สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 345 แทรกแซง
ตอนที่ 345 แทรกแซง
ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงแคว้นต้าเว่ยซึ่งอยู่ติดกับแคว้นต้าเยี่ยน จักรพรรดิแห่งต้าเว่ยเป็นคนชอบฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นเสียด้วย
บัดนี้ซีเหลียงแทบเอาตัวเองไม่รอด หากต้าเว่ยรู้ว่ากองกำลังทหารเกือบทั้งหมดของต้าเยี่ยนอยู่ที่หรงตี๋ ต้าจิ้นกับต้าเหลียงกำลังทำสงครามติดพันกันอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะเกิดความทะเยอทะยานอยากครอบครองต้าเยี่ยนขึ้นมาบ้างหรือไม่นะ
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองเซียวหรงเหยี่ยน “เซียวเซียนเซิงไม่ได้กลับแคว้นของตัวเองนานแล้ว ไม่ทราบว่าหากต้าจิ้นและต้าเหลียงทำสงครามกัน ต้าเว่ยจะมีปฏิกิริยาเช่นไรเจ้าคะ ต้าเว่ยมีพรมแดนติดกับซีเหลียงและต้าเยี่ยน จักรพรรดิแห่งต้าเว่ยยิ่งไม่ใช่ผู้ที่จะทนดูอย่างสงบเสียด้วยสิ”
เซียวหรงเหยี่ยนพยักหน้า “ใช่แล้ว แม้จักรพรรดิของข้าไม่ได้คิดอยากครอบครองใต้หล้า ทว่า พระองค์อยากแข็งแกร่งเหนือแคว้นอื่น บางทีอาจลงมือทำสิ่งใดขึ้นมาก็ได้”
ดังนั้นเซียวหรงเหยี่ยนจึงส่งคนกลับไปสังเกตการณ์ที่ต้าเว่ยนานแล้ว เมื่อมีความเคลื่อนไหวจะมีคนมารายงานเขาทันที
ไม่นานหลังจากไป๋ชิงเหยียนเดินทางย้ายกลับไปอยู่ซั่วหยาง เซียวหรงเหยี่ยนก็ต้องเดินทางจากเมืองหลวงไปเช่นกัน
เซียวหรงเหยี่ยนนึกถึงคำกล่าวในวันนั้นของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวก้าวเดินแต่ละก้าวในแคว้นต้าจิ้นอย่างลำบาก ต้าเยี่ยนกำลังจะฟื้นฟูกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตัวตลอดเวลา ความรัก…ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาในตอนนี้จริงๆ ทว่า ไม่ได้หมายความว่าในวันข้างหน้าจะเป็นไปไม่ได้
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่…” พ่อบ้านเหาเดินเข้ามาทำความเคารพ จากนั้นก้มศีรษะให้เซียวหรงเหยี่ยนเล็กน้อยเพื่อขอโทษ “เจี่ยงหมัวมัวข้างกายขององค์หญิงใหญ่เชิญบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไปยังเรือนฉางโซ่วขอรับ”
เพราะเซียวหรงเหยี่ยนอยู่ พ่อบ้านเหาจึงกล่าวอย่างอ้อมๆ
ที่จริงเช้าตรู่วันนี้ประมุขไป๋พาบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลไป๋มาอาละวาดหน้าจวนแล้วครั้งหนึ่ง องค์หญิงใหญ่จึงรับรู้เรื่องนี้แล้ว
เมื่อครู่หลังจากที่ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเชิญเซียวหรงเหยี่ยนเข้าไปในจวน ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก็มาอาละวาดอีกครั้ง
องค์หญิงใหญ่คงรับรู้เรื่องนี้ทันทีเหมือนกัน ไม่นานเจี่ยงหมัวมัวจึงมาเชิญตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไปพบองค์หญิงใหญ่ตามคำสั่ง
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองพ่อบ้านเหา
แสดงว่าท่านย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วอย่างนั้นหรือ
เซียวหรงเหยี่ยนลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อ “ในเมื่อจวิ้นจู่มีธุระ เช่นนั้นเหยี่ยนก็ไม่รบกวนแล้วขอรับ”
“พ่อบ้านเหาไปส่งเซียวเซียนเซิงด้วย”
“ขอรับ!” พ่อบ้านเหากล่าวกับเซียวหรงเหยี่ยนยิ้มๆ “เชิญเซียวเซียนเซิงขอรับ”
ไป๋จิ่นจื้อลุกขึ้นยืน เดินไปส่งเซียวหรงเหยี่ยนที่หน้าประตูห้องโถง จากนั้นรีบเดินกลับไปหาไป๋ชิงเหยียน ขมวดคิ้วถาม “พี่หญิงใหญ่ พวกเราต้องไปดูหรือไม่เจ้าคะ”
ต่งซื่อรายงานเรื่องที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงต้องการถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ให้องค์หญิงใหญ่รับรู้แล้ว
บัดนี้ท่านย่าเรียกตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไปพบเพื่อต้องการถอนตัวออกจากตระกูลหรือประนีประนอมสถานการณ์กันแน่นะ
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงใช้มือลูบไปยังขอบโต๊ะเบาๆ ไม่นานก็ลุกขึ้นพลางกล่าว “ไปดูสักหน่อยเถิด…”
ภายในเรือนฉางโซ่ว
เพราะความแตกต่างทางฐานะ ประมุขไป๋และผู้อาวุโสจึงนั่งอยู่ด้านนอกฉากกั้น
ห้องภายในเรือนฉางโซ่วขององค์หญิงใหญ่ตกแต่งอย่างโอ่อ่า หยกขาวและทับทิมแดงร้อยเรียงกันเป็นผ้าม่านลูกปัด แจกันดอกไม้หยกขาวใสราวกับน้ำ ของตกแต่งทุกชิ้นในห้องล้วนเป็นของล้ำค่าหายาก
ใจของประมุขไป๋เต้นรัว แม้ไป๋เวยถิงจะเสียชีวิตไปแล้ว ทว่า ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงยังคงมั่งคั่งอยู่
ผู้อาวุโสบางคนนึกถึงเงินที่ไป๋ฉีอวิ๋นบุตรชายคนโตของประมุขไป๋โดนปล้นชิงก็รู้สึกปวดใจ ดูเหมือนว่าไป๋ฉีอวิ๋นจะหลงกลตระกูลไป๋เข้าให้แล้ว แม้คราวก่อนตระกูลไป๋จะอ้างว่าขายทรัพย์สินจนหมดเกลี้ยง ทว่า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองเลยสักนิด
มองผ่านฉากกั้นไม้หนานมู่ซึ่งแกะสลักอย่างประณีตงดงามเข้าไปด้านในสามารถมองเห็นองค์หญิงใหญ่ซึ่งกำลังนั่งนับลูกประคำที่ข้อมืออยู่ในห้องได้ลางๆ โต๊ะด้านข้างมีกระถางธูปรูปสัตว์มงคลสามขาตั้งอยู่ ควันขาวค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ กลิ่นธูปอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
“ลำดับขีดหนึ่งขีดเขียนอักษรสองตัวออกมาไม่ได้ แม้จวิ้นจู่จะเป็นจวิ้นจู่ ทว่า นางยังเป็นลูกหลานของตระกูลไป๋ เหตุใดนางถึงไม่อยากให้ตระกูลไป๋ได้ดี แต่กลับให้ใต้เท้าโจวจับลูกพี่ลูกน้องของนางขังคุกเช่นนี้กัน! ต่อให้เด็กไม่รู้ความอย่างพวกอาเจี๋ยล่วงเกินจวิ้นจู่ไปบ้าง ทว่า เห็นแก่หน้าคนกันเอง จวิ้นจู่ควรให้อภัยพวกเขาถึงจะถูก! เหตุใดต้องทำให้เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ด้วย!”
ประมุขไป๋ยังคงบ่นพึมพำให้องค์หญิงใหญ่ฟัง ทว่า องค์หญิงใหญ่กลับสงบนิ่ง
“ต่งซื่อเป็นสะใภ้ของตระกูลไป๋แต่กลับกล่าวว่าจะถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ เห็นการถอนตัวออกจากตระกูลเป็นเรื่องเล่นๆ อย่างนั้นหรือ บัดนี้ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเหลือเพียงสตรีหม้ายและเด็กกำพร้าเท่านั้น ต่อให้ต่งซื่ออยากถอนตัวออกจากตระกูล ทว่า ตระกูลบรรพบุรุษจะทนเห็นหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าอย่างพวกนางออกจากตระกูลได้อย่างไรกัน ชาวบ้านในใต้หล้าคงหักกระดูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทิ้งแน่”
มือที่นับลูกประคำขององค์หญิงใหญ่ชะงักลง ยกถ้วยชาที่วางบนโต๊ะขึ้นมาจิบเล็กน้อย
ประมุขไป๋ก็กล่าวจนคอแห้งเช่นเดียวกัน เตรียมเอื้อมมือไปหยิบน้ำชาจึงพบว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้สั่งให้คนเตรียมน้ำชาให้เขา
องค์หญิงใหญ่วางถ้วยชาสีทองลายดอกไม้ในมือลง เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเป็นหนี้บุญคุณตระกูลบรรพบุรุษไป๋อย่างนั้นหรือ”
ประมุขไป๋มีสีหน้าตกตะลึง
“หญิงแก่อย่างข้ายังเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าจิ้นอยู่ ข้ายังไม่ตาย! พวกเจ้า…ยังกล้ารังแกลูกสะใภ้และหลานสาวข้าถึงเพียงนี้ วันข้างหน้าหากข้าตายไปแล้ว พวกเจ้าไม่กลืนกินเด็กพวกนี้จนไม่เหลือซากเลยหรืออย่างไร!”
สีหน้าขององค์หญิงใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ขนาดน้ำเสียงยังสงบนิ่งเหมือนกำลังท่องบทสวดมนต์อยู่
เสียงกระทบกันของลูกประคำดังขึ้นพร้อมกับเสียงขององค์หญิงใหญ่ ประมุขไป๋ตกใจจนรีบยันไม้เท้าคุกเข่าลงบนพื้น “องค์หญิงใหญ่โปรดวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ตระกูลบรรพบุรุษมิได้คิดเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลรีบคุกเข่าขอขมาองค์หญิงใหญ่ตามประมุขไป๋
“ตระกูลบรรพบุรุษไป๋รู้ดีอยู่แก่ใจว่าหลายปีมานี้พวกเจ้าอาศัยบารมีของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงแสวงหาผลประโยชน์มากมาย รู้ดีแก่ใจว่าหากไม่มีตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงคอยหนุนหลัง ตระกูลไป๋แห่งซั่วหยางต้องอยู่อย่างยากลำบาก อย่ามาเล่นลูกไม้ กล่าววาจาหว่านล้อมเพื่อหลอกหญิงแก่อย่างข้าเลย ข้าแก่แต่ยังไม่ได้เลอะเลือน”
“องค์หญิงใหญ่ พวกกระหม่อมไม่ได้คิดเช่นนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่หลับตาลง ท่าทียังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม “ข้าปล่อยให้พวกเจ้าอาละวาดอยู่หน้าจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ถึงสองครั้ง จากนั้นค่อยให้เจี่ยงหมัวมัวไปเชิญพวกเจ้ามาที่นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
ประมุขไป๋มองผ่านฉากกั้นด้านนอกเห็นองค์หญิงใหญ่ซึ่งแม้ผมขาวโพลนแต่ถูกมัดอย่างเป็นระเบียบนั่งหลังตรงอยู่ด้านในห้อง บารมีของราชวงศ์ในตัวของนางช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
ประมุขไป๋ก้มศีรษะคำนับแนบพื้น รีบเอ่ยขึ้น “องค์หญิงใหญ่เป็นคนใจกว้างและมีเมตตา ย่อมต้องอยากเห็นคนในตระกูลรักและสามัคคีกันอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “ข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ใจข้าแคบมาก! ประมุขไป๋อาละวาดอยู่ด้านหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเพราะอยากให้คนในเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งทุกคนในใต้หล้ารับรู้ว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เป็นคนไร้ศีลธรรม อกตัญญู ไม่ยอมช่วยเหลือคนในตระกูลไป๋มิใช่หรือ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เป็นคนของตระกูลไป๋ ทว่า ข้าไม่ใช่คนสกุลไป๋”
“หากวันนี้องค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์และเสด็จป้าของฮ่องเต้อย่างข้าถูกพวกเจ้ายั่วโมโหจนเป็นอันใดขึ้นมา เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่แสดงความกตัญญูต่อข้าโดยการถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ จะมีผู้ใดกล้าว่าอันใดอีกหรือไม่ ผู้อื่นคงได้แต่กล่าวว่าประมุขไป๋อย่างเจ้าไม่เห็นแม้แต่องค์หญิงใหญ่อย่างข้าอยู่ในสายตา นับประสาอันใดกับจวิ้นจู่”