สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 365 ชีวิต
ตอนที่ 365 ชีวิต
เรื่องที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่สั่งให้องครักษ์ของตระกูลไป๋ลากตัวหลี่หมิงถังบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าออกมาจากหอฮวาหม่านแล้วรุมทำร้ายจนเกือบตายแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงภายในครึ่งชั่วยาม
หลู่หยวนเผิงที่นอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ยอมตื่นก็ตื่นขึ้นด้วยความตกใจเพราะข่าวนี้
เขาเบิกตาโพลงมองไปทางซือหม่าผิง “เจ้าว่าอันใดนะ เรื่องจริงหรือ! พี่สาวไป๋จัดการคนน่าไม่อายหลี่หมิงถังนั่นจริงๆ หรือ”
“เหตุใดข้าต้องหลอกเจ้าด้วย ข้าเห็นกับตาของตัวเองเลย ทว่า อยู่ไกลเกินไปข้าจึงไม่ได้ยินว่าพี่สาวไป๋กล่าวสิ่งใดกับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่า” ซือหม่าผิงกล่าวอย่างรวดเร็ว “ตอนที่องค์รัชทายาทรับเช่อเฟยเข้าจวน เพลงดาบของพี่สาวไป๋รวดเร็วจนข้ามองตามไม่ทัน ทว่า ท่าทีองอาจ วันนี้นางอยู่ต่อหน้าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าแต่กลับไม่ลงมาจากรถม้า ไอสังหารน่ากลัวนั่นช่างสมกับที่เป็นหลานสาวคนโตของเจิ้นกั๋วอ๋องและองค์หญิงใหญ่จริงๆ ช่างไม่เหมือนกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่หยิ่งลำพองตนพวกนั้นเลยสักนิด!”
หลู่หยวนเผิงยิ้มสะใจ หยัดแผ่นหลังตรง สีหน้าตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ “พี่สาวไป๋เอ็นดูข้า พี่สาวไป๋ต้องรู้ว่าหลี่หมิงถังเคยรังแกข้าอย่างแน่นอน!”
ซือหม่าผิงไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายของหลู่หยวนเผิง สมองของเขาเต็มไปด้วยภาพของไป๋ชิงเหยียนที่ยืนนิ่งอยู่บนรถม้า ทั้งๆ ที่ดูเป็นสตรีที่อ่อนโยน ทว่า กลับดูทรงพลัง โดดเด่นเหนือผู้ใด บารมีน่าเกรงขามจนผู้อื่นไม่กล้ารังแก
ซือหม่าผิงอดนึกถึงเจิ้นกั๋วอ๋องและเจิ้นกั๋วกงที่ล่วงลับไปแล้วขึ้นมาไม่ได้ รัศมีที่น่าเกรงขามและดุดันเหล่านั้น หากไม่เคยเผชิญความเป็นความตายในสนามรบจริง ไม่มีทางมีอย่างแน่นอน
“หยวนเผิง ข้าตัดสินใจแล้วว่าวันที่ยี่สิบห้าเดือนนี้ข้าจะไปหนานเจียง ปิดบังตัวตนเข้าร่วมกองทัพพร้อมกับเจ้า” จู่ๆ ซือหม่าผิงก็กล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหัน
สิ้นเสียง หลู่หยวนเผิงเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างตกใจ รีบถลาไปที่หน้าต่างพลางชะโงกหน้าสำรวจบริเวณรอบๆ จากนั้นจึงปิดหน้าต่างแน่น ต่อว่าซือหม่าผิงด้วยเสียงเบาหวิว “เบาเสียงหน่อย! เบาๆ ! หากท่านปู่ของข้ารู้เรื่องนี้เข้า พวกเราไม่ได้ไปแน่”
“เจ้าไปไม่ได้แต่ข้าไปได้!” ซือหม่าผิงได้สติ มองไปทางหลู่หยวนเผิงที่มีสีหน้าหวั่นวิตกยิ้มๆ จากนั้นนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง ยกชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้น “ท่านพ่ออยากให้พี่ใหญ่ของข้าเป็นขุนนาง พี่รองเข้าร่วมกองทัพ ส่วนข้า…เอาแต่เล่นสนุกอยู่กับคุณชายเจ้าสำราญอย่างเจ้า หากข้าคิดทำสิ่งใดที่จริงจังขึ้นมา ท่านพ่อของข้าต้องดีใจแน่นอน!”
“แต่เจ้าจะทำร้ายข้าไม่ได้นะ!” หลู่หยวนเผิงนั่งลงบนเก้าอี้เช่นเดียวกัน เขากลอกตาใส่ซือหม่าผิง “นิสัยของพ่อแม่ข้า หากพวกเขารู้เรื่องนี้ต้องขังข้าอยู่ในจวนแน่นอน ไหนจะท่านปู่ของข้าอีก หากเขารู้ว่าข้าจะไปเข้าร่วมกับกองทัพไป๋ เขาต้องถลกหนังข้าออกแน่ๆ”
สิ้นเสียงของหลู่หยวนเผิง จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักออกอย่างแรง หลู่หยวนชิ่งในชุดสีขาวลายเมฆเดินเข้ามาด้านใน เอ่ยถามสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าจะไปเข้าร่วมกับกองทัพไป๋อย่างนั้นหรือ”
หลู่หยวนเผิงตกใจจนตัวสั่นเทา เมื่อเห็นพี่ชายที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งทั้งวัน ลำคอของหลู่หยวนเผิงร้อนผ่าว ในใจเต็มไปด้วยคำว่าจบเห่
ซือหม่าผิงก็เกรงกลัวหลู่หยวนชิ่งที่ได้สมญานามว่าคุณชายเย็นชาเช่นเดียวกัน เขาตกใจจนรีบลดขาข้างที่นั่งไขว่ห้างลงแล้วลุกขึ้นยืนทำความเคารพอย่างนอบน้อม เอ่ยอย่างกระอักระอวน “คือว่า หยวนเผิง…ข้าไปก่อนนะ”
ซือหม่าผิงค่อยๆ เดินอ้อมหลู่หยวนชิ่งจากนั้นวิ่งออกไปจากจวนหลู่อย่างรวดเร็ว
หลู่หยวนเผิงหัวเราะแห้งให้พี่ชาย เมื่อเห็นว่าหลู่หยวนชิ่งเดินเข้ามาใกล้เขา เขารีบไถตัวลงมาจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงบนพื้นทันที “ท่านพี่! ท่านพี่คนดี…ท่านอย่าฟ้องท่านปู่เด็ดขาดนะขอรับ ข้าก็แค่กล่าวไปอย่างนั้นเอง”
เมื่อเห็นว่าหลู่หยวนชิ่งไม่ได้ชะงักฝีเท้าแต่อย่างใด หลู่หยวนเผิงรีบใช้สองมือป้องใบหูของตัวเองไว้พลางย่นคอหนี กลัวว่าหลู่หยวนชิ่งจะบีบหูของเขาอีก
ผู้ใดจะคิดว่าหลู่หยวนชิ่งไม่ได้จะบีบหูของเขา แต่กลับเดินอ้อมเขาไปเปิดประตูตู้ที่อยู่ด้านหลังออก
ภายในตู้สีแดงเคลือบมันมีสัมภาระที่หลู่หยวนเผิงเตรียมไว้เรียบร้อยซ่อนอยู่
หลู่หยวนชิ่งหันไปมองหลู่หยวนเผิงนิ่ง จากนั้นหยิบสัมภาระออกมาจากตู้
หลู่หยวนเผิงรีบถลาเข้าไปจับสัมภาระของตัวเองแน่น “ท่านพี่ จะทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ ข้ารับปากว่าจะไม่หนีไปแล้วขอรับ!”
หลู่หยวนชิ่งสะบัดหลู่หยวนเผิงออกห่าง หลู่หยวนเผิงยังอยากเข้าไปแย่งสัมภาระของตนกลับมา ทว่า เมื่อถูกหลู่หยวนชิ่งชี้นิ้วใส่ เขาจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเข้าใกล้อีก ทำได้เพียงมองพี่ชายเปิดสัมภาระของเขาออกดู
ภายในสัมภาระมีเครื่องแต่งกายของหลู่หยวนเผิง ตั๋วเงินและเหรียญอีกจำนวนหนึ่ง
หลู่หยวนชิ่งหยิบเสื้อผ้าที่หลู่หยวนเผิงพับไว้อย่างลวกๆ ขึ้นมาดู “เจ้านำเครื่องแต่งกายเหล่านี้ติดตัวไปด้วยแต่จะปิดบังตัวตนอย่างนั้นหรือ”
สิ่งที่หลู่หยวนเผิงยัดใส่สัมภาระล้วนเป็นเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่ในยามปกติ ไม่เพียงปักอย่างประณีต ยังใช้เนื้อผ้าอย่างดี หากไม่ใช่คนจากตระกูลสูงศักดิ์ไม่มีทางใช้เสื้อผ้าเช่นนี้แน่นอน
“ต่อให้เป็นบ่าวรับใช้ในจวนหลู่ยังใช้เสื้อผ้าที่ดีกว่าชาวบ้านทั่วไป หากเจ้าต้องการปิดบังตัวตน…” หลู่หยวนชิ่งยึดตั๋วเงินของหลู่หยวนเผิง “ห้ามนำของเหล่านี้ไปเด็ดขาด! เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นแบบธรรมดาทั่วไปที่ชาวบ้านสวมใส่ด้วย”
หลู่หยวนเผิงมองหน้าพี่ชายอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านพี่หมายความว่าท่านจะไม่บอกท่านปู่ใช่หรือไม่ขอรับ”
“จัดสัมภาระที่จะเตรียมไปใหม่อีกครั้งแล้วนำมาให้ข้าดู ไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทาง รอให้งานวันเกิดของท่านย่าในเดือนหกผ่านพ้นไปก่อน หากเจ้าแอบหนีไปก่อน ข้าจะส่งคนไปจับเจ้ากลับมาแล้วหักขาเจ้าเสีย จำได้หรือไม่!” หลู่หยวนชิ่งถามเสียงเย็นชา
“จำได้ขอรับ! จำได้ขอรับ! ท่านพี่ไม่ต้องห่วงขอรับ” หลู่หยวนเผิงรีบเข้าไปดึงสัมภาระของตัวเองกลับคืนมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นยิ้มให้หลู่หยวนชิ่ง
หลู่หยวนชิ่งมองน้องชายของตัวเองราวกับมองคนบ้า ถอนหายใจยาวจากนั้นเดินจากไป
เมื่อหลู่หยวนชิ่งจากไป หลู่หยวนเผิงถึงได้สติ พี่ชายของเขายึดเงินที่เขาแอบสะสมมาหลายปีไปแล้วอย่างนั้นหรือ!
จวนหลี่
หญิงชราถือกะละมังน้ำร้อนเดินเข้าไปในเรือนของหลี่หมิงถังจากนั้นถือกะละมังที่เต็มไปด้วยเลือดออกมาอย่างวุ่นวาย
ภายในเรือนเต็มไปด้วยเสียงของฮูหยินของหลี่เม่าที่ร้องไห้คร่ำครวญเรียกบุตรชายคนเล็กของตัวเองและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหลี่หมิงถัง
ทุกคนในจวนหลี่ปิดปากเงียบสนิทไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ก้มหน้าทำงานของตัวเองตามหน้าที่ กลัวว่าอาจจะโดนลูกหลงไปด้วย
ขาของหลี่หมิงถังพิการอย่างถาวรแล้ว
ทว่า สิ่งที่หลี่เม่ากังวลในตอนนี้ไม่ใช่ขาของบุตรชายคนเล็กแต่เป็นชีวิตของคนทั้งตระกูล…รวมไปถึงเจ็ดชั่วโคตรของเขา
นึกถึงถ้อยคำที่ไป๋ชิงเหยียนบอกเขาว่าให้อธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้งก่อนพระอาทิตย์ตกดินในวันนี้ อีกทั้งห้ามกระทบถึงตระกูลไป๋ มิเช่นนั้นให้เขาและตระกูลล้างคอให้สะอาดแล้วเตรียมไปอธิบายเรื่องจดหมายกับฮ่องเต้และยมบาลแทน หลี่เม่ารู้สึกเสียวสันหลังวูบ
นี่มันเรื่องอันใดกัน หักขาของบุตรชายเขา แล้วยังบีบให้เขาหาคำอธิบายอีก!
หลี่เม่าหลับตาลง ส่ายหน้าน้อยๆ เขาจะร้อนรนไม่ได้
เขากำหมัดแน่น พยายามควบคุมอารมณ์โกรธและหวาดหวั่นในใจของตัวเอง