สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 49 รู้ใจ
อาหารเลิศรสมากมาย เครื่องดนตรีอันไพเราะ ผู้คนชนแก้วสังสรรค์ท่ามกลางเสียงเพลง กลองบรรเลงดังขึ้น กลางห้องโถงมีนางรำร่ายรำตามจังหวะบรรเลงอย่างอ่อนช้อยงดงาม งานเลี้ยงฉลองที่โอ่อ่าเช่นนี้ยากจะหาได้จากที่ใดอีก
ต่งชิงผิง ท่านน้าชายใหญ่ของไป๋ชิงเหยียนซึ่งนั่งอยู่บริเวณด้านล่างแท่นที่นั่งถูกเพื่อนขุนนางหัวเราะเยาะรอยข่วนบริเวณหางตาของเขา กล่าวว่าเขากลัวภรรยา…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภรรยาของเขาอาจกลายเป็นจีโฮ่วแห่งแคว้นต้าเยี่ยนคนต่อไปที่จะรวบอำนาจตระกูลต่งและสวมเขาให้แก่ต่งชิงผิง
มือที่กำลังรินเหล้าของเซียวหรงเหยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นรินเหล้าต่อนิ่งๆ ยกแก้วเหล้าขึ้น…สายตากวาดมองลงไปทางด้านล่างแท่นที่นั่ง
เมื่อเห็นสายตาที่เซียวหรงเหยี่ยนจ้องไปที่ต่งชิงผิง ไป๋ชิงเหยียนอดหวาดหวั่นมิได้ เซียวหรงเหยี่ยนเป็นโอรสองค์สุดท้องที่จีโฮ่วแห่งแคว้นต้าเยี่ยนรักมากที่สุด
นางจำได้ว่าชาติที่แล้ว…สิบห้าปีต่อมามีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แคว้นต้าจิ้นพ่ายแพ้ให้แก่แคว้นต้าเยี่ยนที่แข็งแกร่ง ต้าเยี่ยน ซีเหลียงต่างเข้าโจมตีต้าจิ้นทั้งทางเหนือและทางใต้ นางติดตามเหลียงอ๋องไปออกรบกับซีเหลียงปลีกตัวออกมาไม่ได้ ต้าจิ้นจึงได้แต่ยอมสงบศึกกับต้าเยี่ยน เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวว่าจะยอมสงบศึก ไม่เอาดินแดน ไม่เอาบรรณาการ ขอแค่ต้าจิ้นส่งตัวคนที่เคยกล่าวดูถูกเหยียดหยามจีโฮ่วมาให้เขา จุดจบของคนพวกนั้นแทบไม่ต้องจินตนาการเลยด้วยซ้ำ
ยามปกติต่งชิงผิงเป็นคนวาจาฉะฉาน วาทศิลป์เป็นเลิศ ถือว่าสุขุมรอบคอบ แต่ทุกครั้งที่ดื่มเหล้ามากเกินไปเขากลับควบคุมวาจาของตนเองไม่ได้ เวลานี้เริ่มเมาได้ที่จึงเอ่ยวาจาล้อเลียนเช่นนี้ออกมา “พงศาวดารแคว้นเยี่ยน บันทึกไว้ว่า สตรีงามของตระกูลจีว่างามแล้วแต่ยังสู้ความงดงามของจีโฮ่วมิได้ แม้กระทั่งหลีจี[1] ก็ยังงามสู้นางมิได้ เซียวอ๋องหลงเสน่ห์นางจึงรับนางมาเป็นกุ้ยเฟย[2] ปกครองวังหลัง ต่อมาเมื่อสลับเปลี่ยนขุนนาง นางจึงได้ตำแหน่งฮองเฮากลายเป็นมารดาของแผ่นดิน อยู่ในฐานะที่มิมีผู้ใดเทียบเทียมได้ ถูกบันทึกสมญานามว่า…เฉวียนโฮ่ว[3] ซ่งซื่อเมียของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา อาจใจร้อนไปสักหน่อย แต่จะเทียบกับสตรีมีพิษเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!”
กล่าวจบ ต่งชิงผิงสะอึกเล็กน้อย หันไปมองต่งซื่อ มารดาของไป๋ชิงเหยียน “เจ้าว่าจริงหรือไม่น้องสาว”
ไป๋ชิงเหยียนหวั่นวิตกกับคำกล่าวของต่งชิงผิง กำมือแน่น นางรีบเหลือบมองไปทางเซียวหรงเหยี่ยนแวบหนึ่ง เห็นว่าชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากดื่มเหล้าจนหมดแก้ว แต่รอยยิ้มส่งไปไม่ถึงแววตาที่เยือกเย็น
ไม่รอให้ต่งซื่อเอ่ยพูด ไป๋ชิงเหยียนรีบชิงกล่าวขึ้นก่อน “ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามใดๆ ไม่ว่าจะเป็นใจร้ายดั่งอสรพิษหรือเจ้าเล่ห์มารยาทำให้จักรพรรดิลุ่มหลง ตอนนั้นจีโฮ่วเป็นเพียงสนมตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอำนาจทั้งในวังหลังและราชสำนัก แต่กลับคุ้มครองจักรพรรดิผู้สติไม่สมประกอบจนมีชีวิตรอดมาได้ท่ามกลางอันตรายมากมาย แล้วยังผลักให้ต้าเยี่ยนยิ่งใหญ่เหนือแคว้นใด จิตใจของนางต้องเข้มแข็งปานใดกัน”
ดวงตาล้ำลึกของเซียวหรงเหยี่ยนจ้องไปทางหญิงสาวด้วยแววตาลึกซึ้ง ไป๋ชิงเหยียนแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวมองไปทางต่งชิงผิง แต่ฝ่ามือกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ “ที่โดนผู้คนดูหมิ่นเหยียดหยาม ก็เพราะการรบย่อมมีผู้แพ้ผู้ชนะ ผู้ชนะย่อมกล่าวได้ทุกสิ่งอยู่แล้ว ท่านลุงเป็นผู้สอนเหตุผลไร้สาระเช่นนี้ให้ข้าเองนี่เจ้าคะ เหตุใดวันนี้พอดื่มเหล้ามากเข้าหน่อยกลับกล่าววาจาเลอะเลือนเช่นนี้ออกมาเล่าเจ้าคะ!”
ฮ่องเต้เอนกายพิงหมอนนุ่มที่อยู่ด้านข้าง สายตาหยุดอยู่ที่ไป๋ชิงเหยียน
“จีโฮ่วเป็นสตรีแต่กลับยึดอำนาจการปกครอง ทำให้บ้านเมืองต้องล่มสลาย! วีรสตรีในยุคนั้น…ตอนนี้ก็เป็นได้แค่แคว้นเล็กๆ เท่านั้น ขนาดเมืองหลวงของแคว้นยังต้องยกให้ต้าจิ้น ต้องยอมก้มหัวให้แก่เราเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป! พวกเจ้าว่า…เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่” มีคนกล่าวขึ้นอย่างสนุกปาก
ในฐานะสตรีด้วยกัน ไป๋ชิงเหยียนเกลียดคำว่า สตรียึดอำนาจปกครอง เป็นที่สุด เดิมทีนางกล่าวปกป้องจีโฮ่วเพราะไม่อยากให้เซียวหรงเหยี่ยนโกรธแค้นท่านลุง แต่ตอนนี้นางกลับจริงใจมากกว่าเดิม
“ผู้คนต่างกล่าวกันว่าจีโฮ่วแห่งแคว้นต้าเยี่ยนปกครองบ้านเมืองอย่างเผด็จการ จิตใจอำมหิต แต่สตรีที่จิตใจโหดร้ายดั่งอสรพิษเช่นนางกลับทำให้แคว้นที่อ่อนแออย่างต้าเยี่ยนสามารถสู้รบกับต้าจิ้น ซีเหลียงซึ่งเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งในขณะนั้นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ในตอนนั้นการปกครองของต้าเยี่ยนโปร่งใส แคว้นรุ่งเรือง ขุนนางบัณฑิตสละชีพเพื่อรักษาความยุติธรรมให้บ้านเมือง ขุนนางทหารสละชีพในสงครามเพื่อปกป้องแคว้น แต่เมื่อฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนฟื้นคืนสติ เขากุมอำนาจ สังหารจีโฮ่ว…คนในแคว้นต้าเยี่ยนต่างยินดี แต่ต่อมาแคว้นต้าเยี่ยนกลับเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว จนบัดนี้ต้องยอมก้มหัวให้แคว้นต้าจิ้นของเรา ช่างน่าเศร้าสลดใจยิ่งนัก!”
เซียวหรงเหยี่ยนกำหยกจักจั่นในมือแน่น สายตาที่มองไปยังไป๋ชิงเหยียนลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น สตรีที่เคยองอาจอยู่บนหลังม้า ใบหน้างดงามนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางแสงไฟ กล่าวยกย่องมารดาของเขา ณ วังหลวงที่มารดาของเขาเป็นผู้สร้างขึ้นมา
ไม่มีอำนาจทั้งในวังหลังและราชสำนัก แต่กลับคุ้มครองจักรพรรดิผู้สติไม่สมประกอบจนมีชีวิตรอดมาได้ท่ามกลางอันตรายมากมาย คำกล่าวนี้ของไป๋ชิงเหยียน ช่างตรงกับความทุกข์ระทมไร้ซึ่งหนทางของมารดาเขาจริงๆ
เซียวหรงเหยี่ยนหลุบตาลง รินเหล้าจนเต็มแก้ว ดื่มเหล้าขอบคุณไป๋ชิงเหยียนผู้ซึ่งรู้ใจมารดาของตนแทนมารดาจนหมดแก้ว
จู่ๆ ฮ่องเต้ตรัสออกมายิ้มๆ “เสด็จป้า หลานสาวคนโตผู้นี้ของท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก! เราได้ยินมาว่า…คำพูดที่นางกล่าวหน้าจวนจงหย่งโหวในวันนั้นทำเอาจงหย่งโหวถึงกลับไปไม่เป็น เรายังไม่อยากจะเชื่อเลย แต่วันนี้เราได้เห็นกับตาของตัวเองแล้ว”
ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้น ย่อกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม ยืนก้มหน้านิ่งอยู่ตรงที่นั่งของตน
ฮ่องเต้มองสำรวจไป๋ชิงเหยียนครู่หนึ่ง หรี่ตาลงราวกับกำลังหวนนึก หันไปถามขันทีใหญ่ที่อยู่ข้างกาย “คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋กล่าวไว้เช่นไร เรียนสิ่งใด…”
ขันทีใหญ่รีบโน้มกายกล่าวตอบฮ่องเต้อย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท คุณหนูใหญ่กล่าวว่าร่ำเรียนการปกป้องบ้านเมือง ร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพ เรียนการขี่ม้าไล่ฆ่าฟันศัตรู…จะไม่ยอมให้ชาวบ้านต้องทุกข์ทรมาน บ้านเมืองโดนดูถูกพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์หญิงใหญ่กล่าวออกมายิ้มๆ “หลานสาวของหม่อมฉันคอยติดตามท่านกั๋วกงตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงมาแบบบุรุษนิสัยจึงห้าวหาญไปสักหน่อยเพคะ!”
“กระหม่อมจำได้ว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเคยตามท่านกั๋วกงไปออกรบด้วยพ่ะย่ะค่ะ! คำพูดพวกนี้สตรีตระกูลอื่นกล่าวมิได้ แต่คุณหนูแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกล่าวได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เม่ายกแก้วเหล้าขึ้น หัวเราะร่าพลางลุกขึ้น กล่าวคล้ายจะล้อเล่น “หลายร้อยปีมานี้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีของจวนเจิ้นกั๋วกงต่างเก่งกาจในการสู้รบทั้งนั้น และยังไม่เคยพ่ายแพ้เสียด้วย ผลงานใหญ่หลวงเช่นนี้ แต่ก็ดันแย่งจวินกงจากกองทัพต้าจิ้นของเราไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือให้ผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เม่ามักจะใส่ไฟจวนเจิ้นกั๋วกงเวลาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ทุกครั้งจริงๆ
เขาหาเรื่องจวนเจิ้นกั๋วกงต่อหน้าไป๋ชิงเหยียนเช่นนี้ เท่ากับเป็นการปักมีดมาที่หัวใจของนาง หญิงสาวเดือดดาลในทันที ความขุ่นเคืองโกรธแค้นถาโถมเข้ามาในใจของนางราวกับน้ำที่เดือดเต็มที่ นางจะทนได้อย่างไรกัน
หญิงสาวหันกลับไป หยัดแผ่นหลังตรง สายตาจ้องไปยังหลี่เม่า มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายซึ่งถือเหล้ายืนยิ้มอยู่ด้านล่าง สีหน้าของนางนิ่งสงบดั่งสายน้ำ เอ่ยขึ้นเสียงเยือกเย็น “ที่แท้ในสายตาของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีแค่จวินกงเช่นนั้นหรือ ตระกูลไป๋ของข้ามีแต่นักรบมาเป็นร้อยปีก็จริง แต่ท่านมหาเสนาบดีเคยได้ยินว่าบรรพบุรุษคนใดของตระกูลข้าสละชีพเพราะจวินกงบ้าง! ท่านลองไปสำรวจดูป้ายบรรพชนเป็นร้อยๆ ป้ายที่หอบรรพชนตระกูลไป๋สักหน่อย ว่าผู้ใดในตระกูลข้าสิ้นชีพเพราะแก่งแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวงนี้บ้าง! แม้แต่เด็กอายุเพียงสิบปีของตระกูลไป๋ยังต้องไปออกรบปกป้องบ้านเมือง! บุรุษตระกูลไป๋ไปออกรบเสี่ยงตายสุดชีวิตเพราะต้องการจวินกงเช่นนั้นหรือ! สิ่งที่ตระกูลไป๋ต้องการคือชาวบ้านปลอดภัย! บ้านเมืองสงบสุข! แคว้นต้าจิ้นเจริญรุ่งเรืองสืบไป!”
หวนนึกถึงเรื่องในอดีต ไป๋ชิงเหยียนเจ็บปวดใจมาก แต่ละประโยคที่เอ่ยออกไปล้วนกลั่นออกมาจากใจ ทุกๆ คำดังกึกก้องกังวานไปทั่ว หวังเรียกสติของทุกคน
ภายในตำหนักเงียบกริบ
สีหน้าของหลี่เม่าไม่สู้ดีนัก ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทั้งอับอายทั้งโกรธเคือง
บรรดาคุณชายเจ้าสำราญที่เฮฮาสังสรรค์กันอยู่ ได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของแคว้นต้าจิ้น แต่บุรุษตระกูลไป๋กลับไม่อยู่ภายใต้ปีกความคุ้มครองของบรรพบุรุษ เมื่ออายุสิบขวบก็เริ่มติดตามท่านกั๋วกงไปออกรบเพื่อฝึกฝน แต่พวกเขากลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในเมืองหลวง ไม่ทำสิ่งใดให้เกิดประโยชน์ทั้งสิ้น
[1] หลีจี นางสนมผู้เลอโฉมพราวเสน่ห์ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้รัฐจิ้นที่ตอนนั้นปกครองโดย จิ้นเซี่ยงกง ล่มสลาย
[2] กุ้ยเฟย สนมเอกของจักรพรรดิ
[3] เฉวียนโฮ่ว เป็นสมญานามที่จีโฮ่วได้รับ หากแปลตรงตัวมีความหมายว่า อำนาจของวังหลัง