สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 346 ทำให้เรื่องลุกลาม
ตอนที่ 346 ทำให้เรื่องลุกลาม
องค์หญิงใหญ่ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ทุกข์ร้อน
“องค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์อย่างข้าและหลานสาวคนโตของทายาทสายหลักของตระกูลไป๋อย่างเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่อาจถือโอกาสนี้เรียกประชุมตระกูลเพื่อถอนตำแหน่งประมุขของเจ้าและขับไล่บรรดาผู้อาวุโสอย่างพวกเจ้าออกจากตระกูลไป๋ก็ได้นะ”
องค์หญิงใหญ่แสดงท่าทีไม่แยแสสักนิด ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของนาง แค่พลิกฝ่ามือ…ตระกูลบรรพบุรุษไป๋อาจได้ขึ้นสวรรค์ แต่หากพลิกอีกด้าน…ตระกูลบรรพบุรุษก็สามารถลงนรกได้ทันที
คนเหล่านี้ทำตัวราวกับปลิงดูดเลือด องค์หญิงใหญ่ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
“แต่ไรมาทางการล้วนดูทิศทางลม พวกเขาเอนเอียงไปตามความคิดของคนในราชวงศ์อยู่แล้ว พวกเจ้าว่าทางการของซั่วหยางจะกล้าปล่อยบรรดาลูกหลานของตระกูลบรรพบุรุษออกมาจากคุก กล้าเป็นศัตรูกับข้าและเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่หรือไม่” องค์หญิงใหญ่ชะงักมือที่กำลังคลำลูกประคำ ลืมตาโตพลางเอ่ยถาม
“สองทางนี้…พวกเจ้าว่าทางใดดีกว่ากัน”
“องค์หญิงใหญ่!” ประมุขไป๋เงยหน้าขึ้นทันที
“ความปราถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไป๋เวยถิงคือความรุ่งเรืองของคนตระกูลไป๋ทั้งตระกูลนะพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า “ใช่นะสิ ดังนั้นเขาถึงตามใจพวกใจมานานถึงเพียงนี้ ทว่า การเป็นคนต้องรู้จักพอ พวกเจ้าไม่เจียมตัวกล้าทำลายชื่อเสียงของหลานสาวข้า ถ้าไป๋เวยถิงอยู่…ก็คงไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
เจี่ยงหมัวมัวเงยหน้ามองบรรดาประมุขไป๋ที่มีสีหน้าตกตะลึงอยู่นอกฉากกั้น แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ องค์หญิงใหญ่เอ่ยเรียกเจี่ยงหมัวมัว “เจี่ยงหมัวมัว…”
เจี่ยงหมัวมัวที่ยืนอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่รับคำ
“บ่าวอยู่นี่เพคะ!”
“ให้เว่ยจงรีบไปตามหมอหลวงมา บอกว่าข้าถูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยั่วโมโหจนกระอักเลือด สลบไม่ได้สติอยู่บนเตียง ให้หมอหลวงรีบมาช่วยชีวิตข้า”
“องค์หญิงใหญ่ ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงใหญ่! เช่นนี้ตระกูลบรรพบุรุษจะไม่เหลือทางรอดเลยนะพะย่ะค่ะ!”
“องค์หญิงใหญ่ พวกข้าผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าทำถึงขั้นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลรีบคุกเข่าร้องไห้อ้อนวอน เมื่อเห็นเจี่ยงหมัวมัวเดินออกมาจากด้านใน ต่างหันไปคุกเข่าให้เจี่ยงหมัวมัว ต้องการรั้งนางเอาไว้
ทว่า เจี่ยงหมัวมัวกวาดสายตาเย็นชามองไปยังประมุขไป๋และผู้อาวุโสตระกูลไป๋ จากนั้นเอ่ยเรียกเว่ยจงเข้ามา
องค์หญิงใหญ่ยังคงนั่งจิบชาตามเดิม เหล่าผู้อาวุโสโขกศีรษะลงกับพื้นเพื่ออ้อนวอน
”องค์หญิงใหญ่ ได้โปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! หลายปีมานี้ตระกูลบรรพบุรุษดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการสนับสนุนจากเจิ้นกั๋วอ๋อง องค์หญิงใหญ่ได้โปรดเห็นแก่หน้าเจิ้นกั๋วอ๋อง อย่าทำเช่นนี้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่ไม่อยากสนทนากับคนเหล่านี้อีกแม้แต่คำเดียว นางหันไปกล่าวกับบ่าวรับใช้ข้างกาย “ให้หลูผิงพาคนมาจับตัวคนเหล่านี้ออกไปจากจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ไม่ต้องออมมือ”
“องค์หญิงใหญ่ได้โปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ได้โปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่มีฐานะสูงส่ง ไม่ต้องการเสวนากับกลุ่มคนเนรคุณยิ่งกว่าสุนัขเหล่านี้ ทว่า เจี่ยงหมัวมัวอัดอั้นมานานแล้ว
มือทั้งสองข้างของเจี่ยงหมัวมัวประสานอยู่ที่หน้าท้อง น้ำเสียงเยือกเย็นคมกริบ
“หลายปีมานี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่เพียงอาศัยอำนาจของตระกูลไป๋รังแกชาวบ้าน ทำเรื่องชั่วช้ามากมาย ครั้งนี้น้องชายแท้ๆ ของประมุขไป๋บังอาจถึงขั้นยึดครองจวนบรรพบุรุษ ใส่ร้ายป้ายสีความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และองค์รัชทายาท! หลายปีมานี้พวกเราตามใจตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากเกินไปจริงๆ ตามใจจนพวกเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าเหยียบย่ำตระกูลไป๋ถึงเพียงนี้!”
ประมุขไป๋เริ่มร้อนรน คุกเข่าคลานไปด้านหน้าพลางก้มศีรษะแนบพื้น “องค์หญิงใหญ่ พวกข้าผิดไปแล้ว! กลับไปซั่วหยางข้าจะสั่งสอนน้องชายของข้าให้หลาบจำ องค์หญิงใหญ่ได้โปรดเมตตาตระกูลบรรพบุรุษด้วยเถิดพะย่ะค่ะ อย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน องค์หญิงใหญ่ได้ปรดให้โอกาสพวกเราแก้ตัวสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนเป็นคนตระกูลไป๋ หญิงสาวยังไว้หน้าพวกเขาอยู่บ้าง ต่งซื่ออาวุโสน้อยกว่าพวกเขา ขอแค่ไม่ลากบุตรสาวของนางเข้ามาเกี่ยวข้อง นางไม่มีทางหักหน้าพวกเขาเหมือนครั้งนี้
ทว่า องค์หญิงใหญ่เป็นองค์หญิงผู้สูงส่งของราชวงศ์ซึ่งเกิดจากฮองเฮา ไม่ได้ใช้สกุลไป๋ แม้สะใภ้คนนี้ของตระกูลไป๋จะมีฐานะสูงส่งเกินไปสักหน่อย ทว่า หากองค์หญิงไม่เห็นแก่หน้าไป๋เวยถิง ตระกูลบรรพบุรุษไป๋คงสิ้นหวังแล้ว
ณ ระบียงทางเดิน ไป๋จิ่นจื้อกำหมัดแน่น รู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก สาวน้อยถอนหายใจออกมาอย่างคลายกังวล เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“ท่านย่าช่างเก่งเสียจริงเจ้าค่ะ! ประมุขไป๋และบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นโง่จริงๆ นะเจ้าคะ ขนาดเจี่ยงหมัวมัวยังเข้าใจ แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจ!”
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าจัดเครื่องแต่งกายของตัวเอง กล่าวด้วยแววตาเยือกเย็น
“ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นได้แค่คนถ่อยอย่างไรเล่า”
คนถ่อยไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เก็บงำอารมณ์ไม่เป็น ไม่ว่าจะมีความสุขหรือโกรธล้วนแสดงออกอย่างชัดเจน
คำกล่าวนี้เขียนขึ้นเพื่อตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางจริงๆ
ขนาดเจี่ยงหมัวมัวยังรู้ว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋อาศัยอำนาจบารมีจากผู้ใด ทว่า พวกเขากลับไม่อยากให้คนผู้อื่นกล่าวถึง ไม่ยอมแม้แต่คิดเอง ในสายตาของพวกเขาการที่ตระกูลไป๋รุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้คงเป็นเพราะการคุ้มครองจากตระกูลบรรพบุรุษกระมัง
พวกเขาต่างลืมไปแล้วว่าตนเองอาศัยบารมีของผู้ใดทำตัวเหิมเกริมอยู่ในซั่วหยาง เดิมทีพวกเขาควรเกาะติดตระกูลไป๋ให้มั่น ไม่ควรล่วงเกินตระกูลไป๋ เช่นนี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ในซั่วหยางจึงจะอยู่ต่อไปได้อีกนาน
ทว่า พวกเขากลับอาศัยช่วงที่ตระกูลไป๋จัดพิธีศพแย่งชิงทรัพย์สินของตระกูลไป๋ จากนั้นยึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋อย่างไม่เกรงกลัว เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงหนทางภายภาคหน้า
ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงคือทายาทสายหลักของตระกูลไป๋ เป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่รุ่งเรืองมานับร้อยปีอย่างแท้จริง ต่อให้เหลือแต่สตรี ทว่า ไม่มีทางยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองปล่อยให้ตระกูลบรรพบุรุษรังแกเด็ดขาด
วันนี้เมื่อไป๋ชิงเหยียนได้ยินคำกล่าวของท่านย่า หญิงสาวเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา
“เสี่ยวซื่อ…” ไป๋ชิงเหยียนหันไปหาน้องสาวที่กำลังยิ้มร่า
“ในเมื่อท่านย่าแสดงละครฉากนี้ออกมาแล้ว เจ้าช่วยทำให้เรื่องลุกลามกว่านี้หน่อยเถิด”
ไป๋จิ่นจื้อตาเป็นประกาย เข้าใจความหมายของพี่หญิงใหญ่ทันที “พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าถนัดนัก!”
เมื่อหลูผิงเดินเข้ามาในเรือนก็ได้ยินเสียงร้องอ้อนวอนของบรรดาตระกูลบรรพบุรุษไป๋
เขาเห็นไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อยืนอยู่กลางระเบียงทางเดิน จึงรีบเข้าไปทำความเคารพ
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่!”
“ลำบากลุงผิงแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะให้หลูผิงเล็กน้อย
หลูผิงนำองครักษ์เดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็ลากบรรดาคนจากตระกูลบรรพบุรุษออกมาจากห้องขององค์หญิงใหญ่
เทียบกับคราวที่แล้วที่ต่งซื่อให้คนมาลากพวกเขาออกไป คราวนี้องค์หญิงใหญ่สั่งให้คนโยนพวกเขาออกไปจากจวน มันน่ากลัวกว่ากันยิ่งนัก
หากเรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋บีบบังคับจนองค์หญิงใหญ่กระอักเลือดแพร่ออกไป ไป๋ชิงเหยียนจะมีข้ออ้างในการถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษโดยชอบธรรมทันที ไม่มีเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่คอยหนุนหลัง…ตระกูลบรรพบุรุษต้องจบเห่แน่!
ประมุขไป๋ที่ถูกลากออกมาเห็นไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เขารีบตะโกนลั่น “เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่! ท่านมีสายเลือดของตระกูลไป๋อยู่ในตัว ท่านเป็นทายาทของตระกูลไป๋นะ! ชื่อเสียงของตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะจบลงเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
ไป๋ชิงเหยียนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาเย็นชาของหญิงสาวไม่แม้แต่จะมองไปยังพวกเขา หญิงสาวหันไปมองเจี่ยงหมัวมัวที่แหวกม่านเดินออกมา
ไป๋จิ่นจื้อกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ชื่อเสียงนับร้อยปีของตระกูลไป๋ไม่มีทางจบลง คนที่จะจบมีเพียงพวกท่านเท่านั้น…”
“พี่หญิงใหญ่ เจี่ยงหมัวมัว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ!”
ไป๋จิ่นจื้อยกมือคาราวะไป๋ชิงเหยียนและเจี่ยงหมัวมัวจากนั้นเดินจากไป