สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 327 สู้รบ
ตอนที่ 327 สู้รบ
สิ้นเสียงตวาดอย่างสุดเสียงของไป๋ชิงผิง น้ำตาของชายหนุ่มไหลอาบใบหน้า
เขาไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้ให้ตัวเองหรือตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่เน่าเฟะตระกูลนี้กันแน่
ชายหนุ่มกวาดสายตามองดูญาติผู้ใหญ่ที่มีแต่ความละโมบและไร้คุณธรรมซึ่งนั่งอยู่ภายในห้อง เขาไม่รู้ว่าบรรดาผู้ใหญ่ที่เคยมีความเมตตาแปรเปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด เขารู้สึกรังเกียจจนไม่อยากจะมองพวกเขาอีกแล้ว
ตระกูลไป๋นี้ ไม่ใช่ตระกูลไป๋ที่เขาเคยภาคภูมิใจอีกต่อไปแล้ว
ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงสืบทอดปณิธานและคุณธรรมอันดีงามจากบรรพบุรุษของพวกเขา ส่วนตระกูลไป๋แห่งซั่วหยางของเขา…เริ่มเน่าเฟะไปถึงรากเหง้าตั้งแต่ตอนที่ท่านปู่ของเขาเป็นประมุข
ไป๋ชิงผิงเดาได้เลยว่าอีกไม่นานเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ต้องกำจัดตระกูลไป๋แห่งซั่วหยางซึ่งเป็นเพียงปรสิตที่เอาแต่อาศัยพึ่งพาอำนาจบารมีของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงทิ้งอย่างแน่นอน
“อาผิง! เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ถอยไปเดี๋ยวนี้!” มารดาของไป๋ชิงผิงตวาดลั่น
“เด็กนี่กล่าววาจาร้ายแรงเกินไปแล้ว ทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษอย่างนั้นหรือ ข้ามีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยเห็นผู้ใดทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษของตัวเองมาก่อนเลย ต่อให้เป็นอัครมหาเสนาบดีผู้สูงส่งก็ไม่มีทางทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษของตัวเองให้ถูกครหาอย่างแน่นอน! เด็กอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอันใดกัน” ผู้เฒ่าห้าถลึงตาใส่ไป๋ชิงผิง จากนั้นตำหนิมารดาของไป๋ชิงผิง “เจ้าสั่งสอนลูกอย่างไรกัน”
“ใต้หล้านี้มีเพียงทายาทที่ถูกตระกูลบรรพบุรุษทอดทิ้ง มีผู้ใดทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษกัน” บางคนเริ่มเอ่ยเสริม
ไป๋ชิงผิงหลับตาลง เขารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ กล่าวเสียงแหบพร่า “ที่ผู้มีอำนาจสูงส่งไม่อาจทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษเป็นเพราะพวกเขาหวังว่าทายาทในตระกูลจะสอบรับราชการเป็นขุนนาง เช่นนี้สายเลือดของพวกเขาจะมีมากขึ้นในราชสำนัก…พวกเขาจะได้มอบหมายงานให้คนรุ่นหลังได้อย่างวางใจ ส่วนที่คนฐานะธรรมดาไม่ยอมทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษเป็นเพราะพวกเขาหวังจะได้รับการดูแลจากตระกูลบรรพบุรุษ”
“แล้วดูตระกูลบรรพบุรุษไป๋ของพวกเราสิ เราไม่มีคนอยู่ในราชสำนัก หลายปีมานี้เอาแต่พึ่งพาบารมีของตระกูลไป๋ในเมืองหลวง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการสนับสนุนตระกูลไป๋ในราชสำนักเลย แม้ตระกูลไป๋ในเมืองหลวงจะเหลือเพียงสตรี ทว่า ไป๋ชิงเหยียนหลานสาวคนโตและคุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อ คนหนึ่งเป็นเซี่ยนจู่ คนหนึ่งเป็นจวิ้นจู่ ต่อให้ออกจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก็ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกพวกนางอยู่ดี! ทว่า ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กล้ากล่าวหรือไม่ว่าหากไม่มีเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่ พวกเรายังสามารถใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในซั่วหยางได้เหมือนก่อนหน้านี้”
“หลายปีมานี้ เจิ้นกั๋วอ๋องเมตตาพวกเรา ทว่า ทุกคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่กลับทำหน้ามืดตามัวทำสิ่งผิดบาปมากมาย ตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางเอาความมั่นใจมาจากที่ใดว่าเหล่าสตรีของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงต้องพึ่งพาอาศัยพวกเราในการใช้ชีวิตอยู่ในซั่วหยางกัน!”
“ไป๋ชิงผิง เจ้าบังอาจนัก!” ผู้เฒ่าห้าตบโต๊ะอย่างแรง “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร กล่าววาจาเช่นนี้กับผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน อาจารย์สั่งสอนมารยาทเจ้าเช่นนี้เองหรือ!”
ไป๋ชิงผิงไม่มองผู้เฒ่าห้าแม้แต่น้อย เขามองไปยังประมุขไป๋พลางกล่าวเสียงสูง “ข้าเคยได้ยินท่านปู่กล่าวออกมาเองว่าตอนนั้นท่านปู่เจิ้นกั๋วอ๋องจะพาเด็กในตระกูลที่อายุครบสิบห้าไปฝึกประสบการณ์ในสนามรบ ทว่า ทุกครอบครัวไม่เห็นด้วย ทำทุกวิถีทางไม่ให้ลูกหลานของตัวเองไปออกรบ!”
“ต่อมาตระกูลบรรพบุรุษกล่าวว่าเด็กในตระกูลจะตั้งใจสอบขุนนาง เจิ้นกั๋วอ๋องสร้างสำนักศึกษาประจำตระกูลให้ เชิญท่านอาจารย์ที่มีความรู้มาอบรมสั่งสอน ทว่า ทั่วทั้งตระกูลไป๋ไม่มีแม้แต่ก้งเซิง[1] สักคน ทายาทตระกูลไป๋ไม่ฉลาดหรืออย่างไรกัน!”
ไป๋ชิงผิงส่ายหน้า “ไม่…ไม่ใช่เลย! เพราะทายาทตระกูลไป๋อาศัยบารมีของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงจนมีชีวิตที่สุขสบายเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีจิตใจใฝ่เรียนรู้ ไม่มีปณิธาน! ความเกียจคร้าน ความโลภและชีวิตที่รักสบายเหล่านี้มันแพร่กระจายไปอย่างทั่วถึง!”
“ทายาทที่เดิมทีตั้งใจใฝ่เรียนรู้ เมื่อเห็นบรรดาผู้ที่ไม่ร่ำเรียนก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย เห็นตระกูลของเจิ้นกั๋วอ๋องใช้เลือดเนื้อและชีวิตสู้รบอยู่ในสงครามจนสุดท้ายทายาทของตระกูลไป๋ต้องเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียง ทว่า ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กลับเป็นปลิงดูดเลือดของพวกเขาอย่างสบายใจ ผู้ใดจะอยากเป็นเจิ้นกั๋วอ๋องคนถัดไปกัน ผู้ใดจะอยากให้ตระกูลของตัวเองต้องล่มจมเช่นนี้กัน!”
ไป๋ชิงผิงตะคอกจนใบหน้าและลำคอแดงก่ำไปหมด เขาเก็บงำถ้อยคำเหล่านี้มานานมากแล้ว
ทว่า ยามปกติท่านพ่อของเขาไม่ยอมให้เขากล่าวออกไป กล่าวว่าเป็นการอกตัญญูต่อผู้ใหญ่!
วันนี้หากเขายังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เอาแต่เก็บงำเรื่องเหล่านี้โดยไม่กล่าวออกไปดังเช่นท่านพ่อ เท่ากับเขากำลังมองดูตระกูลไป๋ล่มจมไปต่อหน้าต่อตาของตัวเอง
“ท่านปู่ ท่านลุง ท่านป้าทั้งหลาย พวกท่านเชิญไปขอคำอธิบายและค่าชดใช้จากตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงด้วยท่าทีโอหังเช่นนี้ตามสบายเถิดขอรับ!” น้ำเสียงของไป๋ชิงผิงอ่อนแรง “ปล่อยให้บรรดาทายาทของตระกูลไป๋ทำตัวตามอำเภอใจทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ต่อไปจนตระกูลไป๋ล่มจมเถิดขอรับ!”
ไป๋ชิงผิงกล่าวจบก็หมุนกายจับมือของบ่าวรับใช้เดินจากไปด้วยขาที่อ่อนแรงจากการคุกเข่าอยู่บนพื้นหนึ่งวันเต็มๆ
“ท่านพี่! ท่านดู ไป๋ชิงผิงถูกสั่งสอนจนกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว!” ผู้เฒ่าห้าหันไปกล่าวกับประมุขไป๋ด้วยท่าทีโมโห “เขายังนับถือผู้ใหญ่อย่างพวกเราและท่านปู่อย่างท่านอยู่หรือไม่ขอรับ!”
ประมุขไป๋นิ่งขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขากำลังทบทวนคำกล่าวของหลานชาย
เป็นเรื่องจริงที่ยังเคยไม่มีผู้ใดทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษของตัวเองมาก่อน แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง
ทว่า ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้ทายาททอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษของตัวเอง แม้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไป๋ชิงเหยียนจะไม่ทำเช่นนั้น
ที่สำคัญไป๋ชิงเหยียนคือคนที่สังหารทหารยอมจำนนนับแสนของซีเหลียง เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเป็นคนอำมหิตและเด็ดขาดเพียงใด
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์หากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ถูกทอดทิ้ง ประมุขไป๋กำไม้เท้าในมือของตัวเองแน่น
เขาขบกรามแน่นพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าห้า พวกเจ้ารีบขนของออกจากจวนบรรพบุรุษไป๋แล้วย้ายกลับไปยังจวนของตัวเองเดี๋ยวนี้!”
ผู้เฒ่าห้าตะลึง “ท่านพี่ ท่านเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้านะขอรับ!”
“ข้าบอกให้เจ้ารีบย้ายออกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่เชื่อฟังคำของประมุขแล้วหรืออย่างไร” ประมุขไป๋มองไปยังผู้เฒ่าห้าด้วยแววตาวาวโรจน์
ผู้เฒ่าห้าย่นคอเล็กน้อย ยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านพี่…ข้าเอาจวนไปเป็นของพนันแล้วขอรับ…”
“สารเลว!” ประมุขไป๋โมโหจนเจ็บหน้าอก กระแทกไม้เท้าลงบนพื้นจนเกิดเสียง “ครั้งที่แล้วตอนที่เจ้ามาอ้อนวอนขอให้ข้าไปไถ่จวนคืนมาให้เจ้า เจ้ารับปากข้าไว้ว่าอย่างไร เจ้ารับปากว่าจะไม่เล่นพนันอีกไม่ใช่หรือ!”
ผู้เฒ่าห้าอึกอักในลำคอ “ข้าคิดว่าอย่างไรเสียไป๋เวยถิงก็ไม่กลับมาแล้ว จวนบรรพบุรุษว่างอยู่เช่นนั้น ข้าก็เป็นลูกหลานตระกูลไป๋เช่นเดียวกัน เหตุใดจะอาศัยอยู่ไม่ได้ขอรับ”
ประมุขไป๋โมโหจนแทบจะเป็นลม เขากุมหน้าอกของตัวเองพลางกล่าวขึ้น ”หากเจ้ายังต้องการช่วยหลานชายของเจ้าออกมาจากคุกก็รีบย้ายออกมาจากจวนบรรพบุรุษเดี๋ยวนี้! ครั้งนี้ข้าจะนำโฉนดจวนไปยังเมืองหลวงด้วยตัวเอง ต่อให้ต้องลดศักดิ์ศรีลง ข้าก็จะอ้อนวอนขอให้ไป๋ชิงเหยียนยอมปล่อยเด็กๆ พวกนั้นออกมาให้ได้”
“เช่นนั้นพวกข้าจะไปอยู่ที่ใดเล่าขอรับ” ผู้เฒ่าห้าเอ่ยถาม
ประมุขไป๋รู้สึกผิดหวังกับน้องชายผู้ไม่ได้เรื่องคนนี้อย่างที่สุด “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เจ้ามีเงินมากเท่าใดอย่างนั้นหรือ สี่วันก่อนเจ้าเพิ่งแย่งจวนที่มีบ่อน้ำพุร้อนของตระกูลหวังมาเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ แล้วยังมีที่ดินทำเลดีเหล่านั้นอีก ข้าไม่สนว่าเจ้าจะย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านหรือซื้อจวนใหม่ แต่เจ้าต้องย้ายออกมาจากจวนบรรพบุรุษก่อนวันที่หนึ่ง เดือนห้านี้!”
ประมุขไป๋กล่าวเสียงหนักแน่น เขาสั่งให้คนเตรียมสัมภาระให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าเขาจะเดินทางไปยังเมืองหลวงด้วยตัวเอง
[1] ก้งเซิง เป็นบัณฑิตที่สอบผ่านรอบสุดท้าย(รอบที่สาม) ซึ่งจะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการ ก้งเซิงทุกคนจะมีโอกาสได้เข้าสอบรอบสุดท้ายหน้าพระที่นั่ง