สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 229 สวามิภักดิ์
ตอนที่ 229 สวามิภักดิ์
“ตอนที่กองทัพซีเหลียงบุกล้อมอำเภอเฟิง ข้าช่วยทำแผลให้ทหารกองทัพไป๋อยู่บนกำแพงเมือง ข้าเห็นแม่ทัพใหญ่ของซีเหลียงตัดศีรษะและคว้านท้องของคุณชายไป๋ซึ่งอายุเพียงสิบขวบด้วยตาตัวเอง…”
จี้หลางหวาสะอื้นจนกล่าวต่อไปไม่ไหว หญิงสาวใช้แขนเสื้อซับน้ำตาพลางกล่าวต่อ “ข้าได้ยินแม่ทัพจี๋หย่งไป๋ชิงหมิงตะโกนออกมาว่ากองทัพไป๋จะรบจนเหลือเป็นคนสุดท้าย หากไม่ตายจะไม่มีวันถอยหนีกับหูของข้าเอง แม่ทัพของตระกูลไป๋ตลอดจนทหารยศน้อยที่สุดล้วนสละชีพเพื่อปกป้องชาวบ้านอย่างพวกข้า! ข้าที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่มีค่าก็อยากทำสิ่งใดเพื่อเหล่าทหารบ้างเจ้าค่ะ…”
เมื่อได้ยินคำว่าอำเภอเฟิง ไป๋ชิงเหยียนอดนึกถึงเสี่ยวสือชีขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดเกินต้านทาน เปล่งเสียงอุทานออกมาอย่างสะอึกสะอื้น “อำเภอเฟิงอย่างนั้นหรือ…”
“เจ้าค่ะ! อำเภอเฟิง…” จี้หลางหวาปวดร้าวในลำคอ
เหมือนไป๋ชิงเหยียนจะมองเห็นบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าของจี้หลางหวาผ่านผ้าคลุมผืนบาง น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดกล่าวออกมาอย่างแหบพร่า “เช่นนั้น เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี อย่าทำผิดต่อทหารกองทัพไป๋ที่เสียชีวิตไปแล้ว!”
จี้หลางหวาได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวออกมาเหมือนกับไป๋ชิงหมิงไม่มีผิดเพี้ยนจึงรับคำทั้งน้ำตา
หญิงสาวทำแผลให้ไป๋ชิงเหยียนเสร็จเรียบร้อย ช่วยนางสวมเกราะที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่ด้วยความระมัดระวัง จากนั้นย่อกายทำความเคารพ มองส่งไปชิงเหยียนเดินจากไป
เสิ่นเหลียงอวี้ทำแผลเสร็จแล้วแต่ยังไม่พักผ่อน ขณะที่เขาถือไหเหล้าเตรียมเดินไปหาไป๋จิ่นจื้อในกระโจมก็พบกับไป๋ชิงเหยียนซึ่งทำแผลเสร็จแล้วเดินออกมาจากกระโจมใหญ่เสียก่อน เสิ่นเหลียงอวี้รีบถลาเข้าไปหา “เสี่ยวไป๋ไซว่!”
“เหตุใดยังไม่พักผ่อนอีก” สายตาของไป๋ชิงเหยียนหยุดอยู่ที่บาดแผลที่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้วของเสิ่นเหลียงอวี้
“นึกขึ้นได้ว่าวันนี้คุณหนูสี่ได้รับบาดเจ็บจึงนำสิ่งนี้มาให้คุณหนูสี่ขอรับ…” เสิ่นเหลียงอวี้ชูไหเหล้าในมือขึ้นยิ้มๆ
คงเป็นเพราะช่วยชีวิตไป๋ชิงอวิ๋นออกมาได้ เสิ่นเหลียงอวี้จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาดูไม่ได้เหนื่อยล้าเลยแม้แต่นิดเดียว
“เหล้าน้ำผึ้ง!” ไป๋ชิงเหยียนยื่นมือไปรับมา “เมื่อก่อนข้าก็เคยดื่ม ได้ยินว่านี่คือสูตรลับของตระกูลท่าน! ข้าจะเอาไปให้เสี่ยวซื่อเอง ท่านรีบไปพักผ่อนเถิด!”
“ขอรับ!” เสิ่นเหลียงอวี้พยักหน้ารับ เขาเห็นรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อเกราะของหญิงสาวจึงเอ่ยถาม “เสี่ยวไป๋ไซว่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันหรือขอรับ! เจ็บมากหรือไม่ขอรับ”
หญิงสาวส่ายหน้า “เลือดของทหารซีเหลียงทั้งนั้น!”
เสิ่นเหลียงอวี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ กำหมัดอำลาแล้วเดินกลับไปพักผ่อน
ทำศึกมาทั้งคืน เสิ่นเหลียงอวี้ก็เหนื่อยล้าแล้วเช่นกัน
บัดนี้องค์รัชทายาทไม่รู้สึกง่วงนอนอีกแล้ว เขาฟังฟางเหล่ากล่าวพลางกระชับเสื้อคลุมของตัวเองแน่น
“ไม่ว่าซีเหลียงต้องการจะทำสิ่งใด ครั้งนี้ทหารของค่ายหู่อิงพบยอดฝีมือที่แต่งกายด้วยชุดต้าจิ้น และยังปะทะกันอีก เหยียนอ๋องแห่งซีเหลียงต้องรู้สึกหวาดกลัวแน่พ่ะย่ะค่ะ พวกเขาอาจแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกมา หรือไม่ พวกเขาคงลงมือทำสิ่งใดสักอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นต่อพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินซ่างจื้อเงยหน้ามองไปทางฟางเหล่าซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางแสงไฟ พยักหน้าให้องค์รัชทายาทน้อยๆ สื่อว่าเขาก็เห็นเช่นนั้น
ฟางเหล่าลูบเคราของตัวเอง ก้มหน้าใช้ความคิด “ขอแค่พวกเขามีการเคลื่อนไหว…พวกเราก็จะรู้จุดประสงค์ของพวกเขาทันที! กระหม่อมจึงเสนอให้องค์รัชทายาทรอดูสถานการณ์อย่างสงบก่อนพ่ะย่ะค่ะ! หากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว พวกเราก็ไม่ต้องเคลื่อนไหว ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มิเช่นนั้นพวกเราต้องอธิบายว่าเหตุใดจึงส่งทหารค่ายหู่อิงเข้าไปสอดแนมในชิวซานกวน แคว้นต้าจิ้นอาจเสื่อมเสียชื่อเสียงและความศรัทธาจากแคว้นอื่นๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อฉินซ่างจื้อได้ยินประโยคหลังของฟางเหล่าจึงเบิกตาโพลง เขาโมโหจนแทบหงายหลัง ถ้อยคำช่วงแรกของฟางเหล่ามีเหตุผล ทว่า ประโยคสุดท้าย…ฉินซ่างจื้อไม่เห็นด้วย
“องค์ชาย กระหม่อมเห็นด้วยกับคำกล่าวช่วงแรกของฟางเหล่า ทว่า ที่ครั้งนี้ทหารค่ายหู่อิงเข้าไปสอดแนมที่ชิวซานกวนก็เพราะซีเหลียงเป็นคนจัดการเรื่องสถานที่และเวลาในการนัดพบเจรจา ทว่า เหยียนอ๋องแห่งซีเหลียงกลับเอาแต่บ่ายเบี่ยงเรื่องการเจรจา ต้องการผลัดเป็นวันอื่น แคว้นต้าจิ้นจะไม่ระแวงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ หากซีเหลียงมีแผนการแอบแฝงเล่าพ่ะย่ะค่ะ! เหตุใดพวกเขาต้องซ่อนยอดฝีมือที่แต่งกายด้วยชุดต้าจิ้นไว้ที่ชิวซานกวนด้วย แคว้นต้าจิ้นของเราคือผู้ชนะ…ซีเหลียงต้องอธิบายให้พวกเราเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” ฉินซ่างจื้อกล่าวอย่างโมโห
“ฉินเซียนเซิงช่างเป็นคนหนุ่มไฟแรงเสียจริง คราวที่แล้วแม่ทัพไป๋สังหารทหารยอมจำนนนับแสนของซีเหลียง แคว้นอื่นๆ ต่างจ้องต้าจิ้นตาเป็นมันแล้ว! บัดนี้ทั้งสองแคว้นเพิ่งลงนามทำสัญญาสงบสุขกันเสร็จ ทว่า ต้าจิ้นกลับส่งทหารเข้าไปสอดแนมเมืองชิวซานกวนที่ทหารซีเหลียงยังไม่ทันได้ย้ายออกไปโดยถือตัวว่าตัวเองเป็นแคว้นที่ชนะศึก ต้าจิ้นไม่ขายหน้าแคว้นอื่นหรืออย่างไร แคว้นอื่นจะมองแคว้นต้าจิ้นของเราเช่นไร” ฟางเหล่าไม่มองฉินซ่างจื้อแม้แต่น้อย กำหมัดกล่าวกับองค์รัชทายาท “องค์รัชทายาททรงพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินซ่างจื้อเห็นองค์รัชทายาทพยักหน้า โทสะปะทุอยู่ในใจ โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา เขาไม่กล่าวสิ่งใดอีกทั้งสิ้น
องค์รัชทายาทยื่นมือออกจากเสื้อคลุมสีดำไปอังไฟในเตาผิง กล่าวขึ้น “เรื่องนี้ทำตามที่ฟางเหล่ากล่าวมาก่อนก็แล้วกัน เรารออยู่อย่างสงบก่อน! ฉินเซียนเซิงกับเริ่นเซียนเซิงไปพักผ่อนก่อนเถิด เรามีเรื่องต้องกล่าวกับฟางเหล่าต่อ!”
ฉินซ่างจื้อหงุดหงิดใจมาก ลุกขึ้นยืนทำความเคารพแล้วจากไปทันที ส่วนเริ่นซื่อเจี๋ยทำความเคารพองค์รัชทายาทและฟางเหล่าอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงเดินออกจากกระโจมไป
ฟางเหล่ามองดูแผ่นหลังที่จากไปอย่างโมโหของฉินซ่างจื้อ แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นหันไปหาองค์รัชทายาทพลางกล่าวออกมาอย่างนอบน้อมและอ่อนโยน “องค์ชายมีเรื่องหนักพระทัยอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทส่ายหน้า ยื่นตราทัพในมือให้ฟางเหล่าดู
ฟางเหล่าประหลาดใจ “ตราทัพ?!”
“เมื่อครู่ตอนกลับมาเรารู้สึกเหนื่อยจึงไม่ได้เรียกฟางเหล่าเข้ามาพบ ไป๋ชิงเหยียนคืนตราทัพให้เราหลังจากการเจรจาสงบศึกเสร็จสิ้นลง! นางกล่าวว่าที่ไม่ได้คืนให้เราก่อนหน้านี้เป็นเพราะการเจรจายังไม่เสร็จสิ้น นางกลัวว่าซีเหลียงจะเปลี่ยนใจ! บัดนี้ลงนามในสัญญาเสร็จแล้ว นางจึงคืนตราทัพให้เรา ไม่เพียงเท่านี้…” องค์รัชทายาทจ้องไปยังแสงไฟริบหรี่ในเตาผิง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ไป๋ชิงเหยียนยังขอให้เราจัดให้กองทัพไป๋เฝ้าอยู่ที่ภูเขาถงกู่ ให้แม่ทัพไป๋คนหนึ่งคุ้มกันเมืองจงซาน อีกคนคุ้มกันเมืองไป๋หลง ขณะที่คุ้มกันเมืองให้ฝึกทหารกลุ่มใหม่ให้เราด้วย!”
ฟางเหล่าตะลึงงัน เขานึกถึงตำแหน่งของภูเขาถงกู่ เมืองจงซานและเมืองไป๋หลงจากนั้นขมวดคิ้วแน่น “ให้แม่ทัพของตระกูลไป๋คุ้มกันเมืองพลางฝึกฝนทหารใหม่ให้องค์รัชทายาทหรือพ่ะย่ะค่ะ! เช่นนั้นหมายความว่าจะให้แม่ทัพของกองทัพไป๋นำทัพกองทัพต้าจิ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายต้องป้องกันไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟางเหล่า…ท่านหวาดระแวงเกินไปแล้ว!” องค์รัชทายาทกล่าวออกมายิ้มๆ “ไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่าให้เราส่งแม่ทัพของเราไปคุ้มกันเมืองจงซานและเมืองไป๋หลงร่วมกับแม่ทัพทั้งสองของกองทัพไป๋ด้วย แม่ทัพของกองทัพไป๋มีหน้าที่ฝึกฝนทหาร แม่ทัพของเราควบคุมอำนาจทางทหาร! เช่นนี้ทหารยอดฝีมือของต้าจิ้นจะกลายเป็นคนของเรา! ดาบเราชี้ไปทางใด พวกเขาก็พร้อมลุยทุกเมื่อ! ร่างกายของนางไม่แข็งแรง นางจึงมอบกองทัพไป๋ให้แก่เรา”
ฟางเหล่าเห็นสีหน้าขององค์รัชทายาทก็รู้ได้ทันทีว่าองค์รัชทายาทเชื่อใจไป๋ชิงเหยียนมากแล้ว “องค์ชาย แล้วค่ายหู่อิงเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไป๋ชิงเหยียนจะจัดการค่ายหู่อิงเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทชะงัก หรี่ตาลง “ไป๋ชิงเหยียน…ไม่ได้กล่าวถึง! แต่หากเราจัดการ ไป๋ชิงเหยียนไม่มีทางขัดคำสั่งเราหรอก!”
ฟางเหล่าหวนนึกถึงท่าทีที่นอบน้อมของไป๋ชิงเหยียนที่มีต่อองค์รัชทายาทตอนอยู่ในกระโจมเมื่อครู่ เขาลูบเคราของตัวเองพลางพยักหน้า “องค์รัชทายาทอ่อนโยนมีเมตตา ขนาดแม่ทัพผู้กล้าหาญดังเช่นไป๋ชิงเหยียนยังสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายที่ได้ครอบครองกองทัพไป๋ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”