สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 342 กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย
ตอนที่ 342 กลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย
สำหรับนาง ชุยเหล่าเซียนเซิงคือคนประเภทเดียวกับท่านปู่ พวกเขาคือคนที่ไม่มีสิ่งใดต้องละอายต่อฟ้าดินหรือผู้อื่น เขาพวกใช้ชีวิตอย่างสง่างามและน่ายกย่อง นางยอมรับว่านางทำไม่ได้ ทว่า นางชื่นชมและนับถือพวกเขาจากใจจริง
ที่สำคัญคำกล่าวในวันนี้ของชุยเหล่าเซียนเซิงช่วยไขข้อข้องใจของไป๋ชิงเหยียนได้จริงๆ
“เสี่ยวซื่อทราบแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปจะไม่กล่าววาจาเช่นนี้อีกเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงของไป๋จิ่นจื้อ ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกว่ามีสิ่งใดพุ่งจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใจกระตุกวูบ รีบกระชากตัวไป๋จิ่นจื้อพลางกดศีรษะของน้องสาวให้ก้มลง
ก้อนหินก่อกระดาษแผ่นหนึ่งลอยผ่านไหล่ของไป๋จิ่นจื้อกระทบลงบนก้อนหิน จากนั้นกลิ้งตกลงบนตามขั้นบันได
ไป๋จิ่นจื้อหยิบแส้ออกมาอย่างรวดเร็ว รั้งตัวไป๋ชิงเหยียนให้หลบอยู่ด้านหลังนาง
องครักษ์ที่ติดตามไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเห็นเหตุการณ์ กลุ่มหนึ่งรีบชักดาบคุ้มกันอยู่ด้านล่างบันได อีกกลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนบันไดอย่างรวดเร็ว
ไป๋ชิงเหยียนเห็นเงาดำของร่างๆ หนึ่งหายวับเข้าไปในป่าทึบ สายตาหยุดอยู่ที่ก้อนหินห่อกระดาษที่หล่นอยู่ตรงขั้นบันได
ไป๋จิ่นจื้อเห็นดังนั้น สายตาจึงหยุดอยู่ที่ก้อนหินห่อกระดาษนั่นเช่นเดียวกัน สาวน้อยวิ่งลงไปเก็บหินก้อนนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แกะกระดาษออกอ่าน ดวงตาไหววูบ
สาวน้อยกำกระดาษที่ยับยู่ยี่ในมือแน่น วิ่งถลาไปหาไป๋ชิงเหยียนอย่างรวดเร็ว คลี่กระดาษให้ไป๋ชิงเหยียนอ่าน “พี่หญิงใหญ่…”
พี่หญิงใหญ่ พบกันที่วัดอันอวี้ทางเหนือของยอดเขาอันอวี้
ลายมือของไป๋ชิงเจวี๋ย
ไปชิงเหยียนใจเต้นรัว รีบขยำกระดาษในมือเป็นก้อนแล้วกำไว้ในมือแน่น
ไป๋จิ้นจื้อใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ดวงตาร้อนผ่าว “พี่หญิงใหญ่ นั่นคือ…”
ไป๋ชิงเหยียนบีบมือไป๋จิ่นจื้อแน่น ส่งสัญญาณให้น้องสาวควบคุมสติ จากนั้นกล่าวเสียงเรียบ “ไปเถิด!”
ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอดไม่เอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น พยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองให้นิ่งที่สุด
เมื่อชุนเถาประคองไป๋ชิงเหยียนขึ้นมาบนรถม้า ไป๋จิ่นจื้อถึงได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้น
“ในเมื่อมาถึงภูเขาอันอวี้แล้ว พวกเราไปเยี่ยมน้องหญิงสามเสียหน่อยดีกว่า ได้ยินว่าดอกไห่ถังของวัดอันอวี้ออกดอกแล้วงดงามมาก จะได้นำไปฝากท่านย่าสักสองช่อ”
ไป๋จิ่นจื้อก้าวขึ้นไปบนหลังม้า กำบังเหียนแน่น เอ่ยขึ้น “ไปวัดอันอวี้!”
ภายในรถม้า ไป๋ชิงเหยียนคลี่กระดาษออกวางลงบนโต๊ะ ใช้มือลูบไปบนตัวอักษรทุกตัว ลำคอร้อนผ่าว
ที่จริงนางควรรีบเผากระดาษแผ่นนี้โดยเร็วที่สุด ทว่า อาเจวี๋ยไม่อาจกลับไปพบท่านอาสะใภ้สี่ได้ นี่คือหลักฐานที่ยืนยันว่าอาเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่ นางอยากให้ท่านอาสะใภ้สี่ได้เห็นสักครั้ง
ไป๋ชิงเหยียนพับกระดาษเก็บไว้ที่อกตามเดิม หลับตาลง หางน้ำมีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย
หน้าประตูวัดอันอวี้ ไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า สั่งให้ชุนเถาและองครักษ์รออยู่ที่ด้านนอก นางและไป๋จิ่นจื้อเข้าไปเยี่ยมไป๋จิ่นถง
วัดอันอวี้ตั้งอยู่ที่ทางเหนือของยอดเขาอันอวี้ หากบุรุษมาที่นี่จะดูเป็นที่สะดุดตาเกินไป ทว่า ตอนนี้ดอกไห่ถังกำลังเบ่งบาน การเห็นบัณฑิตบางคนขึ้นมาที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเดินไปยังที่พักของท่านย่า จากนั้นลอบออกทางประตูด้านหลัง เดินตามร่องรอยลับที่ทิ้งไว้ไปยังศาลาที่มุมอับ
ไป๋จิ่นจื้อเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีเทาอ่อนยืนเอามือไขว้หลังอยู่กลางศาลา นางอยากส่งเสียงเรียก…ทว่า ลำคอราวกับมีสิ่งใดอุดอยู่จนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ น้ำตาไหลพราก
ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้า ขอบตาร้อนผ่าว แสบร้อนที่จมูกและดวงตา ตาตาพร่ามัวลงทันที
บัดนี้เมื่อเห็นไป๋ชิงเจวี๋ยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า ไป๋ชิงเหยียนจึงเชื่อว่าไป๋ชิงเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่…
ไม่เหมือนกับความรู้สึกเลือนรางราวกับอยู่ในฝันเหมือนตอนที่ช่วยไป๋ชิงอวิ๋นออกมาจากชิวซานกวน ร่างสูงโปร่งของไป๋ชิงเจวี๋ยยืนอยู่บนที่สูง ร่างนั้นราวกับไม่เคยผ่านความตายหรือความทรมานมาก่อน ยังดูภูมิฐานและสง่างามตามฉบับคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลไป๋ ราวกับว่าก่อนหน้านี้…คือฝันร้ายของไป๋ชิงเหยียนเพียงเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนกัดฟันกรอด มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกำกระโปรงของของตัวเองแน่น สาวเท้าเดินไปยังศาลา
“พี่หญิงใหญ่ระวังเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อรีบเข้าไปประคองไป๋ชิงเหยียนที่เกือบสะดุดล้ม
ไป๋ชิงเจวี๋ยได้ยินเสียงจึงรีบหันหลังกลับไปมองทันที เขาเดินไปยังหน้าทางเข้าศาลา ปราดมองแวบเดียวก็เห็นพี่หญิงใหญ่ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ด้านล่างบันได ดวงตาของเขาร้อนผ่าว รีบก้าวเท้าลงไป หยุดอยู่ห่างจากไป๋ชิงเหยียนประมาณสองก้าว จากนั้นสะบัดชายชุดเสื้อพลางคุกเข่าคำนับไป๋ชิงเหยียน น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่
ต่างว่ากันว่าน้ำตาของบุรุษไม่ได้ไหลออกมาได้ง่ายๆ ทว่า เมื่อเผชิญหน้ากับพี่หญิงใหญ่ เขากลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ
ไป๋ชิงเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปื้อนฝุ่นไม่ได้กลบความหล่อเหลาของเขาได้เลย ลำคอของชายหนุ่มร้อนผ่าว กล่าวเสียงสะอื้น “พี่หญิงใหญ่…”
ไป๋ชิงเหยียนนึกว่าจะไม่ได้ยินคำนี้อีกแล้วตลอดชีวิต
ทั้งๆ ที่ควรดีใจ ทว่า ใจของไป๋ชิงเหยียนปวดร้าวราวกับถูกเฉือนเนื้อ
ไป๋ชิงเหยียนมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาสมบูรณ์แบบราวกับถอดแบบมาจากท่านอาสี่ไม่มีผิดเพี้ยนของไป๋ชิงเจวี๋ย เด็กหนุ่มของตระกูลไป๋ที่เคยชีวิตอย่างร่าเริงอิสระ บัดนี้เติบโตกลายเป็นหนุ่มที่แข็งแกร่งแล้ว
แม้เผชิญอันตราย ทว่า จิตวิญญาณไม่เคยดับสูญ
แม้เผชิญความเป็นความตาย ทว่า ศรัทธายังคงอยู่
นี่คือ…บุรุษคนดีของตระกูลไป๋!
ไป๋ชิงเหยียนปล่อยมือไป๋จิ่นจื้อออก ถลาเข้าไปประคองไป๋ชิงเจวี๋ย
ไป๋ชิงเจวี๋ยกุมมือที่หยาบกร้านของไป๋ชิงเหยียน รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่ได้ลุกขึ้นยืน เขาเอาแต่กุมมือของไป๋ชิงเหยียนอยู่อย่างนั้น เงยหน้าสบกับดวงตาแดงก่ำของพี่หญิงใหญ่
“ไป๋ชิงเจวี๋ย คุณชายเจ็ดแห่งค่ายโหยวหลงกลับถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วขอรับ!”
น้ำตาของไป๋ชิงเหยียนไหลพรากทันที
เมื่อท่านปู่ทำสงครามกลับมา สิ่งแรกที่ท่านจะทำคือพาทุกคนในตระกูลไป๋จุดธูปเคารพบรรพบุรุษ ให้ทายาททุกคนในตระกูลไป๋บอกกล่าวกับบรรพบุรุษว่าพวกนางกลับมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้ว
บัดนี้ มีเพียงไป๋ชิงเจวี๋ยกลับมาเพียงคนเดียว
แม้ไม่ใช่ต่อหน้าหอบรรพบุรุษในจวนไป๋ ทว่า สำหรับไป๋ชิงเจวี๋ยแล้ว ที่ที่มีครอบครัวล้วนคือบ้านของเขา!
มีคนในครอบครัวได้ยิน บรรพบุรุษก็คงได้ยินเช่นเดียวกัน
“พี่หญิงใหญ่ ข้าปกป้องพี่ชายห้าเอาไว้ไม่ได้ ข้าปกป้องพี่ชายห้าไว้ไม่ได้ขอรับ…”
ไป๋ชิงเจวี๋ยขบกรามแน่น เรื่องนี้เป็นเหมือนก้อนหินหนักอึ้งที่กดทับอยู่ในใจของเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออก ในสนามรบ ผู้ที่สมควรได้รับการปกป้องที่สุดไม่ใช่เขา แต่ควรเป็นไป๋ชิงอวี๋ซึ่งเป็นบุตรชายของท่านลุงใหญ่เจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซานและคือทายาทสายตรงผู้มีสิทธิ์สืบทอดตระกูลไป๋คนต่อไป!
เมื่อ่ได้ยินอาเจวี๋ยเอ่ยถึงอาอวี๋ ไป๋ชิงเหยียนปวดใจราวกับถูกใบมีดเฉือน
หญิงสาวกำมือไป๋ชิงเจวี๋ยแน่น โน้มกายไปลูบแผ่นหลังของไป๋ชิงเจวี๋ยอย่างแผ่วเบา เอ่ยเสียงแหบพร่า
“เจ้าและอาอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่พี่ก็ดีใจมากแล้ว บุรุษของตระกูลไป๋ไม่ได้เสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงทั้งหมด มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว!”
“พี่ชายเจ็ด!” ไป๋จิ่นจื้อคุกเขาร้องไห้เอ่ยเสียงชื่อไป๋ชิงเจวี๋ยอยู่ด้านข้างชายหนุ่ม กอดพี่ชายของตัวเองไว้แน่น ร้องไห้จนแทบหายใจไม่ทัน
“เสี่ยวซื่อ…” ไป๋ชิงเจวี๋ยกอดไป๋จิ่นจื้อไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง หลับตาลง ฝืนกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว
ไป๋ชิงเจวี๋ยคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เพราะอ้อมกอดของคนในครอบครัวทำให้เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เขากัดฟันกรอดไม่ยอมเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา ทว่า น้ำตากับเปื้อนแขนเสื้อของพี่หญิงจนเปียกชื้น
สามพี่น้องนั่งกอดคอกันร้องไห้ ผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสามจึงนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลา ฟังไป๋ชิงเจวี๋ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หนานเจียง
ไป๋ชิงเจวี๋ยและไป๋ชิงอวิ๋นได้รับคำสั่งให้พาพลทหารม้าอ้อมภูเขาหลิงชวนไปยังเมืองอวิ๋นจิงของซีเหลียงเพื่อลอบสังหารทหารซีเหลียงโดยไม่ทันตั้งตัว