้ว…งานเลี้ยงครบรอบหนึ่งปีของลูกคือโอกาสพิเศษ ตอนจับของขวัญคังเล่อหยิบพู่กันและคันธนูไว้ในมืออย่างละข้าง ส่วนสี่เล่อหยิบลูกคิดสีทอง ทว่า ต่อมาเขากลับทิ้งลูกคิดสีทองและหันไปจับมือของไป๋ชิงอวิ๋นแทน
เซียวหรงเหยี่ยนรู้สึกเสียดายเช่นเดียวกัน ทว่า เมื่อพวกเขาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วพวกเขาจะไม่แยกจากกันไปที่ใดอีก เซียวหรงเหยี่ยนรู้สึกดีใจมาก เขากุมมือไป๋ชิงเหยียนไว้พลางใช้นิ้วมือไล้ไปที่หลังมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
“วันหน้าพวกเรายังมีเวลาอยู่ฉลองวันเกิดกับพวกเขาอีกหลายปี พวกเราจะชดเชยให้พวกเขาเอง”
ใบหน้าของเฉิงซ่านหรูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความทุกข์ของคุณหนูใหญ่ของพวกเขาหมดลงแล้ว! ไม่รู้ว่านายท่านเขยของพวกเขาแกล้งปลอมตัวเป็นอ๋องเก้าของต้าเยี่ยนเพื่อคุณหนูใหญ่หรือว่าเขาเป็นอ๋องเก้าของต้าเยี่ยนอยู่แล้ว ทว่า ยอมลงให้คุณหนูใหญ่กันแน่
แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ตามเมื่อเห็นนายท่านเขยกับคุณหนูใหญ่รักใคร่กันเพียงนี้…บ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างพวกเขาก็วางใจแล้ว
วันที่หนึ่ง เดือนห้า รัชศกหยวนเหอปีที่สาม จักรพรรดินีต้าโจวเดินทางถึงเมืองหลวงของต้าโจว
ไทเฮาและซิ่งกั๋วอ๋องนำขุนนางในราชสำนักออกไปยืนต้อนรับขบวนเสด็จที่หน้าประตูอู่เต๋อ
หลู่ไท่เว่ยที่สูญเสียหลายชายคนเล็กไปผมขาวโพลนภายในชั่วข้ามคืน จิตใจของเขาไม่แจ่มใสเหมือนเคย ร่างทั้งร่างดูชราลงกว่าเดิมเป็นสิบปี
เขาเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนในตระกูลไป๋ที่สูญเสียบุรุษในตระกูลไปเกือบทั้งหมดในเวลาเดียวกันอย่างถ่องแท้ เพิ่งรู้ซึ้งว่าเหตุใดไป๋ชิงเหยียนจึงอยากรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งถึงเพียงนี้
บุรุษตระกูลไป๋ทุกรุ่นล้วนเสียชีวิตในสนามรบ ฝ่าบาทที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงบุตรสาวคนโตของตระกูลไป๋กล่าวว่าตระกูลไป๋เป็นตระกูลนักรบมานับร้อยปีจริง ทว่า ดวงวิญญาณทุกดวงของตระกูลไป๋ไม่ได้สละชีพเพื่อความดีความชอบ ทว่า พวกเขาสละชีพเพื่อปกป้องชาวบ้านและแผ่นดิน!
ตอนนั้นหลู่ไท่เว่ยแค่รู้สึกสงสารคนตระกูลไป๋ ทว่า ตอนนี้เมื่อคนในตระกูลของเขาเสียชีวิตในสนามรบบ้างเขาถึงเข้าใจความเจ็บปวดเจียนตายอย่างแท้จริง กว่าตระกูลไป๋จะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
หลู่ไท่เว่ยสวมชุดขุนนางเรียบร้อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เขาเดินออกมาจากห้องโดยมีบุตรชายคนโตและหลู่หยวนชิ่งคอยประคอง ขณะเตรียมเดินทางไปยังประตูอู่เต๋อเขาก็เห็นหลู่เฟิ่งหลางหลานสาวของเขายังสวมชุดไว้ทุกข์อยู่
“เฟิ่งหลาง เหตุใดจึงไม่สวมชุดขุนนาง”
หลู่ไท่เว่ยขมวดคิ้วถามหลานสาว
ขอบตาของหลู่เฟิ่งหลางแดงก่ำ ร่างของนางซูบผอมจนแทบเหลือเพียงกระดูก นางสวมเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่ทับชุดไว้ทุกข์ของตัวเอง จากนั้นคุกเข่าคำนับหลู่ไท่เว่ยและบิดาของตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง
“หานเฉิงอ๋องและเหล่าทหารเรือเสียชีวิตในสงครามตงอี๋เพราะความอวดดี อวดฉลาดของเฟิ่งหลาง เฟิ่งหลางจะไปรับผิดกับฝ่าบาทเจ้าค่ะ!”
หลู่ไท่เว่ยถอนหายใจยาวออกมา เขาให้หลู่หยวนชิ่งประคองหลู่เฟิ่งหลางขึ้นมา จากนั้นกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เฟิ่งหลาง หากเจ้าเป็นบุรุษ การที่เจ้าทำผิดและไปยอมรับผิดกับฝ่าบาท เหล่าขุนนางจะชื่นชมเจ้า! ทว่า เจ้าคือสตรี หากเจ้ากล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน ทุกคนจะหยิบเรื่องของเจ้าขึ้นมาเป็นประเด็น กล่าวว่าฝ่าบาทไม่ควรรับสตรีเข้ามาทำงานในราชสำนัก! เดิมทีใต้หล้าแห่งนี้ก็เข้มงวดกับสตรีมากพออยู่แล้ว ฝ่าบาททรงกำลังพยายามปรับเปลี่ยนเรื่องนี้อยู่ ต่อให้เจ้ารู้สึกผิดเพียงใดก็ควรเห็นแก่ส่วนรวมไว้ก่อน หากเจ้ายอมรับผิดเรื่องนี้ เจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ทว่า นั่นเท่ากับเป็นการตัดโอกาสของสตรีอีกหลายคนและทำลายแผนการของฝ่าบาท เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลู่เฟิ่งหลางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของนางส่อแววรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม เป็นดั่งที่ท่านปู่กล่าว…การที่ฝ่าบาทไม่ลงโทษนางเสียทียิ่งทำให้นางรู้สึกผิด มีเพียงกล่าวเรื่องนี้ออกมาเท่านั้นจึงจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้น
ทว่า หากความผิดของนางเป็นการตัดโอกาสของสตรีคนอื่น นางจะยิ่งมีความผิดมหันต์กว่าเดิม
“ไปเปลี่ยนชุดขุนนางและไปต้อนรับฝ่าบาทกับปู่ที่ประตูอู่เต๋อ”
หลู่ไท่เว่ยกล่าว
“เจ้าค่ะ!”
หลู่เฟิ่งหลางรับคำทั้งน้ำตา
ชาวบ้านในเมืองหลวงตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ต่างแย่งกันไปจับจ้องที่บนถนนเพื่อต้อนรับการกลับมาของฝ่าบาทของพวกเขา
ตอนนี้ต้าเยี่ยนยอมตกเป็นของต้าโจว ต้าโจวรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งสำเร็จแล้ว ในที่สุดความวุ่นวายในใต้หล้านี้ก็จะหมดไปเสียที ชาวบ้านต่างตื่นเต้นยินดีมาก
หลายร้อยปีมานี้ใต้หล้ามีแต่สงคราม คนมากมายต้องสูญเสียครอบครัวของตัวเอง ต้องสูญเสียบ้านเกิดกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร
เมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ทุกคนกลายเป็นแคว้นเดียวกันก็จะไม่มีสงครามอีกต่อไป การรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง คืนความสงบสุขให้ใต้หล้ามิใช่เพียงเป้าหมายของทุกคนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว
แสงสีทองของรุ่งอรุณค่อยๆ โผล่ขึ้นจากท้องฟ้า
ไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นสุดเสียง
“ธงเฮยฟานไป๋หมั่ง ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว!”
ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างชะเง้อคอมองข้ามลำตัวของทหารที่ยืนกันอยู่เพื่อหวังเห็นบารมีองอาจของฝ่าบาทของพวกเขา
หน้าต่างแปดบานของหอเชวี่ยที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหราเปิดอ้ากว้าง บ่าวรับใช้รีบวางเก้าอี้กลมไว้ตามราวระบียง เหล่านางรำงดงามซึ่งสวมผ้าผืนบางปิดบังใบหน้าอุ้มผีผาของตัวเองออกมานั่งลงบนเก้าอี้กลมบนชั้นสอง เมื่อฝ่าบาทของพวกนางเสด็จกลับมาพวกนางจะบรรเลงเพลง ‘ใต้หล้าสงบสุข’ ที่พวกนางเพิ่งแต่งขึ้นให้ฝ่าบาท
นางรำคังน่ามีชื่อเสียงเพราะบทเพลง ‘กองทัพไป๋ออกศึก’ คนมากมายยอมทุ่มมาฟังเพลงบรรเลงของคังน่าและยลโฉมใบหน้าที่งดงามของนาง ทว่า กลับถูกนางปฏิเสธทั้งหมด
พวกเขาไม่คิดเลยว่าวันนี้คังน่าจะมาปรากฏตัวที่ชั้นสองของหอเชวี่ยเช่นนี้
ขบวนกองทัพที่มีชูธงเฮยฟานไป๋หมั่งขบวนยาวค่อยๆ เคลื่อนทัพใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลายคนเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบนพื้น
ไป๋ชิงเหยียนสวมชุดเกราะเหล็กสีเงินขี่ม้านำอยู่หน้าสุดของขบวน ไป๋ชิงฉี ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋ชิงอวี๋ ไป๋จิ่นจื้อ ไป๋จิ่นเจา ไป๋จิ่นหวาและไป๋จิ่นเซ่อสวมชุดเกราะสีเงินขี่ม้าขนาบข้างพี่หญิงใหญ่ของพวกเขา แสงสีทองแห่งรุ่งอรุณส่องกระทบลงบนร่างของทุกคน
บุรุษและสตรีตระกูลไป๋ซึ่งชุดเกราะสีเงินกำลังขี่ม้าเข้ามาท่ามกลางแสงสีทองของรุ่งอรุณอย่างองอาจ
ชาวบ้านที่อายุมากแล้วอาจพอจำภาพเหตุการณ์ตอนที่เจิ้นกั๋วอ๋องคนก่อนพาบุรุษตระกูลไป๋ไปออกรบได้
พวกเขาไม่เห็นวันที่เจิ้นกั๋วอ๋องพาบุรุษตระกูลไป๋กลับมาจากสนามรบ ทว่า วันนี้พวกเขาเห็นฝ่าบาทของพวกเขาพบุรุษและสตรีตระกูลไป๋กลับมาพร้อมชัยชนะอย่างองอาจ พวกเขาจะไม่รู้สึกซาบซึ้งและภาคภูมิใจจนหลั่งน้ำตาได้อย่างใดกัน
ตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วอ๋องไม่เคยมีคนไร้ความสามารถ
คนตระกูลไป๋ทุกรุ่นซื่อสัตย์และจงรักภักดี พวกเขาฟื้นขึ้นจากกองเพลิงอีกครั้งหลังเผชิญปัญหาใหญ่หลวง ตอนนี้พวกเขามีจักรพรรดินีที่รวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จ…
เสียงกีบม้าที่พร้อมเพรียงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทหารที่ยืนอยู่หน้าประตูตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น
“รับเสด็จฝ่าบาทกลับมาพร้อมชัยชนะ ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองหมื่นปี! ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
ชาวบ้านที่ยืนอยู่ในเมืองเลือดร้อนขึ้นทันที ชาวบ้านชราหลายคนสะอื้นจนตัวโยน น้ำตาของพวกเขาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง
ชาวบ้านต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นพลางตะโกนขึ้นเสียงดังโดยไม่รอให้กองทัพใหญ่เคลื่อนเข้าในเมือง
“รับเสด็จฝ่าบาทกลับมาพร้อมชัยชนะ ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองหมื่นปี! ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
“รับเสด็จฝ่าบาทกลับมาพร้อมชัยชนะ ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองหมื่นปี! ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
“รับเสด็จฝ่าบาทกลับมาพร้อมชัยชนะ ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองหมื่นปี! ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
คังน่าได้ยินเสียงตะโกนร้องของชาวบ้านจึงกอดผีผาของตัวเองลุกขึ้นยืนมองไปทางนอกเมืองอย่างทนไม่ไหว
หญิงสาวเห็นไป๋ชิงเหยียนซึ่งสวมชุดเกราะและรวบผมขึ้นสูงค่อยๆ ขี่ม้าเข้ามาในเมือง ด้านหลังเต็มไปด้วยทายาทตระกูลไป๋ที่สวมชุดเกราะเช่นเดียวกัน
แสงสีทองของอรุณส่องกระทบร่างของสตรีผู้นั้นเหมือนกับตอนที่คังน่าเห็นนางที่เมืองซั่วหยางไม่มีผิดเพี้ยน ใบหน้าของหญิงสาวงดงามจนยากจะหาผู้ใดเปรียบ ทว่า กลับไม่มีผู้ใดกล้าคิดล่วงเกินนางราวกับนางคือสตรีที่บริสุทธิ์และสูงส่งเกินกว่าผู้ใด
นางไม่เคยพบคนที่รัศมีน่ายำเกรงและองอาจถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิตของนาง
แม้ไม่อยากยอมรับ แม้นางจะรู้ดีว่าฐานะของตัวเองต่ำต้อย ทว่า คังน่ารูสึกนับถือและชื่นชมสตรีผู้นี้มากจริงๆ
“คังน่า…”
นางรำด้านหลังคังน่าเอ่ยเรียกนางเบาๆ
คังน่าได้สติ นางนั่งลงบนเก้าอี้กลมอีกครั้ง นิ้วมืออ่อนโยนและเนียนละเอียดแตะลงบนสายของผีผา นางถอนหายใจยาวออกมา
ไม่นานเสียงเพลงทรงพลังก็ดังกึกก้องขึ้นกลางหอเชวี่ย
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปทางหอเชวี่ย นางเห็นสตรีสวมผ้าปิดหน้าคนหนึ่งนั่งบรรเลงผีผาอยู่ท่ามกลางนางรำคนอื่นๆ
คังน่าเหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวมองไปทางสายตาคู่นั้น เมื่อสบกับดวงตาสีดำขลับที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของไป๋ชิงเหยียนใบหูของคังน่าแดงระเรื่อขึ้นทันที นางบรรเลงเพลงอย่างตั้งใจกว่าเดิม
“ได้ยินว่าคังน่าที่แต่งบทเพลงกองทัพไป๋ออกศึกแต่งเพลงใต้หล้าสงบสุขขึ้นมาเพื่อแสดงความยินดีกับพี่หญิงใหญ่ที่รวบรวมใต้หล้าได้สำเร็จเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า แม้คังน่าจะเกิดมาฐานะต่ำต้อย ทว่า นางมีความสามารถมากจริงๆ
“เชิญคังน่ามาบรรเลงเพลงในงานเลี้ยงฉลองในวังหลวงวันที่แปดนี้ด้วย”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
นางอยากฟังเพลงนี้ให้จบ ทว่า ท่านแม่ บรรดาท่านอาสะใภ้ น้องชายเจ็ดและคนอื่นๆ ยังรอนางอยู่หน้าวังหลวง นางจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้
“เจ้าค่ะ…”
ไป๋จิ่นซิ่วรับคำยิ้มๆ
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
ไป๋จิ่นซิ่วได้ยินเสียงเล็กของเด็กตะโกนขึ้นจึงเงยหน้าขึ้นมองบนหอสุรา นางเห็นฉินหล่างอุ้มวั่งเกอยืนมองพวกนางอยู่
สีหน้าของไป๋จิ่นซิ่วส่องแววประหลาดใจ ขอบตาของนางร้อนผ่าวทันทีที่เห็นใบหน้าของวั่งเกอ แม่อย่างนางติดค้างวั่งเกอมากเหลือเกิน
ไป๋ชิงเหยียนมองตามสายตาของไป๋จิ่นซิ่วไปทางร่างของฉินหล่างและวั่งเกอเช่นเดียวกัน นางส่งยิ้มให้วั่งเกอ…
“ท่านป้าใหญ่!”
วั่งเกอตะโกนเรียกไป๋ชิงเหยียนสุดเสียง ตอนเล็กวั่งเกอเติบโตในวังหลวง เขาและเสี่ยวปามักไปเล่นที่ตำหนักของไป๋ชิงเหยียนจึงสนิทสนมกับหญิงสาวมาก
ฉินหล่างส่งตัววั่งเกอให้แม่นม จากนั้นโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้ารับ นางหันไปมองเหล่าทหารในกองทัพซึ่งขี่ม้าอยู่ทางด้านหลังที่อาจมองเห็นครอบครัวของตัวเองออกมาต้อนรับเช่นเดียวกันแวบหนึ่ง
นางเห็นหลิ่วผิงเกาแยกออกไปจากขบวน จากนั้นก้มหน้าคุยกับสตรีนางหนึ่งที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น นางผู้นั้นเงยหน้าส่งยิ้มกว้างให้หลิ่วผิงเกา
ไป๋ชิงเหยียนเลิกคิ้วสูง หงเชี่ยวอย่างนั้นหรือ
สาวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเหลียงอ๋องในตอนนั้น…ไป๋ชิงเหยียนคิดว่าคนเหล่านี้เสียชีวิตไปหมดแล้วเสียอีก เหตุใดนางจึงไปอยู่กับหลิ่วผิงเกาได้
“อาอวี๋…”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปเรียกน้องชาย
ไป๋ชิงอวี๋ขี่ม้าเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน
“พี่หญิง…”
“ตอนที่หลิ่วผิงเกาของกองทัพอันผิงแต่งงานเจ้าได้ไปร่วมงานหรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
ไป๋ชิงอวี๋หันไปมองทางด้านหลังแวบหนึ่ง ตอนนี้หลิ่วผิงเกากลับเข้ามาอยู่ในขบวนตามเดิมแล้ว
“ไม่ได้ไปขอรับ”
“เจ้าไปสืบประวัติภรรยาของหลิ่วผิงเกาที ดูเหมือนนางจะคืออดีตสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเหลียงอ๋อง”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าจะสืบเรื่องนี้เองขอรับ”
ไป๋ชิงอวี๋ชะลอความเร็วมาลงเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยสั่งหวังต้ง “เมื่อสืบรู้ว่าภรรยาของหลิ่วผิงเกาคือคนของเหลียงอ๋องไม่ต้องจับตัวนางมา ให้บอกเรื่องนี้กับหลิ่วผิงเกา ให้เขาตัดสินใจเองว่าจะจัดการกับนางเช่นใด”
“ขอรับ!”
หวังต้งรับคำ
ต่งซื่อและคนอื่นๆ ยืนรออยู่หน้าประตูอู่เต๋อพักใหญ่แล้ว
ในที่สุดพวกนางก็เห็นไป๋ชิงเหยียนขี่ม้านำขบวนเข้ามา ทุกคนลงจากหลังม้า
บรรดาขุนนางคุกเข่าลงบนพื้น
ไป๋ชิงเหยียนมองแต่มารดาของตัวเอง นางคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น จากนั้นกล่าวขึ้น
“ไป๋ชิงเหยียนทายาทคนโตของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไป๋ชิงฉีคุณชายสามของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ!”
“ไป๋จิ่นซิ่วคุณหนูสองของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไป๋ชิงอวี๋คุณชายสามของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ!”
“ไป๋ชิงเจวี๋ยคุณชายเจ็ดของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ!”
“ไป๋จิ่นถงคุณหนูสามของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไป๋จิ่นจื้อคุณหนูสี่ของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไป๋จิ่นเจาคุณหนูห้าของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไป๋จิ่นหวาคุณหนูหกของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
“ไป๋จิ่นเซ่อคุณหนูเจ็ดของตระกูลไป๋กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ!”
คำว่ากลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยทำให้บรรดาฮูหยินของตระกูลไป๋น้ำตาไหลพรากลงมาทันที ไป๋ชิงอวิ๋นที่นั่งอยู่บนรถเข็นน้ำตาไหลพรากเช่นเดียวกัน
กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย…
นี่คือคำที่น่ายินดีที่สุดสำหรับตระกูลไป๋
พวกนางเคยอยากให้ทายาทของตระกูลไป๋ทุกคนกลับมาบอกกับพวกนางเช่นนี้
นี่คือความรักและความห่วงใยที่คนตระกูลไป๋มีให้เหล่าทายาทในตระกูล
ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด…ขอเพียงกลับมาก็พอ
“รีบลุกขึ้นเถิด!”
ต่งซื่อประคองร่างของบุตรสาวและบุตรชายลุกขึ้นด้วยมืออย่างละข้าง จากนั้นกล่าวเสียงสะอื้น
“กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ดีแล้ว!”
“ท่านแม่ ข้าสานต่อปณิธานของท่านปู่และท่านพ่อให้เป็นจริงสำเร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนกุมมือมารดาแน่น
“ท่านแม่ ต่อจากนี้ทายาทของตระกูลไป๋ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายในสนามรบอีก ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ของตัวเองอย่างสงบสุขเจ้าค่ะ”
“ดี ดีแล้ว!”
น้ำตาของต่งซื่ออาบหน้า
“หากบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ท่านปู่ ท่านพ่อและบรรดาท่านอาของเจ้ารับรู้ต้องดีใจและภูมิใจมากแน่นอน”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางเหล่าขุนนางที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น นางกำมือมารดาแน่น จากนั้นกล่าวขึ้น
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
ต่งชิงผิงลุกขึ้นยืนทั้งน้ำตา เขามองไปทางหลานสาวของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นโค้งกายคำนับ
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทที่รวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านลุงลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนประคองร่างของต่งชิงผิงไว้ จากนั้นมองไปทางร่างของหลู่ไท่เว่ยที่ดูแก่ชราลงราวกับปี
“หลู่ไท่เว่ย…”
“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ…”
หลู่ไท่เว่ยน้ำตาคลอ เขารู้สึกยินดีกับไป๋ชิงเหยียนจริงๆ
“หลู่ไท่เว่ย…”
ไป๋ชิงเหยียนประคองร่างของหลู่ไท่เว่ย จากนั้นกล่าวเสียงเบา
“หากครั้งนี้ไม่ได้หลู่หยวนเผิงช่วยคุ้มครองเกาอี้อ๋องฝ่าวงล้อมของศัตรูออกไปตามคนมาช่วย…ข้าคงไม่ได้กลับมาแล้ว! หลู่หยวนเผิงช่วยชีวิตข้าและทหารที่รอดชีวิตมาได้ทุกคน! พวกข้ากล่าวคำว่าไว้อาลัยออกมาได้อย่างง่ายดาย ทว่า ผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วถึงจะรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด ไท่เว่ย…ต่อจากนี้ลูกหลานของพวกเราจะไม่ต้องออกไปทำสงครามอีกแล้ว ไม่มีผู้ใดต้องสละชีพในสงครามอีกแล้ว”
น้ำตาของหลู่ไท่เว่ยไหลออกมาทันที เขาพยักหน้าเบาๆ ความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้ในใจหลายวันที่ผ่านมาถาโถมออกมาจนเขาควบคุมมันไม่อยู่อีกต่อไป
ตอนนี้เขาอยากได้ยินหลู่หยวนเผิงตะโกนเรียกเขาว่าท่านปู่ที่สุด แม้หลานชายจะเรียกจนเขาปวดหัวก็มิเป็นอันใด ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ก็พอ
หากรู้ว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ตอนนั้นเขาไม่ควรขัดขวางหลู่หยวนเผิงกับเกาอี้อ๋อง เขาต้องการเกียรติยศของตระกูลไป๋ทำเพื่อสิ่งใดกันในเมื่อตอนนี้หลานชายของเขาไม่มีชีวิตอยู่แล้ว…