สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 265
ตอนที่ 265
หลังจากปรึกษากับลูกน้องเสร็จ เขาทำได้เพียงส่งคนไปเชิญคนจากตระกูลต่างๆ มารับตัวลูกหลานของตัวเองกลับไป
เช้าวันต่อมา เรื่องนี้กลายเป็นที่กล่าวขานบนโต๊ะอาหารเช้าของตระกูลต่างๆ กระทั่งชุนซิ่งยังนำเรื่องนี้มาเล่าให้ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างอดไม่ได้
ไป๋ชิงเหยียนใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปาก จากนั้นเอ่ยถาม “ไม่ได้กล่าวว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“ได้ยินว่าเป็นเพราะพวกคุณชายหลู่ร้องเพลงประจำกองทัพไป๋ที่หอฝานเชวี่ย แต่ถูกคนวิจารณ์เรื่องการสังหารทหารยอมจำนนที่ภูเขาเวิ่ง พวกของคุณชายหลู่จึงทะเลาะกับคนพวกนั้นเจ้าค่ะ” ชุนเถาเอ่ยเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าทัศนคติของนางที่มีต่อหลู่หยวนเผิงเปลี่ยนไปในทันที
ไม่ว่ายามปกติพวกเขาจะใช้ชีวิตไร้สาระเพียงใด ทว่า การทะเลาะเมื่อคืน พวกเขาทำไปเพื่อปกป้องคุณหนูใหญ่ของพวกนาง
“ก่อนข้ากลับมา มีคนวิจารณ์เรื่องนี้กันมากหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้น สวมถุงทรายทับไปบนร่างกายพลางเอ่ยถาม
ชุนเถารีบคุกเข่าช่วยไป๋ชิงเหยียนผูกถุงทรายไว้ที่ขาของนาง “ก่อนที่คุณหนูจะกลับมาถึงเมืองหลวงก็มีคนเริ่มวิจารณ์เรื่องนี้กันบ้างแล้วเจ้าค่ะ ทว่า ไม่มากเท่าใดนัก อีกอย่าง ชาวบ้านสนใจเรื่องที่คุณหนูใหญ่รบชนะมากกว่าเจ้าค่ะ”
ชุนซิ่งคุกเข่าอยู่อีกด้าน หยิบถุงทรายผูกที่ขาของหญิงสาวอีกข้าง เงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวยิ้มๆ “ได้ยินว่าคุณชายหลู่ถูกบิดาของเขาดึงหูกลับจวนไปเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนจัดเครื่องแต่งกายยิ้มๆ หันไปกล่าวกับชุนซิ่ง “ชุนซิ่ง เจ้าไปเอาลูกอมมาจากถงหมัวมัวหนึ่งกล่อง จากนั้นนำไปให้อิ๋นซวงที่จวนฉินด้วยตัวเอง กำชับนางว่าอย่ากินเยอะ!”
ชุนซิ่งลุกขึ้นยืนพลางเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเห็นว่าชุนซิ่งจากไปแล้ว ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยกับชุนเถา “อีกเดี๋ยวเจ้าไปบอกลุงผิง ให้เขาส่งคนไปลอบสังเกตการณ์ด้านนอกให้มากหน่อย จากนั้นสืบประวัติคนต้าจิ้นและต้าเว่ยที่ถูกพวกหลู่หยวนเผิงทำร้ายด้วย”
ชุนเถารีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนแต่งเครื่องแต่งกายเสร็จ ถงหมัวมัวก็เดินแหวกม่านเข้ามาพอดี นางย่อกายเคารพพลางเอ่ยรายงาน “คุณหนูใหญ่ เจี่ยงหมัวมัวที่รับใช้ข้างกายองค์หญิงใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ นางไปคารวะฮูหยินแล้วต้องการพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่หน้ากระจกนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ถงหมัวมัวไปเชิญเจี่ยงหมัวมัวเข้ามาเถิด!”
ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้นวมนิ่มริมหน้าต่าง ได้ยินเจี่ยงหมัวมัวถามถึงสภาพร่างกายของตน น้ำเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หญิงสาวก้มหน้าขยับคอเสื้อของตัวเอง ในใจรู้สึกซับซ้อนมาก
เจี่ยงหมัวมัวกลับมา แสดงว่าท่านย่าทราบข่าวเรื่องที่นางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วจึงส่งเจี่ยงหมัวมัวมาเช่นนี้
ที่จริงแล้วเมื่อวานนางควรไปคารวะท่านย่าที่วัดของราชวงศ์ กระทั่งควรบอกข่าวเรื่องที่น้องชายเจ็ดและน้องชายเก้ายังมีชีวิตอยู่ให้ท่านย่ารับรู้
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยลืมว่าท่านย่าเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ต้าจิ้นมาก่อน จากนั้นถึงกลายมาเป็นท่านย่าของพวกนาง
น้องชายทั้งสิบเจ็ดคนของนาง บัดนี้เหลืออยู่เพียงสองคนเท่านั้น นางไม่อาจเอาชีวิตของพวกเขาไปเดิมพันกับความเมตตาของท่านย่าได้
เสียงสนทนาระหว่างเจี่ยงหมัวมัวและถงหมัวมัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ …
“คุณหนูใหญ่กลับมาครั้งนี้สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย ที่ท่านหมอหงกล่าวว่าวิธีการรักษาโดยให้คุณหนูใหญ่อยู่นิ่งๆ ก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้อง หากไม่เชื่อเจี่ยงหมัวมัวลองดูเองเถิด”
ถงหมัวมัวกล่าวพลางแหวกม่านให้เจี่ยงหมัวมัวเดินเข้าไปด้านใน
เจี่ยงหมัวมัวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา จากนั้นจับชายกระโปรงเดินเข้าไปด้านใน อ้อมฉากกั้นไปก็เห็นไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างปลอดภัย เจี่ยงหมัวดวงตาแดงก่ำทันที
นางก้าวไปด้านหน้า ย่อกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “ในที่สุดคุณหนูใหญ่ก็กลับมาแล้ว!”
“หมัวมัวไม่ต้องมากพิธี ชุนเถานำชาลิ้นนกกระจอกและของว่างมาให้หมัวมัวด้วย” ไป๋ชิงเหยียนสั่ง
ชุนเถารับคำแล้วเดินออกไปจากห้อง
“ท่านย่าสบายดีหรือไม่ นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่ม ทานอาหารได้ทุกมื้อหรือไม่” น้ำเสียงราบเรียบของไป๋ชิงเหยียนดังขึ้น กล่าวอย่างเป็นทางการ ไม่มีความสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน
เจี่ยงหมัวมัวรู้ดีว่าเป็นเพราะเรื่องของจี้ถิงอวี๋ องค์หญิงใหญ่ทำให้ไป๋ชิงเหยียนหมดหวังแล้ว ทว่า อย่างไรก็เป็นย่าหลานกัน…เหตุใดจึงโกรธเคืองกันข้ามวันข้ามคืนเช่นนี้ เหตุใดจึงเดินมาถึงจุดนี้ได้!
“คุณหนูใหญ่ไม่ไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่หรือเจ้าคะ” เจี่ยงหมัวมัวกล่าวอย่างอ้อนวอน
ชุนเถารินน้ำชาให้ไป๋ชิงเหยียนและเจี่ยงหมัวมัว จากนั้นถอยออกไปอย่างรู้งาน
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้ายกถ้วยชาขึ้น กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ไปสิ วันนี้ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยง พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ ดังนั้นจึงช้าไปสองวัน วันมะรืนข้าจะพาเสี่ยวซื่อไปเยี่ยมท่านย่า”
เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้า “องค์หญิงใหญ่สั่งให้บ่าวมาบอกคุณหนูใหญ่ว่าหากมีคนในราชสำนักนำเรื่องที่คุณหนูใหญ่สังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียงมากล่าวโทษคุณหนูใหญ่ หากเรื่องราวใหญ่โต ให้คุณหนูใหญ่ไปขอความช่วยเหลือจากอัครมหาเสนาบดีหลู่เจ้าค่ะ”
กล่าวจบ เจี่ยงหมัวมัวล้วงหยิบปิ่นปักผมที่ถูกห่อมาอย่างดีออกมาจากอกส่งให้ไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่จงนำสิ่งนี้ไปมอบให้อัครมหาเสนาบดีหลู่เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้รับมา หญิงสาวเงยหน้ามองเจี่ยงหมัวมัว “หมัวมัวหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ตอนนั้นอัครมหาเสนาบดีหลู่ติดค้างน้ำใจองค์หญิงใหญ่หนึ่งครั้งเจ้าค่ะ ของสิ่งนี้คือสมบัติของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วของอัครมหาเสนาบดีหลู่ เขาเคยให้สัญญาว่า…หากองค์หญิงใหญ่มีเรื่องให้เขาช่วย เขาจะทำเต็มที่เจ้าค่ะ” เจี่ยงหมัวมัวกล่าวตามความจริง
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลง วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ “หมัวมัวนำของสิ่งนี้ไปคืนท่านย่าเถิด ครั้งนี้ข้าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านย่าควรเก็บไว้ให้ดี เก็บไว้ใช้ยามคับขันจริงๆ”
เจี่ยงหมัวมัวเงยหน้าขึ้นสบตาไป๋ชิงเหยียน นางเห็นไป๋ชิงเหยียนเติบโตมา รู้จักนิสัยของหญิงสาวดี ในเมื่อไป๋ชิงเหยียนบอกว่าไม่รับ นางก็ไม่มีทางรับ เจี่ยงหมัวมัวทำได้เพียงห่อปิ่นปักผมเก็บไว้ตามเดิม “เจ้าค่ะ เมื่อถึงคราวจำเป็น คุณหนูใหญ่ค่อยไปขอจากองค์หญิงใหญ่นะเจ้าคะ”
“วันที่สิบห้าเดือนนี้ เหลียงอ๋องให้คนนำภาพวาดไปมอบให้ฝ่าบาทเป็นของอวยพร วันต่อมา คนที่นำภาพวาดไปส่งได้รับการแต่งตั้งเป็นชิวกุ้ยเหริน ได้ยินว่าชิวกุ้ยเหรินผู้นี้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับท่านอาซู่ชิวมาก”
เจี่ยงหมัวมัวตะลึงงัน ไป๋ชิงเหยียนกล่าวต่อ “เหลียงอ๋องจิตใจอำมหิตและมีความทะเยอทะยานสูง ท่านย่าคงทราบดี หากชิวกุ้ยเหรินผู้นี้คือคนของเหลียงอ๋อง เกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลไป๋นัก…”
เจี่ยงหมัวมัวรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ดี นางกำปิ่นปักผมในมือแน่น ลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “บ่าวจะกลับไปรายงานองค์หญิงใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ลำบากหมัวมัวแล้ว!”
…
ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนที่ได้รับสมญานามว่าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของใต้หล้าจะพาโอรสเสด็จมาร่วมงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิต้าจิ้น ต่างรอคอยที่จะได้ยลโฉมของบุรุษรูปงามอันดับหนึ่ง
คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ใจกล้าหน่อยถึงกับจองห้องรับรองที่ติดริมถนน นัดรวมตัวกับสหายคนสนิท รอคอยขบวนรถม้าของจักรพรรดิต้าเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาในเมืองหลวง หวังว่าจะได้เห็นจักรพรรดิแห่งต้าเยี่ยนขี่ม้าเข้ามาในเมืองหลวง พวกนางจะได้เห็นอย่างชัดเจน
ไม่นานสองข้างถนนก็ถูกห้อมล้อมด้วยทหารมากมาย พลทหารม้าสวมชุดนักรบสีดำขี่ม้าซึ่งมีเกราะสวมไว้เช่นเดียวกันเข้ามาในเมืองหลวง พวกนางเห็นเพียงดวงตาสีดำขลับของม้าค่อยๆ เคลื่อนกายเข้ามาในเมืองหลวง
สตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่ใช้พัดปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งซุบซิบสนทนากันอยู่ในห้องรับรองอย่างตื่นเต้น สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือพลทหารม้าเหล็กของต้าเยี่ยน น้ำเสียงในห้องเบาลงในชั่วพริบตา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นพลทหารม้ากองนี้ พวกนางสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมา…