สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 244 เสียสายตา
ตอนที่ 244 เสียสายตา
“บัดนี้เรายึดดินแดนทางใต้กลับคืนมาได้ทั้งหมดแล้ว ใช้ระบอบการปกครองของท่านแม่ ไม่เกินสามปี ดินแดนทางใต้คงกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ชาวบ้านเจริญมั่งคั่งจึงจะสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งได้ กองทัพแข็งแกร่ง แคว้นจึงจะแข็งแกร่ง แคว้นแข็งแกร่งจึงจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้!”
เซียวหรงเหยี่ยนมองมู่หรงอวี้นิ่ง
“เพื่อแผนการในภายภาคหน้า หากเสด็จพี่เห็นด้วย ได้โปรดส่งตัวประกันไปยังต้าจิ้นเพื่อแสดงความจริงใจ อย่างน้อยก็สามรถแลกความสงบสุขให้ต้าเยี่ยนได้อย่างน้อยสามปี”
ตัวประกัน…
คิ้วของมู่หรงอวี้ขมวดแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นพยักหน้า
“อาเหยี่ยนกล่าวถูกต้องแล้ว แคว้นต้าเยี่ยนอ่อนแอ ชาวบ้านยากจน ทำการสิ่งใดต้องรอบคอบให้มาก”
มู่หรงอวี้กล่าวจบก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที ร่างทั้งร่างโอนเอน
“เสด็จพี่!” เซียวหรงเหยี่ยนรีบประคองพี่ชาย ตะโกนออกมาดังลั่น “ใครก็ได้ รีบเข้ามาที!”
“ไม่เป็นอันใด อย่าทำให้ผู้อื่นตกใจเลย” มู่หรงอวี้จับแขนเซียวหรงเหยี่ยนแน่น ฝืนร่ายกายจบเสาตรงบริเวณทางเดินแน่น
“อาเหยี่ยนประคองพี่ไปนั่งพักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว”
เฝิงเย่าได้ยินเสียงจึงรีบเดินมา เขารีบล้วงขวดยาออกมาจากเสื้อ ยื่นส่งให้เซียวหรงเหยี่ยนป้อนมู่หรงอวี้ มู่หรงอวี้กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
“วันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิต้าจิ้นในวันที่ยี่สิบแปด เดือนสาม เราจะพาโอรสองค์รองของเราไปอวยพรให้จักรพรรดิต้าจิ้นด้วยตัวเอง จากนั้นมอบองค์ชายรองให้ต้าจิ้นไว้เป็นตัวประกัน”
“ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสูงส่งยิ่งนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นขณะเดินทางไปที่ต้าจิ้น…”
“ร่างกายของเราจะสำคัญไปกว่าแคว้นต้าเยี่ยนได้อย่างไร!” มู่หรงอวี้มองเซียวหรงเหยี่ยน “หากเราเกิดอันใดขึ้นที่ต้าจิ้น…คงต้องฝากอาเหยี่ยนดูแลต้าเยี่ยนต่อ!”
เซียวหรงเหยี่ยนก้มหน้าใช้ความคิด ซีเหลียงและต้าจิ้นทำสัญญาสงบศึกกันแล้ว รัชทายาทแห่งแคว้นต้าติ้นต้องเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวงก่อนวันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิต้าจิ้นอย่างแน่นอน หมอหงที่ติดตามไป๋ชิงเหยียนไปออกรบในครั้งนี้ด้วยคงเดินทางกลับไปเมืองหลวงเช่นกันสินะ!
เซียวหรงเหยี่ยเงยหน้ามองดูใบหน้าซีดเผือดแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของพี่ชาย พยักหน้าเล็กน้อย
“บัดนี้เรื่องทางหนานเยี่ยนสงบแล้ว ข้าจะล่วงไปหน้ายังเมืองหลวงเพื่อเตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน จะได้ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด! ที่สำคัญเมืองหลวงของต้าจิ้นมีท่านหมอที่เก่งกาจผู้หนึ่งอยู่ สามารถเชิญเขามาตรวจอาการของเสด็จพี่ได้ หากครั้งนี้รักษาอาการของเสด็จพี่ให้หายขาดได้ ถือเป็นวาสนาของแคว้นต้าเยี่ยน!”
เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวจบจึงหันไปมองเฝิงเย่า “เหล่าซูวางใจเถิด ต่อให้แลกด้วยชีวิตของข้าก็จะคุ้มครองเสด็จพี่ให้ปลอดภัย”
วันนั้น เซียวหรงเหยี่ยนนำคณะพ่อค้าของเขาออกเดินทาง ชายหนุ่มซื้อของขึ้นชื่อของหนานเยี่ยน และเครื่องประทินโฉมกลับไปยังแคว้นต้าจิ้นด้วย
จักรพรรดิหมิงเต๋อมู่หรงอวี้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนส่งสาส์นลับกลับไปยังเมืองหลวงของต้าเยี่ยน สั่งให้คนพาองค์ชายรองไปพบกับเขาที่หลินชวนเพื่อเดินทางไปร่วมงามเฉลิมฉลองวันเกิดของจักพรรดิแคว้นต้าจิ้นพร้อมกับเขา
เยว่สือเดินทางไปถึงเมืองควงผิงอย่างรีบร้อน เมื่อทราบว่าเซียวหรงเหยี่ยนนำขบวนของเขาออกเดินทางไปแล้ว เดิมทีเยว่สือจะรีบตามไปทันที ทว่า กลับถูกเฝิงเย่าพามาเข้าเฝ้าจักรพรรดิต้าเยี่ยนเสียก่อน
มองเห็นใบหน้าขาวซีและผอมซูบของจักรพรรดิมู่หรงอวี้ เยว่สือก้มศีรษะคำนับแนบพื้นอย่างนอบน้อมเลียนแบบบัณฑิตและขุนนางทั้งหลาย “เยว่สือคาราวะฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงพักผ่อนเต็มที่ เสวยกระยาหารครบถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยว่สือถูกฝ่าบาทและนายท่านเก็บมาเลี้ยง เพราะถูกเจอในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง นายท่านจึงตั้งชื่อเขาว่าเยว่สือ
“ดี เราสบายดีทุกอย่าง กินอาหารครบทุกมื้อ” มู่หรงอวี้มองดูเยว่สือที่เติบใหญ่เป็นหนุ่มแล้ว เขารู้สึกดีใจมาก
“ที่เรียกเจ้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านายของเจ้าไปหลงรักบุตรสาวตระกูลใดของแคว้นใด”
เฝิงเย่ามองดูเยว่สือที่เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง เขาเขกไปที่ศีรษะของเยว่สือหนึ่งที “ฝ่าบาทแค่ทรงเป็นห่วงเรื่องชีวิตคู่ของนายน้อย เจ้าติดตามข้างกายเจ้านายของเจ้าตลอดเวลา เจ้าไม่รู้บ้างเลยหรือ”
เยว่สือนึกถึงคุณหนูสี่ตระกูลไป๋ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ คุณหนูสี่ตระกูลไป๋เหมือนเด็กสาวบ้าบอผู้หนึ่ง เขารู้สึกว่าไม่คู่ควรกับเจ้านายของเขา ทว่า เจ้านายของเขาชอบ เขาจะทำเช่นไรได้
“เป็นคุณหนูตระกูลใดกัน” มู่หรงอวี้ถามยิ้มๆ
“คือ…คุณหนูสี่ตระกูลไป๋ของจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งแคว้นต้าจิ้นพ่ะย่ะค่ะ” เยว่สือตอบอย่างตรงไปตรงมา
มู่หรงอวี้อึ้ง…จวนเจิ้นกั๋วกงอย่างนั้นหรือ
มู่หรงอวี้หวนนึกถึงตอนที่เขาติดตามน้าชายไปออกรบครั้นยังเป็นหนุ่ม เขาเคยเห็นเจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถึงที่มากล้นไปด้วยบารมีอยู่ไกลๆ ถูกห้อมล้อมจากสี่แคว้นแต่ไม่เคยหวั่น ตัดศีรษะของแม่ทัพได้หกคนในวงครามครั้งเดียว ต้านทานกองทัพของสี่แคว้นได้ ร่างเปื้อนเลือดนั่งอยู่บนหลังม้าท่ามกลางธงเฮยฟานไป๋หมั่ง ช่างน่าภาคภูมิใจมากจริงๆ
ชื่อเสียงของเจิ้นกั๋วกงไป๋เวยถิงเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทุกแคว้น เขาห่วงใยบ้านเมืองและชาวบ้าน แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ถูกขนานนามว่าเป็นกระดูกสันหลังของแคว้นต้าจิ้น กองทัพไป๋ได้รับสมญานามว่ากองทัพที่รบไม่เคยพ่ายแพ้
ทุกแคว้นเคยกล่าวขานว่า…ตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่มีมานับร้อยปีไม่เคยมีคนไร้ประโยชน์ คุณชายทั้งสิบเจ็ดของตระกูลไป๋ล้วนโดดเด่นมีความสามารถ
สงครามที่หนานเจียงในครั้งนี้ ก่อนที่คุณชายสิบเจ็ดซึ่งอายุเพียงสิบขวบของตระกูลไป๋จะถูกอวิ๋นพั่วสิงตัดศีรษะ เขาร้องเพลงประจำกองทัพไป๋ออกมาเสียงดังลั่น ไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้มู่หรงอวี้นับถือมากขึ้นไปอีก
ตระกูลที่ทรงคุณธรรมและหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเช่นนี้ มิน่าจึงอบอมส่งสอนสตรีที่น่าทึ่งเช่นนี้ออกมาได้
มู่หรงอวี้ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในเมื่ออาเหยี่ยนชอบ เช่นนั้นการเดินทางไปต้าจิ้นในครั้งนี้ เขาจะสู่ขอคุณหนูสี่ของตระกูลไป๋จากจักรพรรดิแห่งต้าจิ้นให้เซียวหรงเหยี่ยน
ต่อไปหากเขาไม่อยู่แล้ว อาเหยี่ยนมีภรรยาที่มีปณิธานเช่นเดียวกันคอยอยู่เคียงข้าง คงช่วยให้อาเหยี่ยนบรรลุเป้าหมายได้ในสักวันอย่างแน่นอน
วันที่สี่ เดือนสาม ขบวนกองทัพของแคว้นต้าจิ้นเคลื่อนผ่านเมืองเฟิ่งที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและกำลังซ่อมซอมเมืองใหม่อีกครั้ง
องค์หญิงหลี่เทียนฟู่ของซีเหลียงแหวกม่านรถม้าออกเพื่อมองไปด้านนอก ตลอดทาง…หญิงสาวเห็นเพียงคราบน้ำมันและเขม่าสีดำที่ติดอยู่ตามกำแพงเมืองสองข้างทาง ความหรูหราของเมืองเฟิ่งที่ถูกบรรยายไว้ในสมุดภาพ บัดนี้มีเพียงโรงเตี้ยมระดับล่างสองสามแห่งเท่านั้นที่ยังประกอบกิจการอยู่
ชาวบ้านของเมืองเฟิ่งไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนชราล้วนช่วยกันแบกหินมาช่วยกันสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง ชายฉกรรจ์ที่ร่างกายแข็งแรงของต้าจิ้นเปลือยท่อนบนทั้งๆ อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่ พวกเขายกท่อนไม้ขนาดใหญ่พลางตะโกน “หนึ่ง สอง สาม” ไปด้วย
ลู่เทียนจัวที่ขี่ม้าคุ้มกันตามหลังรถม้าของหลี่เทียนฟู่เร่งม้าไปด้านหน้า กล่าวกับหลี่เทียนฟู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “องค์หญิงอย่ามองอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ เสียสายตาของพระองค์เปล่าๆ”
ไป๋จิ่นจื้อเพิ่งซื้อของสำหรับใช้สักการะเคารพศพเสร็จ นางเตรียมขี่ม้าเร็วไปหาพี่หญิงใหญ่ที่ไปเคารพศพของท่านลุงใหญ่ที่นอกเมือง จากนั้นไปเคารพศพต่อที่หุบเขาหลัวเฟิง ขณะที่เคลื่อนกายผ่านขบวนก็ได้ยินคำกล่าวของลู่เทียนจัว สาวน้อยขมวดคิ้วแน่น กระตุกบังเหียนม้าพลางกล่าวขึ้น “เสียสายตาอย่างนั้นหรือ! หึ…นั่นสินะ ดูบาปกรรมที่ซีเหลียงของพวกเจ้าทำเอาว่าเสียสายตาเพียงใด หากพวกเจ้ายังมีความละอายอยู่บ้าง ก็ควรจมอยู่กับความรู้สึกผิดในทุกๆ วัน!”
กล่าวจบ ไป๋จิ่นจื้อควบม้าจากไปทันที หลี่เทียนฟู่สะบัดม่านปิดอย่างโมโห บ่นพึมพำในรถม้า
“พวกหมาแมวไม่มีหัวนอนปลายเท้ายังกล้าบังอาจกับข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่า หลี่เทียนฟู่ก็รู้ดีว่าแคว้นที่แพ้สงครามไม่มีเกียรติให้ต้องเคารพจริงๆ
เป็นดังที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าว นางเป็นองค์หญิงของแคว้นที่พ่ายแพ้สงครามที่ถูกส่งมาแต่งงานเชื่อมไมตรี ต้าจิ้นให้เกียรติ นางก็คือองค์หญิง หากไม่ให้เกียรติ นางก็ไม่ใช่
ขอบตาของหลี่เทียนฟู่ร้อนผ่าว หญิงสาวกัดฟันแน่น เมื่อกลับไปถึงซีเหลียง นางจะหาโอกาสแก้แค้นความอัปยศในครั้งนี้แน่นอน
กลางดึก ในที่สุดก็มาถึงเทียนเหมินกวน
คงเป็นเพราะซีเหลียงเคยตั้งค่ายทหารอยู่ที่เทียนเหมินกวน เทียนเหมินกวนจึงไม่มีร่องรอยโศกนาฏกรรมดังเช่นเมืองเฟิ่งและอำเภอเฟิง
แม่ทัพใหม่ที่ทางราชสำนักส่งมาคุ้มกันเทียนเหมินกวนรอต้อนรับอยู่หน้าเทียนเหมินกวนด้วยตัวเอง
รถม้าค่อยๆ หยุดลงบริเวณหน้าที่พัก กองทัพใหญ่ตามแม่ทัพสือพานซานกลับไปพักผ่อนที่ค่ายทหารแล้ว เหลือเพียงกลุ่มองครักษ์ของรัชทายาทและองค์หญิงแห่งซีเหลียงเท่านั้น