สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 529 เล่าไปตามเนื้อผ้า เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่รีบร้อนจะกลับไป เฉาเจิ้งหนานและถูเฉิงเสียงก็ไม่ขัด จากนั้นทุกคนก็กลับไปในวันรุ่งขึ้น เหลยหยวนทราบแล้วก็หันมองทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ย “พวกนายไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก พักฟื้นให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับ” เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็เปิดปากเอ่ย “ผบ.เหลยครับ ผมอยากรีบกลับไปหาคนที่บ้านครับ” เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่บอกว่าจะกลับบ้าน เหลยหยวนจึงไม่พูดอะไรมากนัก ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้ ในเมื่อพวกนายตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับเถอะ” แม้คนพวกนี้จะทำผิดพลาด แต่เขาก็ยังชื่นชมพวกเขามาก จึงตบบ่าแล้วพูดกับพวกเขาว่า “กลับไปพักผ่อนให้ดีนะ พวกนายสามคนทำได้ดีเลย” แต่เมื่อพูดถึงถูเฉิงเสียง เขาก็จ้องมองนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “เฉิงเสียง นายยังต้องใจเย็นกว่านี้อีกหน่อย อย่าหุนหันพลันแล่น เดี๋ยวฉันจะไปบอกอาของนาย” ถูเฉิงเสียงพยักหน้าก่อนจะตอบรับ “ครับ” เซี่ยเจ๋อหลี่และคนอื่น ๆ ออกจากมณฑลกว่างซีในวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานยังไม่ทราบว่าเซี่ยจ๋อหลี่กลับมาแล้ว เธอคิดเอาไว้ว่าหากไม่ได้ข่าวคราวของเขาในสองวันแล้วจะลองไปถามที่ฐานทัพ เหยาจิ้งจือทราบเรื่องนี้จึงบอกกล่าวทันที “มู่หลาน เธอไม่ต้องกังวลใจไปหรอก เดี๋ยวอีกสองวันพวกเราค่อยไปถาม” แต่หลังจากผ่านไปสองวัน เซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับมาเองแล้ว “อาหลี่ ในที่สุดแกก็กลับมาสักที ฉันกำลังจะออกไปถามข่าวแกอยู่พอดีเลย แกบอกเอาไว้ว่าจะกลับมาในหนึ่งเดือน แต่นี่ฉันรอตั้งหนึ่งเดือนครึ่งกว่าแกจะกลับมา” เหยาจิ้งจือเห็นลูกชายคนเล็กกลับมาก็ดีใจมาก ก่อนจะจับเขามาถามเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่ไม่นานก็ผลักลูกชายคนเล็ก แล้วกล่าวว่า “มู่หลานยังไม่ได้ออกไปข้างนอก อยู่ที่ห้องกินข้าว แกรีบไปหาเลย ช่วงนี้หล่อนกำลังเป็นห่วงแก” เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รีบพยักหน้า “แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปหามู่หลานก่อนนะ” “ได้” เหยาจิ้งจือตอบรับ แล้วตามลูกชายคนเล็กไปทางหน้าบ้านด้วยกัน ในห้องรับประทานอาหาร มู่หลานและเด็กทั้งสองกำลังกินอาหารเช้าด้วยกัน เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่เข้ามา ทุกคนก็มีสีหน้าแปลกใจ “อาหลี่…” “ปะป๊า…” ฉินมู่หลานและเด็กทั้งสองต่างหันไปมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ เซี่ยเจ๋อหลี่เดินตรงไปหาฉินมู่หลาน พลางจ้องมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้งก่อนจะพูดขึ้น “มู่หลาน ผมกลับมาแล้ว” “กลับมาก็ดีแล้วค่ะ” ฉินมู่หลานกังวลมาสักระยะหนึ่งแล้ว กลัวว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะได้รับบาดเจ็บขณะที่อยู่ข้างนอก แต่เมื่อตอนนี้เห็นคนกลับมาแล้ว เธอจึงโล่งใจได้ในที่สุด เด็กทั้งสองดูเหมือนว่าจะไม่ได้เจอพ่อของพวกเขามานานแล้ว จึงรีบเข้าไปสวมกอดขาของเขาคนละข้างทันที เซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มแล้วอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “พวกลูกอยู่ที่บ้านเป็นเด็กดีกันไหม” “เป็น~~” เด็กทั้งสองตอบกลับเสียงเจื้อยแจ้ว จนเซี่ยเจ๋อหลี่รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังละลาย เหยาจิ้งจือเห็นภาพความอบอุ่นของครอบครัวทั้งสี่คนแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า จากนั้นจึงหันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นฉันไปโรงงานก่อนนะ กินเสร็จก็ไปมหาวิทยาลัยนะ” “ค่ะ” ฉินมู่หลานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเหยาจิ้งจือออกไป ก็รีบหันไปมองแล้วเอ่ยถามเซี่ยเจ๋อหลี่ “ออกไปทำภารกิจครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ?” เธอคิดว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะปกปิดเหมือนครั้งก่อน จึงเอ่ยถามด้วยความเป้นกังวลใจ เพราะครั้งนี้เขากลับมาช้าเกินกว่าที่บอกเอาไว้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกกล่าวตามตรง “บาดเจ็บนิดหน่อย คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจด้วย” ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม เขาไม่ได้บอก ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้ถามมาก ถามเพียงแค่ว่า “กินข้าวหรือยัง จะกินก่อนแล้วค่อยไปนอนพักไหมคะ” เซี่ยเจ๋อหลี่เหนื่อยมากจริง ๆ เพราะเดินทางมาไม่ได้พักผ่อนเลย หลังจากที่เขากลับไปส่งภารกิจแล้วก็ลาหยุดกลับบ้านครึ่งวัน ด้วยความกลัวว่ามู่หลานและคนอื่น ๆ จะเป็นห่วง “งั้นผมกินนิดหน่อยแล้วค่อยไปนอนพัก ช่วงบ่ายผมจะกลับแล้ว” ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้มีเวลาอยู่ที่บ้านมากนัก วันนี้จึงตัดสินใจขอลาหนึ่งวัน “ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณรีบไปกินเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะฝากเคอวั่งไปบอกปิงหรุ่ย ให้หล่อนลาหยุดให้ฉัน” “ได้” เซี่ยเจ๋อหลี่กินเสร็จก็เล่นกับลูกทั้งสองสักพักก่อนจะหลับไป ส่วนฉินมู่หลานเข้าครัวเพื่อต้มยา ว่าจะให้เซี่ยเจ๋อหลี่ดื่มหลังจากที่เขาตื่น ช่วงนี้เซี่ยเหวินปิงและฉินเจี้ยนเซ่อค่อนข้างว่าง เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่หลับไปอย่างเหนื่อยล้า อีกทั้งฉินมุ่หลานยังยุ่งอยู่ในครัว จึงรีบเปิดปากเอ่ยทันที “มู่หลาน เดี๋ยวพวกเราพาเด็ก ๆ สองคนไปเล่นข้างนอกสักพัก ลูกกับอาหลี่จะได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านกัน” ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ค่ะ” ฉินมู่หลานยุ่งอยู่ในครัวเสร็จแล้วก็กลับไปหาเซี่ยเจ๋อหลี่ที่ห้อง เมื่อเห็นเขายังหลับอยู่ เธอจึงเดินย่องเบาๆ ไปที่ขอบเตียง หลังจากนั้นก็ตรวจชีพจรให้เขา เมื่อพบว่าเขาสบายดีจึงรู้สึกโล่งใจ อันที่จริงเซี่ยเจ๋อหลี่ตื่นตั้งแต่ตอนที่ฉินมู่หลานเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นว่าเธอกำลังแอบตรวจชีพจรของตัวเอง จึงหลับตาต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน จนกระทั่งเธอกำลังจะออกไป เขาก็คว้าข้อมือเธอเอาไว้ “คุณตื่นแล้วเหรอคะ ฉันทำให้คุณตื่นหรือเปล่า” เซี่ยเจ๋อหลี่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะกล่าวพร้อมส่ายหัว “ไม่เลย ตอนแรกผมว่าจะตื่นแล้ว อีกสักพักเดี๋ยวจะกลับแล้วล่ะ” เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่เหนื่อยมาก อีกทั้งยังต้องรีบกลับ ฉินมู่หลานก็อดทุกข์ใจไม่ได้ เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นแบบนี้ก็บอกกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมมีวันหยุดแล้วจะรีบกลับมาหา และผมจะพักผ่อนอย่างดีตอนกลับไป” “อืม” ฉินมู่หลานพยักหน้า หลังจากนั้นก็ให้เขาไปที่ห้องทานอาหาร “ฉันต้มยาเอาไว้แล้ว คุณดื่มก่อนเถอะค่ะ” เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าตกลง หลังจากดื่มเสร็จเขาก็ใกล้จะกลับแล้ว “มู่หลาน เดี๋ยวผมว่างแล้วจะกลับมาบ้านนะ” “ได้” เซี่ยเจ๋อหลี่ใช้เวลาเดินทางกลับมาบ้าน ไม่นานก็ต้องกลับฐานทัพ แต่เมื่อเขากลับมาถึง เฉาเจิ้งหนานก็รีบเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบ “ผู้กองเซี่ย คุณรู้เรื่องหรือยังครับ ถูเฉิงเสียงโดนลงโทษสาหัสมาก ตอนนี้กำลังกลับไปเก็บของที่บ้าน” “เก็บของเหรอ?” เฉาเจิ้งหนานพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ ผบ.ถูพิจารณาแล้วว่าจะให้เขาลาหยุดหนึ่งเดือนกลับไปที่บ้าน เห็นได้ชัดเลยว่าเขาโดนพักงาน” เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็หันหลังแล้วเดินไป “อ๊ะ…ผู้กองเซี่ย คุณจะไปหา ผบ.ถูเหรอ” เซี่ยเจ๋อหลี่ไปหาถูไคหัว หลังจากได้เจอแล้ว ก็กล่าวตามตรง “ผบ.ถูครับ ผมเพิ่งกลับมา ได้ยินว่ารองหัวหน้าทีมของเราโดนสั่งพักงาน ก็เลยอยากมาสอบถามเพิ่มเติม” เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูไคหัวก็เหลือบมองเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “นายมาก็ดีแล้ว ฉันกำลังจะคุยกับนายเรื่องนี้อยู่พอดี ครั้งนี้พวกนายทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วงดี แต่หลังจากนั้นถูเฉิงเสียงก็ได้ออกไปทำอย่างนั้นโดยพลการ นั่นไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว ครั้งนี้ผมจึงสั่งพักงานเขา เพื่อให้เขาได้ไต่ตรอง” “ผบ.ถูครับ อันที่จริง…พวกเราทุกคนเข้าใจความรู้สึกของรองหัวหน้าถูได้นะครับ พวกอันหนานก็ทำเกินไป สหายบางคนที่เราไปแลกเปลี่ยนตัวกลับมาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และตอนที่อยู่ทางอันหนาน พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานมาก พวกเราทุกคนเห็นว่ามันยอมรับไม่ได้ ขณะที่พวกเราดูแลพวกคนอันหนานที่ถูกจับเอาไว้อย่างดีตลอด ความแตกต่างแบบนี้ทำให้คนอื่นๆ โกรธมากครับ” เมื่อได้ยินเซี่ยเจ๋อหลี่กล่าวแบบนี้ ถูไคหัวก็อดมองเขาไม่ได้ ก่อนจะพูดว่า “ไม่คิดเลยว่านายจะมาแก้ต่างให้เฉิงเสียง” “ผมไม่ได้แก้ต่างให้เขาครับ ผมแค่เล่าไปตามเนื้อผ้า” ถูไคหัวได้ยินแบบนี้ ก็อดหัวเราะออกมาเสียไม่ได้ “ใช่ การเล่าไปตามเนื้อผ้าเป็นเรื่องดี นายเพิ่งกลับมาก็รีบไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องถูเฉิงเสียง ให้เขาได้ไตร่ตรองตัวเองสักหนึ่งเดือนก่อน รออีกหนึ่งเดือนค่อยพูดกัน” “ครับท่านผบ. อย่างนั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ” หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ไปแล้ว ถูไคหัวก็ครุ่นคิด ก่อนจะไปหาถูเฉิงเสียงที่บ้าน “อารอง…” เมื่อเห็นสีหน้าของถูเฉิงเสียงดูมืดมน อารมณ์ของถูไคหัวที่กำลังดี ๆ ก็จางหายไปอีกครั้ง “ทำไม…ครั้งนี้โกรธเหรอ แล้วทำไมไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง ถ้าครั้งนี้ไม่ได้พวกเซี่ยเจ๋อหลี่ไปช่วยแกไว้ แกคิดว่าจะกลับมาได้ไหม” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของถูเฉิงเสียงก็ค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย ตอนแรกเขากับเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นศัตรูกัน หลังจากนั้นก็เหมือนจะขัดแย้งกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลังจากทั้งสองออกไปทำภารกิจด้วยกันในครั้งนี้ มันก็ทำให้เขาได้รู้จักตัวตนของเซี่ยเจ๋อหลี่มากขึ้น เมื่อเห็นถูเฉิงเสียงไม่พูด ถูไคหัวจึงกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เซี่ยเจ๋อหลี่เพิ่งมาหาฉันแล้วถามเรื่องของแก แกรู้ไหม เขาพูดแก้ต่างให้แกด้วยนะ” “อะไรนะ…” เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของถูเฉิงเสียงก็เปลี่ยนไป “เซี่ยเจ๋อหลี่พูดแก้ต่างให้ผมจริงเหรอ” ถูไคหัวพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่แล้ว ฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน หลังจากพูดแบบนั้นเขาก็บอกว่าแค่เล่าไปตามเนื้อผ้า เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าครั้งนี้แกจะฝ่าฝืนวินัย แต่พวกเขาก็เข้าใจแกเหมือนกัน ดูสิว่าเขาใจกว้างขนาดไหน เพราะฉะนั้นต่อไปแกอย่าไปจ้องจะจับผิดเขาอีกเลย” “ผม…” ถูเฉิงเสียงกำลังจะโต้แย้งกลับว่าเขาไม่ได้จ้องจะจับผิดเซี่ยเจ๋อหลี่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้า เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เมื่อเห็นถูเฉิงเสียงไม่พูดแบบนี้ ถูไคหัวก็เอ่ยด้วยความโกรธ “ตอนแรกภรรยาของพวกแกเป็นฝ่ายเริ่มทะเลาะกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าภรรยาของเซี่ยเจ๋อหลี่กำลังตั้งท้องอยู่ แต่ภรรยาของแกกลับทำตัวก้าวร้าวใส่เขา ต่อไปแกต้องบอกภรรยาแกให้ระวังหน่อย” เมื่อพูดถึงคังอันเหอ ถูไคหัวก็อดถามไม่ได้ “จริงสิ ภรรยาแกเป็นยังไงบ้าง” “อารอง หลังจากผมกลับมาจากภารกิจครั้งก่อน อันเหอก็ย้ายไปที่โรงพยาบาลชุมชนแล้ว พวกเราสองสามีภรรยาไม่ได้เจอหน้ากันเลย หลังจากนั้นผมก็ออกไปทำภารกิจที่กุ้ยโจวต่อ นี่ก็เพิ่งกลับมา ไม่ได้เจอหล่อนเลย ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้หล่อนเป็นยังไงบ้าง” เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูไคหัวก็นึกขึ้นได้ จากนั้นก็หันมองถูเฉิงเสียงอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า “แกมีเวลาหยุดพักอยู่ที่บ้านตั้งหนึ่งเดือน ถ้าอยากเจอภรรยาก็เจอหน้ากันได้ทุกวัน เอาล่ะ ฉันก็จะกลับแล้ว” พูดจบก็จากไปทันที ถูเฉิงเสียงเฝ้ามองร่างของอารองเดินจากไป ก่อนจะนึกถึงสิ่งที่อารองเพิ่งพูดก่อนหน้านี้อีกครั้ง แล้วเก็บข้าวของออกไปทันที อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลานรอให้เซี่ยเจ๋อหลี่กลับไปแล้ว เธอก็เริ่มทำของว่างให้ลูกทั้งสองอีกครั้ง รอให้พวกเขากลับมา จะได้ให้พวกเขาพร้อมกิน “มู่หลาน อาหลี่กลับฐานทัพแล้วเหรอ” เซี่ยเหวินปิงกลับมาไม่เห็นลูกชายคนเล็ก จึงพอจะทราบว่าเขาออกไปอีกแล้ว ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่ค่ะ อาหลี่บอกว่าไว้มีเวลาจะกลับมาหา” เด็กทั้งสองเห็นว่าพ่อไม่อยู่แล้ว ใบหน้าน้อยก็ดูสลดลง แต่ไม่นานมู่หลานก็นำของว่างออกมาให้ทันที พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิงชิง เฉินเฉิน มากินขนมเร็ว” ได้กลิ่นหอมหวาน เด็กทั้งสองจึงยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนกินมื้อเที่ยงอย่างง่าย ๆ ฉินมู่หลานวางแผนจะพาเด็กทั้งสองไปนอน ไม่คิดว่าเยว่เจินจูจะมาหาก่อน “มู่หลาน ฉันได้ยินว่าวันนี้เธอไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย ก็เลยตรงมาหาเธอที่นี่” เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจินจู เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” “มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกเธอ” ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ให้เด็ก ๆ ทั้งสองไปเล่นกันก่อน เด็กทั้งสองก็เชื่อฟังแล้วเดินตามคุณปู่และคุณตาไปที่ลานบ้านด้านหลัง หลังจากเยว่เจินจูนั่งลง หล่อนก็รีบบอกฉินมู่หลานเกี่ยวกับข่าวลือที่ได้ยินมา “มู่หลาน ครั้งล่าสุดเฉินเหวินเหวินมาถ่ายทำกับเราอีกครั้ง แต่ฉันได้ยินหล่อนพูดอะไรแปลก ๆ แค่คิดว่าเธอควรจะรู้เอาไว้” “เรื่องอะไรเหรอ?” …………………………………………………………………………………………………………………………. สารจากผู้แปล ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้วก็หวังจะคิดอะไรได้นะเฉิงเสียง ข่าวลืออะไรหนอ ไหหม่า(海馬)
- Home
- สตรีแกร่งตระกูลไป๋
- ตอนที่ 529 เล่าไปตามเนื้อผ้า เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่รีบร้อนจะกลับไป เฉาเจิ้งหนานและถูเฉิงเสียงก็ไม่ขัด จากนั้นทุกคนก็กลับไปในวันรุ่งขึ้น เหลยหยวนทราบแล้วก็หันมองทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ย “พวกนายไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก พักฟื้นให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับ” เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็เปิดปากเอ่ย “ผบ.เหลยครับ ผมอยากรีบกลับไปหาคนที่บ้านครับ” เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่บอกว่าจะกลับบ้าน เหลยหยวนจึงไม่พูดอะไรมากนัก ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้ ในเมื่อพวกนายตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับเถอะ” แม้คนพวกนี้จะทำผิดพลาด แต่เขาก็ยังชื่นชมพวกเขามาก จึงตบบ่าแล้วพูดกับพวกเขาว่า “กลับไปพักผ่อนให้ดีนะ พวกนายสามคนทำได้ดีเลย” แต่เมื่อพูดถึงถูเฉิงเสียง เขาก็จ้องมองนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “เฉิงเสียง นายยังต้องใจเย็นกว่านี้อีกหน่อย อย่าหุนหันพลันแล่น เดี๋ยวฉันจะไปบอกอาของนาย” ถูเฉิงเสียงพยักหน้าก่อนจะตอบรับ “ครับ” เซี่ยเจ๋อหลี่และคนอื่น ๆ ออกจากมณฑลกว่างซีในวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานยังไม่ทราบว่าเซี่ยจ๋อหลี่กลับมาแล้ว เธอคิดเอาไว้ว่าหากไม่ได้ข่าวคราวของเขาในสองวันแล้วจะลองไปถามที่ฐานทัพ เหยาจิ้งจือทราบเรื่องนี้จึงบอกกล่าวทันที “มู่หลาน เธอไม่ต้องกังวลใจไปหรอก เดี๋ยวอีกสองวันพวกเราค่อยไปถาม” แต่หลังจากผ่านไปสองวัน เซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับมาเองแล้ว “อาหลี่ ในที่สุดแกก็กลับมาสักที ฉันกำลังจะออกไปถามข่าวแกอยู่พอดีเลย แกบอกเอาไว้ว่าจะกลับมาในหนึ่งเดือน แต่นี่ฉันรอตั้งหนึ่งเดือนครึ่งกว่าแกจะกลับมา” เหยาจิ้งจือเห็นลูกชายคนเล็กกลับมาก็ดีใจมาก ก่อนจะจับเขามาถามเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่ไม่นานก็ผลักลูกชายคนเล็ก แล้วกล่าวว่า “มู่หลานยังไม่ได้ออกไปข้างนอก อยู่ที่ห้องกินข้าว แกรีบไปหาเลย ช่วงนี้หล่อนกำลังเป็นห่วงแก” เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รีบพยักหน้า “แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปหามู่หลานก่อนนะ” “ได้” เหยาจิ้งจือตอบรับ แล้วตามลูกชายคนเล็กไปทางหน้าบ้านด้วยกัน ในห้องรับประทานอาหาร มู่หลานและเด็กทั้งสองกำลังกินอาหารเช้าด้วยกัน เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่เข้ามา ทุกคนก็มีสีหน้าแปลกใจ “อาหลี่…” “ปะป๊า…” ฉินมู่หลานและเด็กทั้งสองต่างหันไปมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ เซี่ยเจ๋อหลี่เดินตรงไปหาฉินมู่หลาน พลางจ้องมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้งก่อนจะพูดขึ้น “มู่หลาน ผมกลับมาแล้ว” “กลับมาก็ดีแล้วค่ะ” ฉินมู่หลานกังวลมาสักระยะหนึ่งแล้ว กลัวว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะได้รับบาดเจ็บขณะที่อยู่ข้างนอก แต่เมื่อตอนนี้เห็นคนกลับมาแล้ว เธอจึงโล่งใจได้ในที่สุด เด็กทั้งสองดูเหมือนว่าจะไม่ได้เจอพ่อของพวกเขามานานแล้ว จึงรีบเข้าไปสวมกอดขาของเขาคนละข้างทันที เซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มแล้วอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “พวกลูกอยู่ที่บ้านเป็นเด็กดีกันไหม” “เป็น~~” เด็กทั้งสองตอบกลับเสียงเจื้อยแจ้ว จนเซี่ยเจ๋อหลี่รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังละลาย เหยาจิ้งจือเห็นภาพความอบอุ่นของครอบครัวทั้งสี่คนแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า จากนั้นจึงหันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นฉันไปโรงงานก่อนนะ กินเสร็จก็ไปมหาวิทยาลัยนะ” “ค่ะ” ฉินมู่หลานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากเหยาจิ้งจือออกไป ก็รีบหันไปมองแล้วเอ่ยถามเซี่ยเจ๋อหลี่ “ออกไปทำภารกิจครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ?” เธอคิดว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะปกปิดเหมือนครั้งก่อน จึงเอ่ยถามด้วยความเป้นกังวลใจ เพราะครั้งนี้เขากลับมาช้าเกินกว่าที่บอกเอาไว้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกกล่าวตามตรง “บาดเจ็บนิดหน่อย คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภารกิจด้วย” ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม เขาไม่ได้บอก ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อย แต่เธอก็ไม่ได้ถามมาก ถามเพียงแค่ว่า “กินข้าวหรือยัง จะกินก่อนแล้วค่อยไปนอนพักไหมคะ” เซี่ยเจ๋อหลี่เหนื่อยมากจริง ๆ เพราะเดินทางมาไม่ได้พักผ่อนเลย หลังจากที่เขากลับไปส่งภารกิจแล้วก็ลาหยุดกลับบ้านครึ่งวัน ด้วยความกลัวว่ามู่หลานและคนอื่น ๆ จะเป็นห่วง “งั้นผมกินนิดหน่อยแล้วค่อยไปนอนพัก ช่วงบ่ายผมจะกลับแล้ว” ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้มีเวลาอยู่ที่บ้านมากนัก วันนี้จึงตัดสินใจขอลาหนึ่งวัน “ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณรีบไปกินเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะฝากเคอวั่งไปบอกปิงหรุ่ย ให้หล่อนลาหยุดให้ฉัน” “ได้” เซี่ยเจ๋อหลี่กินเสร็จก็เล่นกับลูกทั้งสองสักพักก่อนจะหลับไป ส่วนฉินมู่หลานเข้าครัวเพื่อต้มยา ว่าจะให้เซี่ยเจ๋อหลี่ดื่มหลังจากที่เขาตื่น ช่วงนี้เซี่ยเหวินปิงและฉินเจี้ยนเซ่อค่อนข้างว่าง เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่หลับไปอย่างเหนื่อยล้า อีกทั้งฉินมุ่หลานยังยุ่งอยู่ในครัว จึงรีบเปิดปากเอ่ยทันที “มู่หลาน เดี๋ยวพวกเราพาเด็ก ๆ สองคนไปเล่นข้างนอกสักพัก ลูกกับอาหลี่จะได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านกัน” ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ค่ะ” ฉินมู่หลานยุ่งอยู่ในครัวเสร็จแล้วก็กลับไปหาเซี่ยเจ๋อหลี่ที่ห้อง เมื่อเห็นเขายังหลับอยู่ เธอจึงเดินย่องเบาๆ ไปที่ขอบเตียง หลังจากนั้นก็ตรวจชีพจรให้เขา เมื่อพบว่าเขาสบายดีจึงรู้สึกโล่งใจ อันที่จริงเซี่ยเจ๋อหลี่ตื่นตั้งแต่ตอนที่ฉินมู่หลานเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นว่าเธอกำลังแอบตรวจชีพจรของตัวเอง จึงหลับตาต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน จนกระทั่งเธอกำลังจะออกไป เขาก็คว้าข้อมือเธอเอาไว้ “คุณตื่นแล้วเหรอคะ ฉันทำให้คุณตื่นหรือเปล่า” เซี่ยเจ๋อหลี่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะกล่าวพร้อมส่ายหัว “ไม่เลย ตอนแรกผมว่าจะตื่นแล้ว อีกสักพักเดี๋ยวจะกลับแล้วล่ะ” เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่เหนื่อยมาก อีกทั้งยังต้องรีบกลับ ฉินมู่หลานก็อดทุกข์ใจไม่ได้ เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นแบบนี้ก็บอกกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมมีวันหยุดแล้วจะรีบกลับมาหา และผมจะพักผ่อนอย่างดีตอนกลับไป” “อืม” ฉินมู่หลานพยักหน้า หลังจากนั้นก็ให้เขาไปที่ห้องทานอาหาร “ฉันต้มยาเอาไว้แล้ว คุณดื่มก่อนเถอะค่ะ” เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าตกลง หลังจากดื่มเสร็จเขาก็ใกล้จะกลับแล้ว “มู่หลาน เดี๋ยวผมว่างแล้วจะกลับมาบ้านนะ” “ได้” เซี่ยเจ๋อหลี่ใช้เวลาเดินทางกลับมาบ้าน ไม่นานก็ต้องกลับฐานทัพ แต่เมื่อเขากลับมาถึง เฉาเจิ้งหนานก็รีบเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบ “ผู้กองเซี่ย คุณรู้เรื่องหรือยังครับ ถูเฉิงเสียงโดนลงโทษสาหัสมาก ตอนนี้กำลังกลับไปเก็บของที่บ้าน” “เก็บของเหรอ?” เฉาเจิ้งหนานพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ ผบ.ถูพิจารณาแล้วว่าจะให้เขาลาหยุดหนึ่งเดือนกลับไปที่บ้าน เห็นได้ชัดเลยว่าเขาโดนพักงาน” เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็หันหลังแล้วเดินไป “อ๊ะ…ผู้กองเซี่ย คุณจะไปหา ผบ.ถูเหรอ” เซี่ยเจ๋อหลี่ไปหาถูไคหัว หลังจากได้เจอแล้ว ก็กล่าวตามตรง “ผบ.ถูครับ ผมเพิ่งกลับมา ได้ยินว่ารองหัวหน้าทีมของเราโดนสั่งพักงาน ก็เลยอยากมาสอบถามเพิ่มเติม” เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูไคหัวก็เหลือบมองเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “นายมาก็ดีแล้ว ฉันกำลังจะคุยกับนายเรื่องนี้อยู่พอดี ครั้งนี้พวกนายทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วงดี แต่หลังจากนั้นถูเฉิงเสียงก็ได้ออกไปทำอย่างนั้นโดยพลการ นั่นไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว ครั้งนี้ผมจึงสั่งพักงานเขา เพื่อให้เขาได้ไต่ตรอง” “ผบ.ถูครับ อันที่จริง…พวกเราทุกคนเข้าใจความรู้สึกของรองหัวหน้าถูได้นะครับ พวกอันหนานก็ทำเกินไป สหายบางคนที่เราไปแลกเปลี่ยนตัวกลับมาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และตอนที่อยู่ทางอันหนาน พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานมาก พวกเราทุกคนเห็นว่ามันยอมรับไม่ได้ ขณะที่พวกเราดูแลพวกคนอันหนานที่ถูกจับเอาไว้อย่างดีตลอด ความแตกต่างแบบนี้ทำให้คนอื่นๆ โกรธมากครับ” เมื่อได้ยินเซี่ยเจ๋อหลี่กล่าวแบบนี้ ถูไคหัวก็อดมองเขาไม่ได้ ก่อนจะพูดว่า “ไม่คิดเลยว่านายจะมาแก้ต่างให้เฉิงเสียง” “ผมไม่ได้แก้ต่างให้เขาครับ ผมแค่เล่าไปตามเนื้อผ้า” ถูไคหัวได้ยินแบบนี้ ก็อดหัวเราะออกมาเสียไม่ได้ “ใช่ การเล่าไปตามเนื้อผ้าเป็นเรื่องดี นายเพิ่งกลับมาก็รีบไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องถูเฉิงเสียง ให้เขาได้ไตร่ตรองตัวเองสักหนึ่งเดือนก่อน รออีกหนึ่งเดือนค่อยพูดกัน” “ครับท่านผบ. อย่างนั้นผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ” หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ไปแล้ว ถูไคหัวก็ครุ่นคิด ก่อนจะไปหาถูเฉิงเสียงที่บ้าน “อารอง…” เมื่อเห็นสีหน้าของถูเฉิงเสียงดูมืดมน อารมณ์ของถูไคหัวที่กำลังดี ๆ ก็จางหายไปอีกครั้ง “ทำไม…ครั้งนี้โกรธเหรอ แล้วทำไมไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง ถ้าครั้งนี้ไม่ได้พวกเซี่ยเจ๋อหลี่ไปช่วยแกไว้ แกคิดว่าจะกลับมาได้ไหม” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของถูเฉิงเสียงก็ค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย ตอนแรกเขากับเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นศัตรูกัน หลังจากนั้นก็เหมือนจะขัดแย้งกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลังจากทั้งสองออกไปทำภารกิจด้วยกันในครั้งนี้ มันก็ทำให้เขาได้รู้จักตัวตนของเซี่ยเจ๋อหลี่มากขึ้น เมื่อเห็นถูเฉิงเสียงไม่พูด ถูไคหัวจึงกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เซี่ยเจ๋อหลี่เพิ่งมาหาฉันแล้วถามเรื่องของแก แกรู้ไหม เขาพูดแก้ต่างให้แกด้วยนะ” “อะไรนะ…” เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของถูเฉิงเสียงก็เปลี่ยนไป “เซี่ยเจ๋อหลี่พูดแก้ต่างให้ผมจริงเหรอ” ถูไคหัวพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่แล้ว ฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน หลังจากพูดแบบนั้นเขาก็บอกว่าแค่เล่าไปตามเนื้อผ้า เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าครั้งนี้แกจะฝ่าฝืนวินัย แต่พวกเขาก็เข้าใจแกเหมือนกัน ดูสิว่าเขาใจกว้างขนาดไหน เพราะฉะนั้นต่อไปแกอย่าไปจ้องจะจับผิดเขาอีกเลย” “ผม…” ถูเฉิงเสียงกำลังจะโต้แย้งกลับว่าเขาไม่ได้จ้องจะจับผิดเซี่ยเจ๋อหลี่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้า เขาจึงไม่พูดอะไรอีก เมื่อเห็นถูเฉิงเสียงไม่พูดแบบนี้ ถูไคหัวก็เอ่ยด้วยความโกรธ “ตอนแรกภรรยาของพวกแกเป็นฝ่ายเริ่มทะเลาะกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าภรรยาของเซี่ยเจ๋อหลี่กำลังตั้งท้องอยู่ แต่ภรรยาของแกกลับทำตัวก้าวร้าวใส่เขา ต่อไปแกต้องบอกภรรยาแกให้ระวังหน่อย” เมื่อพูดถึงคังอันเหอ ถูไคหัวก็อดถามไม่ได้ “จริงสิ ภรรยาแกเป็นยังไงบ้าง” “อารอง หลังจากผมกลับมาจากภารกิจครั้งก่อน อันเหอก็ย้ายไปที่โรงพยาบาลชุมชนแล้ว พวกเราสองสามีภรรยาไม่ได้เจอหน้ากันเลย หลังจากนั้นผมก็ออกไปทำภารกิจที่กุ้ยโจวต่อ นี่ก็เพิ่งกลับมา ไม่ได้เจอหล่อนเลย ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้หล่อนเป็นยังไงบ้าง” เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูไคหัวก็นึกขึ้นได้ จากนั้นก็หันมองถูเฉิงเสียงอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า “แกมีเวลาหยุดพักอยู่ที่บ้านตั้งหนึ่งเดือน ถ้าอยากเจอภรรยาก็เจอหน้ากันได้ทุกวัน เอาล่ะ ฉันก็จะกลับแล้ว” พูดจบก็จากไปทันที ถูเฉิงเสียงเฝ้ามองร่างของอารองเดินจากไป ก่อนจะนึกถึงสิ่งที่อารองเพิ่งพูดก่อนหน้านี้อีกครั้ง แล้วเก็บข้าวของออกไปทันที อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลานรอให้เซี่ยเจ๋อหลี่กลับไปแล้ว เธอก็เริ่มทำของว่างให้ลูกทั้งสองอีกครั้ง รอให้พวกเขากลับมา จะได้ให้พวกเขาพร้อมกิน “มู่หลาน อาหลี่กลับฐานทัพแล้วเหรอ” เซี่ยเหวินปิงกลับมาไม่เห็นลูกชายคนเล็ก จึงพอจะทราบว่าเขาออกไปอีกแล้ว ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่ค่ะ อาหลี่บอกว่าไว้มีเวลาจะกลับมาหา” เด็กทั้งสองเห็นว่าพ่อไม่อยู่แล้ว ใบหน้าน้อยก็ดูสลดลง แต่ไม่นานมู่หลานก็นำของว่างออกมาให้ทันที พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิงชิง เฉินเฉิน มากินขนมเร็ว” ได้กลิ่นหอมหวาน เด็กทั้งสองจึงยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนกินมื้อเที่ยงอย่างง่าย ๆ ฉินมู่หลานวางแผนจะพาเด็กทั้งสองไปนอน ไม่คิดว่าเยว่เจินจูจะมาหาก่อน “มู่หลาน ฉันได้ยินว่าวันนี้เธอไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย ก็เลยตรงมาหาเธอที่นี่” เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจินจู เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” “มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกเธอ” ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ให้เด็ก ๆ ทั้งสองไปเล่นกันก่อน เด็กทั้งสองก็เชื่อฟังแล้วเดินตามคุณปู่และคุณตาไปที่ลานบ้านด้านหลัง หลังจากเยว่เจินจูนั่งลง หล่อนก็รีบบอกฉินมู่หลานเกี่ยวกับข่าวลือที่ได้ยินมา “มู่หลาน ครั้งล่าสุดเฉินเหวินเหวินมาถ่ายทำกับเราอีกครั้ง แต่ฉันได้ยินหล่อนพูดอะไรแปลก ๆ แค่คิดว่าเธอควรจะรู้เอาไว้” “เรื่องอะไรเหรอ?” …………………………………………………………………………………………………………………………. สารจากผู้แปล ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้วก็หวังจะคิดอะไรได้นะเฉิงเสียง ข่าวลืออะไรหนอ ไหหม่า(海馬)
ตอนที่ 1486 คนตกปลาได้ประโยชน์
ไป๋ชิงเหยียนจำได้ว่าเซียวหรงเหยี่ยนเคยบอกนางว่าซีไหวอ๋องเคยกล่าวไว้ว่าหลานชายของเขามีจิตใจทะเยอทะยานมากกว่าเขา ดังนั้นต่อให้ไป๋ชิงเหยียนจะไม่เคยสนทนากับท่าป๋าเย่ามาก่อนนางก็รู้ดีว่าท่าป๋าเย่าโกรธแค้นต้าเยี่ยนมากเพียงใด เด็กคนนี้คงไม่ถึงกับขนาดหวาดระแวงอาแท้ๆ ของตัวเองหรอกกระมัง
ที่สำคัญท่าป๋าเย่าเป็นถึงจักรพรรดิของแคว้นเว่ย ทว่า กลับยอมลดตัวเป็นเพียงองครักษ์ของตระกูลไป๋เพื่อตอบแทนบุญคุณของไป๋จิ่นเซ่อ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก
การสูญเสียครอบครัวและทุกคนในตระกูลทั้งๆ ที่เป็นเพียงเด็กตัวเล็กอ่อนแอคนหนึ่ง ทว่า กลับมีใจแรงกล้าที่อยากจะแก้แค้นและสามารถอดกลั้นความแค้นไว้ในใจได้ทำให้ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงตัวเองในตอนที่ยังไม่ได้กลับมาเกิดใหม่ นางอยากช่วยดึงเด็กคนนี้ขึ้นมา ทว่า ไม่อยากใช้หลอกใช้เขาโดยที่เขาไม่รับรู้เช่นเดียวกับที่เหลียงอ๋องเคยใช้กับนาง แม้ท่าป๋าเย่าจะยังเล็ก ทว่า ไป๋ชิงเหยียนเลือกที่จะบอกความคิดของตัวเองและเรื่องที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเขาให้เขารับรู้ทั้งหมด
“ซีไหวอ๋องคงไม่หยุดตามหาท่าป๋าเย่า ที่สำคัญเขารู้แล้วว่าท่าป๋าเย่าอยู่กับตระกูลไป๋ เราต้องหาทางรับมือกลับซีไหวอ๋องไว้ด้วย”
ไป๋ชิงเจวี๋ยนึกถึงสาเหตุที่ไป๋จิ่นเซ่อพาท่าป๋าเย่ามายังเมืองจินกว่านขึ้นมาได้
“เมื่อจบเรื่องของตงอี๋พี่จะไปพบซีไหวอ๋องด้วยตัวเอง”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางก้าวขึ้นไปบนหลังม้า
“ตอนนี้ผู้สำเร็จราชการต้าเยี่ยนนำทัพถึงที่ใดแล้ว”
ไป๋ชิงเจวี๋ยก้าวขึ้นหลังม้าเช่นเดียวกัน จากนั้นเอ่ยตอบ
“น่าจะอยู่ห่างจากประตูทิศตะวันตกของเมืองหลวงแค่สี่ห้าลี้เท่านั้นขอรับ ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็เร็วสู้กองทัพไป๋ของพวกเราไม่ได้ขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้ามองเครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงของน้องสาวคนเล็ก จากนั้นเอ่มถามยิ้มๆ
“นำเสื้อเกราะมาด้วยหรือไม่”
ไป๋จิ่นเซ่อพยักหน้า
“นำมาเจ้าค่ะ”
“ชิงจู๋ เปลี่ยนชุดให้เสี่ยวชี พวกเราจะเข้าเมืองพร้อมกับกองทัพ!”
ไป๋ชิงเหยียนหันหัวม้าไปทางทิศที่กองทัพใหญ่รออยู่
“เจ้าค่ะ!”
เสิ่นชิงจู๋รับคำ
ไป๋จิ่นเซ่อเปลี่ยนไปสวมเสื้อเกราะเหล็กสีเงิน เมื่อนางไปรวมตัวกับกองทัพใหญ่พร้อมกับเสิ่นชิงจู๋ก็ถูกไป๋จิ่นจื้อลากไปอีกทาง
“เจ้าช่วยคลายความสงสัยให้พี่ที เจ้าพาองครักษ์ข้างกายของเจ้ามาทำอันใดที่นี่ สิ่งที่อวี๋เซิงกล่าวว่าพร้อมตายไปข้างหนึ่งกับต้าเยี่ยนหมายความว่าอย่างไรกัน”
ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าเคียงข้างไปกับไป๋จิ่นเซ่อพลางเอ่ยถามเสียงเบา
ไป๋จิ่นเซ่อรู้ว่าพี่หญิงสี่ของตัวเองเป็นคนเก็บความลับไม่ค่อยอยู่จึงกล่าวยิ้มๆ
“พี่หญิงสี่น่าจะรู้ว่าข้าช่วยชีวิตอวี๋เซิงมาจากซีเหลียง บิดาของอวี๋เซิงเสียชีวิตด้วยน้ำมือคนต้าเยี่ยน เขามีความแค้นกับต้าเยี่ยน พี่หญิงใหญ่อยากให้อวี๋เซิงอยู่เป็นสายลับของต้าโจวในตงอี๋ เขายังเด็กไม่น่ามีผู้ใดสงสัยในตัวเขา ที่สำคัญตระกูลไป๋มีบุญคุณต่อเขา อวี๋เซิงไม่มีทางทรยศตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”
“อ้อ…”
ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้า นางไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ ทำเพียงขี่ม้าตามหลังพี่หญิงใหญ่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของตงอี๋เท่านั้น
ทหารตงอี๋ที่อยู่บนกำแพงเมืองมองเห็นธงเฮยฟานไป๋หมั่งและขบวนทัพอันยิ่งใหญ่ของกองทัพไป๋มาแต่ไกล ทหารตงอี๋รีบวิ่งลงจากกำแพงเมืองไปรายงานฮองเฮา
“ฮองเฮา กองทัพไป๋มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เหล่าขุนนางตงอี๋ที่เผชิญกับเหตุการณ์ที่จักรพรรดิองค์ใหม่ของตงอี๋ถูกธนูสังหารเสียวสันหลังวาบทันที
ฮองเฮาจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เรียบร้อย ไม่รู้ว่าฝ่ามือของนางชื้นเหงื่อตั้งแต่เมื่อใด นางหันไปถามหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์
“ผู้สำเร็จราชการขอต้าเยี่ยนนำทัพต้าเยี่ยนเดินทางมาถึงที่ใดแล้ว”
“ถ้าจะอยู่ห่างจากประตูทิศตะวันตกประมาณห้าลี้พ่ะย่ะค่ะ กองทัพไป๋คงถึงก่อนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์กล่าว
ฮองเฮาแสร้งทำเป็นยิ้มออกมาด้วยท่าทีปกติ
“ต้าโจวและต้าเยี่ยนล้วนอยากเดินทางถึงเมืองหลวงตงอี๋เป็นฝ่ายแรกเพื่ออำนาจในการตัดสินขาดในเมือง เดี๋ยวปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเองแล้วกัน พวกเราจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง”
“ฮองเฮาตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์กล่าวจบก็อดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ เขากำดาบในมือแน่น “ทว่า ตอนนี้ต้าเยี่ยนเดินทางมาเช่นเดียวกัน ต้าโจวจะคิดเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ต้าโจวพาองค์ชายเจ็ดมาจริงหรือแค่หลอกให้พวกเราเปิดประตูเมืองเพื่อทำลายล้างแคว้นตงอี๋เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่แน่ใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ต้าโจวไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
ฮองเฮาของตงอี๋มั่นใจว่าต้าโจวต้องเก็บตงอี๋ไว้เพื่อสร้างปัญหาให้ต้าเยี่ยนแน่
“เก็บตงอี๋ไว้มีประโยชน์สำหรับต้าโจวมากกว่าทำลายตงอี๋ทิ้ง ต้าเยี่ยนสนับสนุนให้องค์ชายสองก่อกบฏขึ้นเป็นจักรพรรดิของแคว้นตงอี๋ก็เพื่อต้องการยืมมือของตงอี๋สร้างปัญหาให้ต้าโจว! ตอนนี้สถานการณ์กลับกันแล้ว ต้าโจวย่อมอยากให้ตงอี๋สร้างปัญหาให้ต้าเยี่ยนเช่นเดียวกัน อย่าคิดว่าจักรพรรดินีต้าโจวเป็นเพียงสตรีจึงไม่มีความกล้าและความแค้น สตรีเจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก! มิเช่นนั้นนางคงไม่ยกทัพบุกมาทำสงครามกับตงอี๋ด้วยตัวเองเพียงเพราะการเสียชีวิตของหานเฉิงอ๋องแน่!”
“ฮองเฮาตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ได้ฟังการวิเคราะห์ของฮองเฮาจึงวางใจลงไม่น้อย
ไม่นานทหารอีกคนก็วิ่งลงมาจากกำแพงเมือง เขาทำความเคารพฮองเฮา
“ฮองเฮา กระหม่อมเห็นจักรพรรดินีต้าโจวทรงม้ามุ่งตรงมายังเมืองหลวงแล้ว ด้านหลังของนางมีรถม้าเคลื่อตามมาหนึ่งคัน อาจเป็นองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮาได้ยินรายงานจึงกำมือแน่น ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย ทว่า แฝงไปด้วยความกังวล นางหันไปกล่าวกับนางกำนัลของตัวเอง
“เจ้าขึ้นไปดูบนกำแพงทีว่าเจียงโข่วองครักษ์ขององค์ชายเจ็ดเดินทางมาด้วยหรือไม่”
“เพคะ!”
นางกำนัลของฮองเฮารีบวิ่งขึ้นไปดูบนกำแพงทันที ทว่า ไม่รู้เป็นเพราะแสงแดดจ้าเกินไปหรือไม่นางจึงมองเห็นภาพเบื้องหน้าไม่ชัดเจนสักเท่าใดนัก นางได้แต่กลับไปรายงานฮองเฮาว่าแสงแดดจ้าเกินไปจนนางมองเห็นไม่ชัด
ฮองเฮาได้ยินรายงานจึงมองไปทางนางกำนัลที่มีท่านทีอึกอักแวบหนึ่ง จากนั้นกำมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อแน่นขึ้นกว่าเดิม นางกำผ้าเช็ดหน้าซึ่งอยู่ในมือข้างหนึ่งแน่นอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ปกติ ทว่า ยังคงเม้มปากแน่น
ไม่นานขบวนกองทัพไป๋ซึ่งมีธงสัญลักษณ์เฮยฟานไป๋หมั่งที่ยิ่งใหญ่จึงปรากฏแก่สายตาของฮองเฮาและเหล่าขุนนางของตงอี๋ท่ามกลางแสงแดดอ่อนในฤดูใบไม้ผลิ
ทหารหลายหมื่นของกองทัพไป๋เคลื่อนขบวนมาอย่างพร้อมเพรียงและเกรียงไกรจนผู้คนไม่กล้าสบตากับพวกเขา
เหล่าขุนนางหันไปวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา กองทัพไป๋เป็นกองทัพยอดฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาดีเช่นนี้นี่เอง…แคว้นตงอี๋จึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้ จักรพรรดินีต้าโจวจึงกล้าประกาศกร้าวว่าจะยึดครองตงอี๋ให้ได้ภายในสามวัน
ก่อนหน้านี้ขุนนางของตงอี๋ยังคิดว่าต้าโจวเหิมเกริมเกินไป ทว่า ต้าโจวมีสิทธิเหิมเกริมและมีความสามารถมากพอที่จะเหิมเกริมได้จริงๆ
ทหารเรือที่ตงอี๋ภาคภูมิใจไม่เพียงถูกต้าโจวโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ทหารบกของตงอี๋ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับกองทัพบกของต้าโจวอีกด้วย พวกเขาจะชนะได้อย่างไรกัน
องค์ชายสองผู้กบฏของตงอี๋ผู้นั้นเหิมเกริมเกินไปจนแคว้นตงอี๋ของพวกเขาเดือดร้อนเช่นนี้
ต้าโจวคือแคว้นที่ทำลายต้าเหลียงจนดับสูญได้ แคว้นเล็กอย่างตงอี๋เป็นเพียงแคว้นบรรณาการของแคว้นต้าเหลียงเท่านั้น!
ไม่นานฮองเฮาและขุนนางของตงอี๋จึงเห็นจักรพรรดินีไป๋ชิงเหยียนของต้าโจวซึ่งสวมชุดเกราะสีเงินขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน