สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 301 ปลอดภัย
ตอนที่ 301 ปลอดภัย
ทว่า มันคือเรื่องความเป็นความตาย ต่อให้ต้องถอนพิษ จักรพรรดิต้าเยี่ยนก็ไม่อาจทำที่ต้าจิ้นได้
“ได้เจ้าค่ะ…” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ทว่า…ท่านเอาหงส์หยกกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะบอกกับทุกคนว่าข้าปฏิเสธของขวัญของท่าน”
“นั่นคือของขวัญจากเสด็จพี่ของข้า” เซียวหรงเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “หากคุณหนูใหญ่ไม่รับ เสด็จพี่คงไม่สบายใจ”
“หากรับไว้คงเป็นที่ครหาเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนมีท่าทีหนักแน่น “หากท่านหมอหงรักษาจักรพรรดิต้าเยี่ยนสำเร็จ ข้าค่อยรับไว้ก็ยังไม่สาย มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยาง พวกเขาคงบีบให้ตระกูลไป๋มอบสิ่งนี้ให้พวกเขาแน่ๆ เช่นนั้นจะเป็นการทำลายน้ำใจของเซียวเซียนเซิงและจักรพรรดิต้าเยี่ยนนะเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้โกหก ตระกูลบรรพบุรุษที่ซั่วหยางเป็นคนเช่นไร เซียวหรงเหยี่ยนก็เคยเห็นแล้ว
“เช่นนั้นข้าจะนำกลับไปก่อน ถือว่าคุณหนูใหญ่ฝากไว้ที่ข้าชั่วคราวนะขอรับ” เซียวหรงเหยียนลูบหยกจักจั่นในมืออย่างแผ่วเบา เงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน ยื่นหยกจักจั่นให้นางพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่โปรดรับสิ่งนี้ไว้ก่อนเถิดขอรับ”
หยกจักจั่น…
ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนไหววูบเล็กน้อย ชาติที่แล้วตอนที่เซียวหรงเหยี่ยนมอบสิ่งนี้ให้แก่นางคือตอนที่นางย่ำแย่ที่สุดในชีวิต
เซียวหรงเหยี่ยนมอบหยกจักจั่นให้นางหนีเอาชีวิตรอด…
นึกไม่ถึงเลยว่าชาตินี้ เซียวหรงเหยี่ยนจะยื่นหยกจักจั่นมาตรงหน้านางอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแตกต่างจากชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง
“นี่คือของประจำกายของเซียวเซียนเซิง คงไม่เหมาะที่จะรับไว้เจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น
เซียวหรงเหยี่ยนก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ใช้แผ่นหลังของตัวเองบังสายตาของถงหมัวมัวและชุนเถาเอาไว้ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับข้อมือเล็กของหญิงสาว วางหยกจักจั่นลงบนฝ่ามือของนาง “นี่คือของดูต่างหน้าของเสด็จแม่ข้า ตอนนั้นมีคนมีวิทยายุทธสูงส่งมอบให้แก่เสด็จแม่ของข้า กล่าวว่ามันจะคุ้มครองให้เสด็จแม่ปลอดภัย ต่อมาวังหลวงเกิดความวุ่นวาย เสด็จแม่นำหยกจักจั่นที่ไม่เคยห่างกายมาแขวนไว้ที่คอของข้า ให้บ่าวพาข้าหนีเอาตัวรอด ข้าจึงปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้”
เซียวหรงเหยี่ยนค่อยๆ ถอยห่างออกมา จ้องมองไปที่ต้นไม้สูงใหญ่ที่ออกดอกเขียวขจีอยู่กลางลานหญ้านิ่งๆ
เซียวหรงเหยี่ยนยังจำภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายในตอนนั้นได้ดี
จำได้ว่ามารดานำหยกจักจั่นมาคล้องคอเขาเอาไว้ กอดเขาแน่น กำชับให้เขาช่วยเสด็จพี่ออกมาให้ได้และมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี
เซียวหรงเหยี่ยนจำได้ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้ำตาของมารดา นางเป็นคนที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวปานนั้น ทว่า กลับปกป้องบุตรของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เพราะนางเชื่อใจสามีของตัวเองมากเกินไป ตอนนั้นเซียวหรงเหยี่ยนไม่อาจเข้าใจได้เลยว่านางจะสิ้นหวังมากเพียงใด
ต่อมา…เสด็จพี่มีบุตร อาการเสด็จพี่เริ่มกำเริบจากยาพิษที่เสด็จพ่อเป็นคนลอบวางยา ตอนนั้นเขาถึงเข้าใจความเจ็บปวดของมารดาอย่างสุดซึ้ง
เซียวหรงเหยี่ยนมองไปยังต้นไม้ใหญ่ราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์
“ตอนนั้นต้นไม้ในวังหลวงสูงใหญ่กว่าต้นไม้ต้นนี้อีก เหล่าซูพาข้าไปแอบอยู่บนต้นไม้ ใช้ใบไม้หนาอำพรางตัวเอาไว้ ข้าเห็นเสด็จพ่อเดินเข้ามาจึงเตรียมจะเอ่ยเรียก แต่เหล่าซูปิดปากข้าไว้เสียก่อน ข้าเห็นมือสังหารชุดดำเหล่านั้นคุกเข่ารอฟังคำสั่งจากเสด็จพ่อของข้า ข้ารู้ได้ทันทีว่านี่คือแผนการของเสด็จพ่อ”
หยกจักจั่นที่เสมือนมีชีวิตจริงยังมือความอุ่นจากฝ่ามือของเซียวหรงเหยี่ยนอยู่ ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้ามอง ช่างเหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน
เซียวหรงเหยี่ยนก้มหน้า หลุดจากภวังค์ความเจ็บปวดเหล่านั้น หันไปมองไป๋ชิงเหยียนนิ่งๆ “ดังนั้น ข้าเคยสาบานไว้ว่าหากข้ามีภรรยา ข้าจะเชื่อใจนางโดยไม่คลางแคลงใจ ปกป้องนางให้ปลอดภัยตลอดชีวิต”
ดวงตาที่ล้ำลึกและมีเสน่ห์ของเซียวหรงเหยี่ยนจ้องมองไปยังไป๋ชิงเหยียนนิ่งๆ กระทั่งไป๋ชิงเหยียนรู้สึกไปเองว่า…ดวงตาของชายหนุ่มแฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้
ราวกับว่าเขากำลังสาบานกับนางอยู่
ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่ถือหยกจักจั่นแน่น จากนั้นยื่นมือส่งหยกจักจั่นคืนให้เซียวหรงเหยี่ยน “ข้าจะกล้ารับหยกจักจั่นที่มีค่าถึงเพียงนี้ไว้ได้อย่างไรเจ้าคะ เซียวเซียนเซิงรีบเอาคืนไปเถิดเจ้าค่ะ”
“หากคุณหนูใหญ่ไม่กล้ารับแม้แต่หยกจักจั่น เหยี่ยนจะไปรายงานเสด็จพี่อย่างไรเล่าขอรับ คุณหนูใหญ่อย่าทำให้เหยี่ยนลำบากใจเลยนะขอรับ”
ไม่รอให้ไป๋ชิงเหยียนกล่าวปฏิเสธ เซียวหรงเหยี่ยนยิ้มพลางเปลี่ยนเรื่อง “วันที่หก เดือนสี่ ท่านอ๋องสามจะจัดงานแข่งม้า ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่ไปหรือไม่ขอรับ”
“เสี่ยวซื่อจะพาน้องๆ ไปเล่นสนุก ส่วนข้าคงไม่ได้ไปเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปมองเซียวหรงเหยี่ยน ”เซียวเซียนเซิงมีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ…”
“หากข้าอยากเชิญท่านไปเล่า”
น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของเซียวหรงเหยี่ยนดังขึ้น ไป๋ชิงเหยียนใจเต้นรัว
สายตาของชายหนุ่มจริงใจและเปิดเผย ไป๋ชิงเหยียนหันหน้าหนีสายตาของเซียวหรงเหยี่ยน “ข้าไม่ค่อยชอบเรื่องครื้นเครงสักเท่าใด คงทำให้เซียวเซียนเซิงผิดหวังแล้วเจ้าค่ะ”
“มิเป็นอันใด คุณหนูใหญ่เพิ่งกลับมาจากหนานเจียงได้ไม่นาน ต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวังติดต่อกันจนยังไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พวกเรา…ยังมีเวลาอีกนาน” เซียวหรงเหยี่ยนกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ตอบกลับ เมื่อนางเตรียมจะยื่นหยกจักจั่นคืนให้เซียวหรงเหยี่ยนอีกครั้ง ทว่า ชายหนุ่มทำความเคารพพลางเดินจากไปแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนพิจารณาหยกจักจั่นในมืออย่างละเอียด ขนาดสัมผัสยังเหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน
ทว่า นางไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นของไว้ดูต่างหน้าของมารดา เป็นของล้ำค่าเช่นนี้ เหตุใดชาติที่แล้วเซียวหรงเหยี่ยนจึงมอบให้นางกันนะ
แม้จะกล่าวว่านี่คือสัญลักษณ์ของเซียวหรงเหยี่ยน ทว่า มอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้นางสักอันน่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะเหตุใดกันนะ
ไป๋ชิงเหยียนกำหยกจักจั่นแน่น ยังไม่ทันจะได้คิดอันใดต่อก็ถูกต่งซื่อเรียกกลับไปเสียก่อน
“เจ้ากับเซียวเซียนเซิงผู้นั้นเป็นอันใดกันแน่” ต่งซื่อขมวดคิ้วแน่น “ตั้งแต่ที่เซียวเซียนเซิงช่วยเหลือเราตอนงานศพ แม่ก็รู้สึกไม่ปกติแล้ว เซียวเซียนเซิงผู้นั้น…ชอบเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ต่งซื่ออาบน้ำร้อนมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวหรงเหยี่ยนไม่เคยปกปิดสายตาที่มองมาทางไป๋ชิงเหยียนเลยแม้แต่น้อย ต่งซื่อจึงยิ่งเป็นกังวล
“ท่านแม่ ไม่มีอันใดหรอกเจ้าค่ะ! ข้าเคยสาบานไว้แล้วว่าจะไม่แต่งงาน ท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ สำหรับเซียวเซียนเซิง ข้ารู้ขอบเขตดีเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนเดินคล้องแขนต่งซื่อกลับไปยังเรือนของมารดา
เมื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวว่าจะไม่แต่งงาน ต่งซื่อรู้สึกปวดใจมาก
ความรู้สึกกังวลเมื่อครู่หายไปในทันที นางเริ่มกล่าวถึงความดีของเซียวหรงเหยี่ยน “แม้เซียวเซียนเซิงผู้นั้นจะเป็นพ่อค้า ทว่า กิริยาท่าทางของเขาดูสูงส่ง รูปร่างหน้าตาและความรู้ก็ไม่เลวทีเดียว ที่แม่ถามไม่ใช่เพราะจะตำหนิเจ้า หากเจ้าคิดว่าเซียวเซียนเซิงไม่เลว แต่กำลังกังวลถึงเรื่องที่เจ้าสาบานว่าจะไม่แต่งงาน เจ้าให้เซียวเซียนเซิงแต่งเข้าตระกูลเราก็ได้นะ”
“ท่านแม่ ท่านยิ่งกล่าวยิ่งไปกันใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนหน้าแดง “แต่งเข้าตระกูลอันใดกันเจ้าคะ! การไม่มีทายาทสืบทอดคือความอกตัญญูที่สุด ข้ามีบุตรยาก เหตุใดต้องทำให้ผู้อื่นเสียเวลาด้วยเจ้าคะ ต่อให้ข้าไม่แต่งงานตลอดชีวิต ข้าก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะเจ้าคะ”
ต่งซื่อเม้มปาก ถลึงตาใส่ไป๋ชิงเหยียน “แม่เป็นห่วงเจ้าจึงต้องกล่าวเช่นนี้ ท่านยายของเจ้ายังสั่งให้ฉางหยวนรอเจ้าอยู่เลย แต่เจ้ากลับเอาแต่บอกว่าเห็นฉางหยวนเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ เช่นนั้นเจ้าก็ควรหาคนอื่น แม่กลัวว่าหากวันใดที่แม่ไม่อยู่แล้ว…”
ต่งซื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกจุกแน่นในลำคอ นางบีบมือบุตรสาวแน่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “แม่กลัวว่าเจ้าจะโดดเดี่ยว!”
“ท่านแม่ ข้ามีบรรดาน้องๆ อยู่ พวกเราพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงถึงขนาดนี้หรอกเจ้าค่ะ”