สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 242 สวามิภักดิ์
ตอนที่ 242 สวามิภักดิ์
“ที่จริงเซียวเซียนเซิงถือเป็นคนโดดเด่นคนหนึ่ง นิสัยซื่อตรงเปิดเผย…เราสนิทกับเขาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเพียงอ๋อง แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้า ทว่า ไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน ดูเหมือนบัณฑิตเสียมากกว่า! บัดนี้ตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้ว หากเซียวหรงเหยี่ยนจริงใจต่อแม่ทัพไป๋และยินยอมแต่งเข้าตระกูลไป๋จริงๆ นอกจากเรื่องฐานะที่อาจต่ำต้อยไปสักนิด เราคิดว่าเขาเหมาะสมกับเจ้ามาก” รัชทายาทกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
หากเซียวหรงเหยี่ยนยอมแต่งเข้าตระกูลไป๋เพื่อไป๋ชิงเหยียน คงเป็นเรื่องดีสำหรับเขาในภาคกายหน้าเป็นอย่างมาก
เช่นนี้เขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าไป๋ชิงเหยียนจะแต่งงานไปอยู่ที่อื่นอีกแล้ว เซียวหรงเหยี่ยนสนิทกับเขา ความรู้และนิสัยใจคอดีมาก หากรั้งชายหนุ่มไว้ที่ต้าจิ้นได้ เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในต้าจิ้น…
รัชทายาทนึกถึงความใจป้ำของเซียวหรงเหยี่ยนตอนที่อยู่ในแคว้นต้าจิ้นก็หรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้
บัดนี้ตระกูลไป๋อยู่ข้างเดียวกันกับเขาแล้ว หากเซียวหรงเหยี่ยนแต่งเข้าตระกูลไป๋ ชายหนุ่มย่อมต้องอยากให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ชายหนุ่มต้องสนับสนุนเรื่องเงินทองแก่เขาเพราะอยากได้ความดีความชอบแน่นอน หากเขามีเรื่องต้องการใช้เงินก็คงสะดวกสบายขึ้นมาก
ไป๋ชิงเหยียนขมวดคิ้ว เอ่ยเรื่องที่ดูลำบากใจที่สุดของตัวเองออกให้มารัชทายาทฟังด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“องค์ชาย ต่อให้เซียวเซียนเซิงดีเพียงใด เหยียนก็คงไม่มีวาสนาหรอกเพคะ เพราะเหยียนมีบุตรได้ยาก…”
“เรื่องบุพเพสันนิวาสมันไม่แน่ไม่นอนหรอก…” รัชทายาทยังคงไม่ล้มเลิกความคิด กล่าวกับไป๋ชิงเหยียนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นหันไปกล่าวกับเซียวรั่วเจียงต่อ
“ภายภาคหน้าทำสิ่งใดก็ระมัดระวังหน่อย ครั้งนี้เราเป็นคนพบ หากฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้…เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้คุณหนูใหญ่ของเจ้ามากเพียงใด”
เซียวรั่วเจียงรีบพยักหน้า “องค์รัชทายาทสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปกระหม่อมจะทำตามที่องค์ชายสั่งสอน จะระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คุณหนูใหญ่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไปเถิด!” รัชทายาทกล่าวกับเซียวรั่วเจียง
เซียวรั่วเจียงพยักหน้าพลางเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
รัชทายาทมองดูไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อเจ้า…”
“เหยียนเข้าใจเพคะ หากองค์ชายไม่คิดว่าเหยียนเป็นคนกันเองก็คงไม่เรียกหรู่ซยงเข้ามาพบ และสั่งสองเขาเช่นนี้หรอกเพคะ! เหยียนเข้าใจความหวังดีขององค์ชายดีเพคะ!”
รัชทายาทพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพไป๋ก็ไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ต้องพาเหยียนอ๋องและองค์หญิงผิงหยางเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับพวกเรา การเดินทางครั้งนี้ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา อย่าให้ซีเหลียงเล่นตุกติกได้เป็นอันขาด”
“เพคะ!”
ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากกระโจมใหญ่ โค้งกายอำลาฟางเหล่า เมื่อหันกลับไปก็เห็นไป๋จิ่นจื้อและเซียวรั่วเจียงยืนรออยู่หน้าประตู
ระหว่างเดินกลับไปยังกระโจม เซียวรั่วเจียงกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงเบาหวิว
“ครั้งนี้คุณหนูใหญ่ใช้เซียวเซียนเซิงเป็นข้ออ้าง เซียวเซียนเซิงค่อนข้างสนิทกับองค์รัชทายาท เกรงว่าเรื่องของคุณชายเจ็ด…”
“วางใจได้ เซียวหรงเหยี่ยนไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้หรอก”
ตอนที่เซียวหรงเหยี่ยนให้คนนำจดหมายมาให้นาง ชายหนุ่มก็ไม่ได้อำพรางตัวตนแต่อย่างใด เขาคงไม่กลัวรัชทายาทรับรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เซียวหรงเหยี่ยนดีว่านางหวาดระแวงราชวงศ์ต้าจิ้นมากเพียงใด นางก็รู้ฐานะที่แท้จริงของเซียวหรงเหยี่ยนดี ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน ย่อมต้องช่วยอีกฝ่ายปิดปังอยู่แล้ว
…
ควงผิง เมืองหลวงของหนานเยี่ยน
จักรพรรดิมู่หรงเพ่ยแห่งหนานเยี่ยนกอดตราประทับหยกแผ่นดินแน่น เมื่อเห็นธงสีฟ้ารูปนกนางแอ่นสีดำซึ่งเป็นธงสัญลักษณ์ของแคว้นต้าเหยี่ยนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รถม้าสีดำสิบหกคันของจักรพรรดิหมิงเต๋อแห่งแคว้นต้าเยี่ยนเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองหลวงอย่าเอิกเกริกท่ามกลางแสงแห่งรุ่งอรุณ
มือที่ตราประทับหยกแผ่นดินของของมู่หรงเพ่ยสั่นเทา เขานำบรรดาเชื้อพระวงศ์ของหนานเยี่ยนคุกเข่าอยู่หน้าพระราชวัง ชูตราประทับหยกแผ่นดินขึ้นเหนือศีรษะ
ปีที่จีโฮ่วเสียชีวิต ต้าเยี่ยนชุลมุนวุ่นวาย มู่หรงเพ่ยอาศัยช่วงที่ต้าเหยี่ยนกำลังวุ่นวายขโมยตราประทับหยกแผ่นดินหนีกลับมายังเมืองควงผิงซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของต้าเยี่ยน อีกทั้งโค่นล้มระบอบการปกครองของจีโฮ่ว กลับไปใช้การปกครองดังเดิมของต้าเยี่ยน เขาได้รับการสนับสนุนเชื้อพระวงศ์เก่าแก่ของต้าเยี่ยน แยกดินแดนออกมาสถาปนาตนเป็นแคว้นหนานเยี่ยน
ครั้งนี้แม่ทัพเซี่ยสวินแห่งหนานเยี่ยนบุกเข้ามายังเมืองควง สังหารเชื้อพระวงศ์เก่าแก่ที่สนับสนุนมู่หรงเพ่ยจนหมดสิ้น ชาวบ้านล้วนชอบใจในการกระทำของเขา
เซี่ยสวินขี่ม้าเข้าไปเคาะประตูหลักของวังหลวงเพียงลำพัง เขานำจดหมายของอ๋องเก้ามู่หรงเหยี่ยนแห่งต้าเยี่ยนมาให้ กล่าวว่าอีกไม่นานจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนจะเดินทางมาถึงเมืองควงผิง หากมู่หรงเพ่ยไม่อยากให้เมืองควงผิงต้องเปื้อนเลือดของราชวงศ์ก็จงมอบตราประทับหยกแผ่นดินและออกมาคุกเข่าหน้าพระราชวัง เช่นนี้…มู่หรงเพ่ยจึงจะสามารถรักษาชีวิตของคนทั้งราชวงศ์เอาไว้ได้
มู่หรงเพ่ยรู้ดีว่าตนสูญสิ้นอำนาจแล้ว เขาจะปล่อยให้ลูกๆ ที่ยังเด็กอยู่ตายอยู่ที่เมืองควงผิงพร้อมเขาได้อย่างไรกัน ที่สำคัญเมื่อเขาย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองหลวงเก่า สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิและใช้ระบอบการปกครองเก่าของต้าเยี่ยน เชื้อพระวงศ์เก่าดีใจ ทว่า ชาวบ้านล้วนโกรธแค้น มีชาวบ้านคนใดบ้างที่ไม่ก่นด่าว่าเขาเป็นทรราช
ช่างเถิด…ช่างเถิด!
เดิมทีเขาก็เป็นเพียงบุตรของอนุ ได้เป็นจักรพรรดิมานานถึงเพียงนี้ ได้เสวยสุขมานานถึงเพียงนี้ เป็นหุ่นเชิดมานับสิบปีแล้ว ขอแค่ปกป้องชีวิตของลูกหลานเอาไว้ได้ ต่อให้ต้องขายหน้าเขาก็ยอม!
อย่างไรซะตัวเขาก็ไม่ใช่สายเลือดหลักอยู่แล้ว
วันที่สาม เดือนสาม รัชศกหมิงเต๋อปีที่สิบสามแห่งแคว้นต้าเยี่ยน จักรพรรดิฮุ่ยเหวินมู่หรงเป่ยแห่งแคว้นหนานเยี่ยนคุกเข่าอยู่หน้าพระราชวัง ณ เมืองควงผิงซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของแคว้นต้าเยี่ยน มอบตราประทับหยกแผ่นดิน และยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าเยี่ยน ถือเป็นการสิ้นสุดการแตกแยกของต้าเยี่ยนที่มีมานานถึงสิบเก้าปี
ในวันเดียวกัน อัครมหาเสนาบดีหลินฉงอี้ปลิดชีพเพื่อบ้านเมือง มู่หรงเพ่ยได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นหมิงตูอ๋อง พาครอบครัวย้ายออกไปจากเมืองควงผิง
ภายในพระราชวังของเมืองควงผิง
จักรพรรดิหมิงเต๋อเดินไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นเคยในวังหลวงท่ามกลางแสงอรุณที่ค่อยๆ โผล่ลับฟ้าโดยมีเซียวหรงเหยี่ยนและขันทีชราเฝิงเย่าคอยช่วยประคอง มุ่งหน้าไปยังตำหนักหล่านเฟิ่งที่มารดาของเขาเคยประทับอยู่ครั้นเมื่ออยู่ที่เมืองควง
เฟิ่งเย่าเป็นคนเก่าแก่ที่เคยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายของจีโฮ่ว ก่อนที่จักรพรรดิหมิงเต๋อมู่หรงอวี้และเซียวหรงเหยี่ยนจะเดินทางมาถึง เฟิ่งเย่าได้สั่งให้คนตกแต่งซ่อมแซมตำหนักหล่านเฟิ่งให้เหมือนกับภาพในความทรงจำของเขา
จักรพรรดิหมิงเต๋อมู่หรงอวี้ที่รูปร่างสูงโปร่งแต่ผอมซูบเดินไปถึงหน้าตำหนักหล่านเฟิ่งก็เห็นกลีบดอกไห่ถัง[1]ถูกลมพัดปลิวมาตกอยู่บนธรณีประตู เขาโน้มกายลงเก็บขึ้นมา ทว่ากลับทำให้เฟิงเย่าตกใจจนแทบหัวใจวาย “ฝ่าบาท ทรงต้องการสิ่งใดโปรดบอกบ่าวสิพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรามิเป็นอันใด เหล่าซูไม่ต้องกังวล!”
มู่หรงอวี้ยื่นแขนเรียวยาวออกมาจากแขนเสื้อของเสื้อคลุมกันลม ก้มลงหยิบกลีบดอกไห่ถังขึ้นมา จากนั้นหยัดกายขึ้น มองไปยังต้นไห่ถังที่โดนแสงอาทิตย์สะท้อนจนกลายเป็นสีทองอร่ามกลางลานหญ้ายิ้มๆ
“ยี่สิบกว่าปีแล้ว ต้นไห่ถังที่ท่านแม่ปลูกไว้ตอนนั้นเติบใหญ่เป็นต้นโตขนาดนี้แล้ว”
ดวงตาที่เหมือนกับเซียวหรงเหยี่ยนไม่มีผิดเพี้ยนของมู่หรงอวี้มีรอยยิ้มบางๆ ขณะมองไปทางต้นไห่ถังต้นนั้น
จักรพรรดิหมิงเต๋อมู่หรงอวี้มีพระชนม์มายุเพียงสามสิบเจ็ดปีเท่านั้น ถือเป็นวัยที่กำลังแข็งแรง ทว่า เขากลับมีอาการป่วยออดแอดเช่นนี้
มู่หรงอวี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นบุรุษรูปงาม ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับจี้โฮ่วเป็นอย่างมาก งดงามน่าตราตรึงยิ่งกว่าสตรีอีกหลายๆ คน ทำให้ผู้คนไม่อาจมองข้ามได้ หากไม่ใช่เพราะเขามีร่างที่สูงโปร่ง และมีรัศมีของความเป็นจักรพรรดิที่สุขุมน่าเกรงขามเช่นนี้ เขาคงถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีอ่อนแอที่แต่งกายเป็นชายแน่นอน
มู่หรงเหยี่ยนยืนอยู่ข้างกายมู่หรงอวี้ ดวงตาสีดำขลับล้ำลึก มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อลูบคลำหยกจักจั่นอย่างแผ่วเบา กล่าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน “ข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว…”
ตอนที่จี้โฮ่วย้ายเมืองหลวง เซียวหรงเหยี่ยนเพิ่งอายุสองขวบ ย่อมจำเหตุการณ์ในพระราชวังเก่าไม่ได้
ในสมองของเซียวหรงเหยี่ยนในตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องการหมอมารักษาอาการป่วยของมู่หรงอวี้
เพื่อต้องการให้ครั้งนี้ต้าเยี่ยนสูญเสียน้อยที่สุด เซียวหรงเหยี่ยนจึงเสนอความคิดเห็นให้พี่ชายของเขาเสด็จมายังเมืองควงผิง เมื่อชาวบ้านรับรู้ว่าจักรพรรดิหมิงเต๋อแห่งต้าเยี่ยนเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ต่างก็ยินดีต้อนรับ ร้องตะโกนด้วยความดีใจที่ได้กลับไปใช้ระบอบการปกครองของจีโฮ่วดังเช่นที่เซียงหรงเหยี่ยนกล่าวไว้จริงๆ
[1]ดอกไห่ถัง เป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ล มีดอกสีขาว ชมพูหรือแดง ซึ่งจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ