สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 414 ไม่พบร่องรอย
ตอนที่ 414 ไม่พบร่องรอย
เมื่อหลี่เม่ามาถึง ฮ่องเต้จึงลืมตาขึ้น “รู้เรื่องกันหมดแล้วใช่หรือไม่ มีวิธีรับมือเช่นไรบ้าง”
“ฝ่าบาท บัดนี้ภายในแคว้นหรงตี๋กำลังวุ่นวาย เราสามารถโยกกองกำลังที่เฝ้าชายแดนหรงตี๋ไปเสริมทัพที่ภูเขาชุ่นมู่ได้พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานกองทัพของแม่ทัพสือพานซานที่ไปปราบปรามความวุ่นวายที่เยี่ยนว่อก็จะเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว น่าจะพอคุ้มกันเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเราควรส่งแม่ทัพหลิวหงไปช่วยที่ชุนมู่ด้วยอีกแรงพ่ะย่ะค่ะ” อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่ากล่าวขึ้น
เสิ่นจิ้งจงมหาเสนาบดีกรมทหารก้าวไปด้านหน้าพลางกล่าวขึ้น “กระหม่อมคิดว่าแม่ทัพสือพานซาน เจียงหรูไห่และเจินเจ๋อผิงที่สร้างความดีความชอบในสงครามหนานเจียงเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้สวินเทียนจางนำทัพออกรบด้วยตัวเอง ในเมื่อเกิดสงครามขึ้นแล้ว เราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจียงหรูไห่อายุยังน้อย เซี่ยอวี๋จั่งสุขุมกว่า เขาเป็นหัวหน้ากองทัพหลวงมานานหลายปี ส่งเขาไปลองเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เม่าถือโอกาสนี้แนะนำเซี่ยอวี๋จั่ง
หลู่เซียงลูบเคราของตัวเองเล็กน้อย นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา ทว่า เขาคิดว่าหากเขาเสนอออกไป ด้วยความระแวงที่ฮ่องเต้มีต่อตระกูลไป๋ พระองค์ไม่มีทางเลือกใช้คนคนนี้แน่นอน
“เสด็จพ่อลูกคิดว่าควรส่งเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปยังภูเขาชุนมู่พ่ะย่ะค่ะ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่แสดงความสามารถในการนำทัพและวางแผนการรบจนเป็นที่ประจักษ์ในสงครามหนานเจียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่! เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่!” ฮ่องเต้กำหมัดแน่น น้ำเสียงดังขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า “ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องพึ่งเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ทุกเรื่อง ขาดเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปสักคน เจ้าจะเป็นรัชทายาทไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน!”
รัชทายาทขาอ่อน รีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที “ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท” หลู่เซียงเอ่ยขัดขึ้นก่อน “กระหม่อมทราบดีว่าฝ่าบาทคิดว่าการส่งสตรีออกไปทำสงครามเป็นการดูหมิ่นแคว้นต้าจิ้นของเรา ทว่า องค์รัชทายาททรงห่วงใยชาวบ้านแถบชายแดน มีจิตใจเมตตาปราณี ฝ่าบาทอย่าพิโรธเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียงเอ่ยสรรเสริญฮ่องเต้ก่อน จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ทว่า คำกล่าวของรัชทายาททำให้กระหม่อมฉุกคิดได้ว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เป็นหลานสาวคนโตของเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิง ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากองค์หญิงใหญ่และเจิ้นกั๋วอ๋องมาตั้งแต่เล็ก เมื่อหัดเขียนได้ก็เริ่มเรียนรู้ตำราพิชัยสงคราม นางเติบโตมาบนตำราพิชัยสงคราม ที่สำคัญบัดนี้เราไม่ได้รับข่าวเกี่ยวกับเกาอี้เซี่ยนจู่ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ยอมเป็นกังวล หากฝ่าบาททรงส่งเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปยังภูเขาชุนมู่ นางต้องซาบซึ้งในพระคุณของฝ่าบาทแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
คำกล่าวของหลู่เซียงทำให้ฮ่องเต้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เขาหลับตาลง “เราขอเวลาคิดหน่อย”
เมื่อเอ่ยถึงเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ หลี่เม่าก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เขากำลังลังเลอยู่ว่าจะเสนอชื่อเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ตามรัชทายาทดีหรือไม่
“อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีความเห็นเช่นไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามหลี่เม่า
หลี่เม่าเป็นคนมีไหวพริบ เขารีบก้าวไปด้านหน้า เหลือบมองไปทางรัชทายาทเล็กน้อย ทว่า กลัวว่ารัชทายาทจะรู้สึกตัว จึงฝืนกล่าวออกมา “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าควรส่งเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไปลองดูพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททรงไม่วางพระทัย สามารถส่งแม่ทัพติดตามนางไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขบกรามแน่น “ประกาศราชโองการสั่งให้กองกำลังสามหมื่นนายที่เฝ้าอยู่ที่ชายแดนหรงตี๋มุ่งหน้าไปยังภูเขาชุ่นมู่ เซี่ยอวี่จั่ง เจินเจ๋อผิง หลิวหงนำกำลังสองหมื่นนายเดินทางออกจากเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ ส่งคนไปแจ้งให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่รีบเดินทางไปยังภูเขาชุนมู่ด้วย”
ฮ่องเต้คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “ครั้งนี้หลิวหงเป็นแม่ทัพใหญ่ ต้องขัดขวางกองทัพต้าเหลียงไม่ให้บุกเข้าไปในอวี้ซานกวนให้ได้!”
ข่าวการเสียชีวิตในสนามรบของแม่ทัพจางตวนรุ่ยส่งไปถึงเมืองซั่วหยางในเช้าวันที่ยี่สิบเก้า
ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยังไม่ทันจะเช็ดผมให้แห้งก็เห็นชุนเถาวิ่งเข้ามาด้านในพลางยื่นจดหมายให้นาง
ข่าวที่หลูผิงส่งกลับมามีเพียงสั้นๆ แม่ทัพจางตวนรุ่ยออกไปรบ ทว่า ติดกับดักของฝ่ายศัตรู ไป๋จิ่นจื้อพากองทัพออกไปช่วยโดยมีเสิ่นชิงจู๋ติดตามไปด้วย สวินเทียนจางส่งกลับมาเพียงร่างไร้วิญญาณของแม่ทัพจางตวนรุ่ย ไป๋จิ่นจื้อขาดการติดต่อ
ร่างกายของไป๋ชิงเหยียนชาวาบ ความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาในใจ ใจเต้นรัวจนรู้สึกปวดร้าว
เดิมทีนางคิดว่ามีแม่ทัพจางตวนรุ่ย เสิ่นชิงจู๋และหลูผิงอยู่ด้วยต้องควบคุมไป๋จิ่นจื้อไว้ได้แน่ ทว่า เหตุใดแม่ทัพจางตวนรุ่ยจึงออกรบรบกัน
สวินเทียนจางวางกับดักให้แม่ทัพจางตวนรุ่ยเห็นหนทางชนะศึกเช่นนั้นหรือ
มือที่จุดไฟเผาจดหมายของไป๋ชิงเหยียนสั่นไหวอย่างรุนแรง สมองคิดประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“ชุนเถา…รีบส่งคนไปบอกให้พ่อบ้านเหาคัดองครักษ์ตระกูลไป๋ยี่สิบนายตามข้าไปยังภูเขาชุนมู่! เรียกเฉิงซ่านหรูและผู้ดูแลหลิวมา ข้ามีเรื่องต้องสั่งงานพวกเขา ด่วนที่สุด!”
ไป๋ชิงเหยียนชะงักไปเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนและรวดเร็ว
“ส่งคนส่งข่าวไปบอกไป๋ชิงผิงและเสิ่นเยี่ยนฉงที่ค่ายทหารว่าให้พวกเขารับผิดชอบดูแลเรื่องการฝึกฝนชาวบ้านต่อจากนี้ทั้งหมด หากมีเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ให้สอบถามความเห็นจากผู้ดูแลหลิว! ถงหมัวมัวช่วยข้าเตรียมเสื้อผ้าสักสองชุด หยิบธนูเซ่อรื้อของข้าออกมาด้วย บอกท่านแม่ว่าเสี่ยวซื่อเกิดเรื่องขึ้น ให้ท่านแม่ปิดบังท่านอาสะใภ้สามเรื่องนี้ไว้ก่อน ข้าจะพาเสี่ยวซื่อกลับมาอย่างปลอดภัย”
“เจ้าค่ะ!” ชุนเถารับคำจากนั้นวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อทำตามที่ไป๋ชิงเหยียนสั่ง
แม้สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนจะยังดูสงบนิ่ง ทว่า ฝ่ามือของหญิงสาวชื้นไปด้วยเหงื่อ
นางไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่ข่าวสถานการณ์รบที่หนานเจียงส่งกลับมานางก็ยังไม่หวาดกลัวถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะนางรู้จุดจบของบุรุษตระกูลไป๋ล่วงหน้าก่อนแล้ว ดังนั้นสำหรับนาง การพบบุรุษตระกูลไป๋ที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่คือการที่นางยื้อชีวิตพวกเขากลับมาจากมือของยมบาล
ทว่า เสี่ยวซื่อไม่เหมือนกัน…
ชาติที่แล้วเสี่ยวซื่อยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย กลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นศัตรู!
ตอนนั้น ข้างกายของเสี่ยวซื่อมีหรู่ซยงทั้งสองของนางคอยปกป้อง ทว่า บัดนี้ข้างกายของนางมีเพียงเสิ่นชิงจู๋คนเดียว
เปลวไฟค่อยๆ ลุกลามกลืนกินจดหมายจนเหลือเพียงผุยผง ความหวาดกลัวค่อยๆ คืบคลานเข้าไปในใจที่สงบของไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วันแล้วตั้งแต่ข่าวถูกส่งมาจากภูเขาชุนมู่ ไม่รู้ว่าเสี่ยวซื่อจะยังปลอดภัยอยู่หรือไม่
นอกจากนั้นเมื่อเดินทางผ่านเมืองหลวง นางยังต้องแวะไปรายงานให้รัชทายาททราบเรื่องเสียก่อน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้และรัชทายาทจะหวาดระแวงในตัวนางหรือไม่ ต่อให้ตระกูลไป๋ย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยางก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
นางต้องเดินทางไปยังภูเขาชุนมู่ทันที แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิด นางก็จะพาน้องสาวของนางกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้!
ชาตินี้นางไม่อาจสูญเสียญาติคนใดไปได้อีกแล้ว แม้แต่คนเดียวก็ไม่มีทาง!
ไป๋ชิงเหยียนเก็บสัมภาระที่จะออกเดินทางเสร็จ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเตรียมพร้อมออกเดินทาง ต่งซื่อก็เดินมาที่เรือนอย่างรีบร้อน
เมื่อรับรู้ข่าวต่งซื่อซึ่งยังไม่ได้ทำผมให้เรียบร้อยรีบสวมเสื้อคลุมกันลมมุ่งหน้ามายังเรือนปัวอวิ๋นโดยมีฉินหมัวมัวช่วยประคองอย่างรีบร้อน
“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
สิ้นเสียงรายงานของชุนเถา ต่งซื่อแหวกม่านเข้ามาด้านในพอดี
ไป๋ชิงเหยียนที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย รวบผมสูงเรียบร้อยมองไปทางมารดาที่สีหน้าซีดเผือด หญิงสาวเข้าไปประคองมารดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ “ท่านแม่ แม่ทัพจางตวนรุ่ยเสียชีวิตในสนามรบ เสี่ยวซื่อหายตัวไปโดยไม่พบร่องรอย ข้าต้องไปพาเสี่ยวซื่อกลับมาเจ้าค่ะ!”
ต่งซื่อน้ำตาไหลพรากทันที นางกัดฟันพลางบีบมือบุตรสาวของตัวเองแน่น แม้ในใจไม่อยากให้บุตรสาวไป ทว่า นางรู้ดีว่าบุตรสาวไม่มีทางปล่อยให้เสี่ยวซื่อเป็นอันใดไปโดยไม่ลงมือทำสิ่งใดไม่ได้ นางเป็นพี่สาวคนโต ตั้งแต่รู้ความ นางก็รู้แล้วว่าต้องปกป้องน้องสาวและน้องชายของตนให้ปลอดภัย
ไป๋ชิงเหยียนมองต่งซื่อ ดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ อาเป่าจะพาเสี่ยวซื่อกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ อาเป่าเป็นคนรักษาสัญญาเสมอเจ้าค่ะ!”