สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 12 ตอนที่ 336 ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ผู้บุกรุกต้องตาย
เยี่ยโยวเหยาไม่เพียงสกัดจุดของซูจิ่นซีเท่านั้น ยังสกัดจุดเสียงของนางอีกด้วย
ซูจิ่นซีไม่สามารถพูดและขยับตัวได้ ทำได้เพียงมองเยี่ยโยวเหยาเดินลงจากรถม้า
ทว่าเยี่ยโยวเหยาเพิ่งจะเดินลงไป ด้านนอกก็มีเสียงองครักษ์เงาดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋อง! ”
ผ่านไปไม่นาน ผ้าม่านรถม้าก็ถูกองครักษ์เงาเปิดออก ซูจิ่นซีเห็นเยี่ยโยวเหยาจับที่หน้าอกตนเอง ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาถูกองครักษ์เงาประคองเข้ามา
แม้ซูจิ่นซีไม่สามารถขยับตัวได้ ทว่าสีหน้าของนางยังมีการเปลี่ยนแปลง
นางหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง พลางมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความขุ่นเคือง
“คลายจุดให้นาง” เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่งกับองครักษ์เงา
องครักษ์เงาคลายจุดให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีนวดกล้ามเนื้อที่ยึดเกร็งไปทั่วร่าง ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าพลางขมวดคิ้วมุ่น “ท่านอ๋องคิดจะไปสกุลจงเพียงลำพังหรือเพคะ? เพราะเหตุใด? ”
ซูจิ่นซีรู้แต่แรกแล้วว่าเยี่ยโยวเหยาต้องใช้วิธีนี้ นางจึงวางยาพิษไว้บนตัวของนางเอง เมื่อเยี่ยโยวเหยาสกัดจุด เขาย่อมแตะตัวของนางและถูกพิษเข้า
เยี่ยโยวเหยามีท่าทางโกรธเล็กน้อย ลมหายใจเย็นเฉียบไปทั่วร่าง มิหนำซ้ำยังหนาวเย็นยิ่งกว่าลมหนาวยามค่ำคืนหลายสิบเท่า
นอกจากศัตรูแล้ว คนข้างกายเขาไม่เคยมีผู้ใดกล้าลงมือกับเขา ซูจิ่นซีเป็นคนแรก
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงอารมณ์อันเย็นชาและโกรธเคืองของเยี่ยโยวเหยา
“หากท่านอ๋องไม่พาหม่อมฉันไปด้วย ก็อย่าคิดไปเสียให้ยาก อีกทั้งพิษนี้… หม่อมฉันก็จะไม่ถอนให้ท่าน”
เยี่ยโยวเหยาหลับตาทั้งคู่อย่างไม่เต็มใจ
เขายังจะพูดอันใดได้อีก?
เกี่ยวกับสกุลจง เขามีเรื่องปิดบังซูจิ่นซีไม่น้อย นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีไปที่แดนต้องห้ามของสกุลจง
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีเป็นคนฉลาดและมีความคิดเป็นของตนเอง มีวิธีการของตนเอง ยิ่งเขาห้าม นางยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะส่งผลในทางตรงกันข้าม เรื่องคงวุ่นวายมากขึ้น
“ตกลง ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้า เกรงว่าหากพาเจ้าไปแล้วอาจเกิดอันตราย ถอนพิษให้ข้าเถิด! แล้วข้าจะพาเจ้าไป! ”
เป็นห่วงนาง?
ซูจิ่นซีแอบดีใจเล็กน้อย รีบนำยาให้เยี่ยโยวเหยาทาน
สำหรับข้อยกเว้นครั้งแล้วครั้งเล่าของเยี่ยโยวเหยาที่มีต่อซูจิ่นซี กระทั่งองครักษ์เงาข้างกายของเยี่ยโยวเหยาที่ได้เห็นมาแล้วหลายครั้ง เดิมทีพวกเขาควรจะชิน ทว่าทุกครั้งที่เห็นยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่เสมอ
หลังจากที่พวกเขามีท่าทีประหลาดใจ ก็พากันถอยกลับไปในที่ลับ
แม้องครักษ์เงาแต่ละคนจะเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจ ทว่าพวกเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในแดนต้องห้ามของสกุลจงเท่าใดนัก หากเป็นการซุ่มโจมตีของยอดฝีมือจำนวนมาก ยิ่งพวกเขาเข้าไปมากเท่าไร ความเคลื่อนไหวยิ่งมากเท่านั้น อาจถูกพบได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นเยี่ยโยวเหยาจึงพาซูจิ่นซีเข้าไปในแดนต้องห้ามของสกุลจงเพียงลำพัง เหล่าองครักษ์เงาต่างรออยู่ด้านนอก
ยามจื่อ [1] แม้สกุลจงจะเป็นตระกูลที่ยากคาดเดาแห่งเมืองอวี๋โจว ทว่าเหล่าองครักษ์ต่างไม่อาจหละหลวมได้
เดือนสว่างดาวคล้อย นกฮูกส่งเสียงร้อง เงาของทั้งสองคนเหาะเหินเข้าไปในแดนต้องห้ามสกุลจงราวกับว่าวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
สกุลจงในเมืองอวี๋โจวมีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี กล่าวกันว่า แดนต้องห้ามและสกุลจงแห่งเมืองอวี๋โจวมีอายุเท่ากัน เริ่มตั้งแต่ผู้นำคนแรกได้ก่อตั้งสกุลจงขึ้นมา สกุลจงในเวลานั้นยังไม่ได้แบ่งเป็นสำนักแพทย์และสำนักปรุงยา
หลายร้อยปีมานี้ ทุกคนต่างใคร่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของแดนต้องห้ามสกุลจง
บ้างพูดกันว่า แดนต้องห้ามของสกุลจงเป็นที่ฝึกฝนตนของเทพเซียน วิชาแพทย์และวิชาปรุงยาของสกุลจงล้วนถ่ายทอดจากเทพเซียนภายในแดนต้องห้าม ทว่าเหล่าเทพเซียนไม่ประสงค์ให้คนนอกเข้าไปรบกวน ดังนั้นจึงมีเพียงผู้สืบทอดของสำนักแพทย์และสำนักปรุงยาเท่านั้นที่สามารถเข้าไปภายในแดนต้องห้ามได้
ก่อนการสืบทอดกิจการของตระกูล เทพเซียนจะเป็นผู้สั่งสอนวิชาแพทย์และวิชาปรุงยา หลังจากนั้นทุกห้าปีถึงจะสามารถเข้าไปในแดนต้องห้ามได้อีกครั้ง ในระหว่างนั้นหากมีคนหลงเข้าไปในแดนต้องห้าม แม้จะเป็นผู้สืบทอดของทั้งสองสำนักก็ตาม เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่มีวันได้กลับออกมาและต้องจบชีวิตอยู่ข้างใน
ยังพูดกันอีกว่า ด้านในดินแดนต้องห้ามมีสมบัติล้ำค่ามากมายซ่อนอยู่ เป็นขุมทรัพย์ของสำนักแพทย์และสำนักปรุงยาที่สะสมมานับร้อยปีซึ่งเหลือไว้ให้ลูกหลานของสกุลจง ส่งต่อให้เพียงผู้สืบทอดจากทั้งสองสำนักเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกเกิดความโลภและบุกเข้าไปขโมยขุมทรัพย์นี้ บรรพชนสกุลจงจึงได้เชิญเทพเซียนจากหนานไห่และรับวิชาอาคมชนิดหนึ่งมา เพื่อผนึกเขตอาคมให้แก่แดนต้องห้ามทั้งหมด ดังนั้นตั้งแต่โบราณ ผู้ที่บุกรุกเข้าไปในแดนต้องห้ามของสกุลจง จึงไม่มีผู้ใดรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว
มีบางคนที่ร่ำลือ ทั้งยังเป็นคำกล่าวที่ธรรมดาที่สุดคือ แดนต้องห้ามเป็นสถานที่เฉพาะในการใช้เพาะปลูกสมุนไพรและศึกษาวิชาแพทย์ของสกุลจงทั้งสองสำนัก ด้านในแดนต้องห้ามมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของสกุลจงคอยอารักขาอยู่ มีเพียงผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันกับภรรยาเอกของผู้นำสกุลจงเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ มิฉะนั้นแล้ว ผู้ที่เข้าไปจะถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จับกินเป็นอาหาร
ไม่ว่าจะเล่าลือกันอย่างไร ล้วนกล่าวถึงความลึกลับมหัศจรรย์ของแดนต้องห้ามสกุลจง แต่เป็นความจริงที่ว่า สถานที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับภรรยาเอกของผู้นำสกุลจงเข้าไป และไม่อนุญาตให้คนนอกบุกรุกเข้าไป
หลังจากครุ่นคิด ซูจิ่นซีรู้สึกว่าคำกล่าวสุดท้ายน่าเชื่อถือมากที่สุด ทั้งยังมีโอกาสเป็นจริงได้
เนื่องจากจอมวายร้ายไป๋เฉ่าระบุว่า เขาต้องการเมล็ดพันธุ์สมุนไพรที่อยู่ในแดนต้องห้ามของสกุลจง แสดงว่าที่แห่งนี้ต้องเป็นแหล่งปลูกยาสมุนไพรจำนวนมาก นอกจากนี้จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังพูดไว้ก่อนแล้วว่าที่นี่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อารักขาอยู่ เขาเข้าไปไม่ได้
เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเหาะลงมาที่ประตูทางเข้าแดนต้องห้ามสกุลจง แสงจันทร์สว่างไสวสาดส่องลงมายังพื้นที่ทางเข้าแดนต้องห้ามอย่างชัดเจน ตัวอักษรขนาดใหญ่หลายคำถูกแกะสลักไว้อย่างแข็งแกร่งทรงพลังว่า ‘ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ผู้บุกรุกต้องตาย’
ซูจิ่นซีก้าวเท้าไปข้างหน้า เยี่ยโยวเหยาคว้ามือซูจิ่นซีไว้ ก่อนจะเดินไปพร้อมกับนาง
ซูจิ่นซีเงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าด้านข้างของเขาเย็นชาเคร่งขรึมราวกับคมมีด ซึ่งทวยเทพได้บรรจงแกะสลักอย่างพิถีพิถัน
“อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น อย่าห่างจากตัวข้า” เยี่ยโยวเหยาหันไปพูดกับซูจิ่นซี
“อืม! ” ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี เดินเข้าสู่แดนต้องห้ามทีละก้าว
หญ้าบริเวณทางเข้าขึ้นสูงเล็กน้อย ลมหนาวในยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บ สายลมพัดผ่านใบหญ้าดัง ‘ซู่ ซู่ ซู่’ หนาวเย็นเสียดแทงถึงกระดูก
“กา… ”
จู่ๆ อีกาตัวหนึ่งก็บินขึ้นมาจากพงหญ้า มันบินอยู่เหนือศีรษะของซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา
เพราะอีกาบินเข้ามาใกล้พวกเขามาก ซูจิ่นซีจึงเห็นอย่างชัดเจนว่า ดวงตาของกาตัวนั้นแดงก่ำราวอัญมณีสีเลือด
กล่าวกันว่า สถานที่ที่มีอีกาดวงตาสีแดง มักเป็นสถานที่สกปรก
“กา… ”
อีกาอีกตัวหนึ่งบินขึ้นจากพงหญ้า กาตัวนี้ไม่เหมือนตัวก่อนหน้าที่บินขึ้นไปทางอื่น ทว่ากลับบินตรงมาที่ซูจิ่นซี
มันต้องการจิกดวงตาของซูจิ่นซี
ทว่าอีกายังไม่ทันเข้าใกล้ซูจิ่นซี ก็ถูกพลังฝ่ามือของเยี่ยโยวเหยากระแทกจนสลายกลายเป็นชิ้นๆ และร่วงลงไปในพงหญ้า
ซูจิ่นซีผงะไปด้านหลัง เหมือนนางจะเหยียบสิ่งใดเข้าทำให้ข้อเท้าพลิก หากเยี่ยโยวเหยาไม่จับมือนางไว้ นางคงล้มลงบนพื้นเป็นแน่
เมื่อซูจิ่นซียืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางพลันรู้สึกตกตะลึง หากไม่ใช่เพราะนางกล้าหาญ นางคงตกใจจนร้องเสียงดังไปแล้ว
สิ่งที่นางเหยียบเมื่อครู่เป็นชิ้นส่วนหัวกะโหลก เมื่อมองรอบๆ อย่างละเอียด ก็พบว่าก้อนหินด้านข้างพงหญ้าล้วนเต็มไปด้วยโครงกระดูก
ทันใดนั้น อักษรขนาดใหญ่ที่สลักว่า ‘ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ผู้บุกรุกต้องตาย’ ที่อยู่ด้านหลัง ก็ยิ่งดูน่าสยดสยองมากขึ้นไปอีก
เยี่ยโยวเหยาคิดว่าซูจิ่นซีหวาดกลัว จึงใช้มืออีกข้างโอบไหล่ของนาง “วางใจ ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ! ”
ซูจิ่นซีเงยหน้าแย้มยิ้มอ่อนโยนให้เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี พาเดินเข้าไปด้านใน
……
เชิงอรรถ
[1] ยามจื่อ เป็นการนับเวลาของจีน คือเวลา 23.00 – 01.00 น.
ครั้งนี้ขอเสนอเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ เรื่องการนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ ที่มีจักรราศีเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีการเรียกและแบ่งเวลาดังนี้
1. ยามจื่อ (子时) คือเวลา 23.00 น. – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาที่หนูจะวิ่งกันขวักไขว่ จึงเรียกเวลานี้ว่ายามชวด/หนู
2. ยามโฉ่ว (丑时) คือเวลา 01.00 น. – 03.00 น. เป็นช่วงเวลาที่วัวกินหญ้าเพื่อเตรียมออกไปไถนา จึงเรียกเวลานี้ว่ายามฉลู/วัว
3. ยามอิ๋น (寅时) คือเวลา 03.00 น. – 05.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เสือดุร้ายที่สุด จึงเรียกเวลานี้ว่ายามขาล/เสือ
4. ยามเหม่า (卯时) คือเวลา 05.00 น. – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์ยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้า มีตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์ จึงเรียกเวลานี้ว่ายามเถาะ/กระต่าย
5. ยามเฉิน (辰时) คือเวลา 07.00 น. – 09.00 น. คนโบราณเชื่อว่าเป็นเวลาที่มังกรพ่นฝน จึงเรียกเวลานี้ว่ายามมะโรง/มังกร
6. ยามซื่อ (巳时) ช่วงเวลา 09.00 น. – 11.00 น. กล่าวกันว่า เป็นช่วงเวลาที่งูลอกคราบและออกจากรูมาล่าหาอาหาร จึงเรียกเวลานี้ว่ายามมะเส็ง/งู
7. ยามอู่ (午时) คือเวลา 11.00 น. – 13.00 น. เป็นช่วงที่แสงสว่างเริ่มลดลง แต่ม้ายังคงวิ่งเป็นพันลี้ ม้าเป็นตัวแทนของความครึ้ม จึงเรียกเวลานี้ว่ายามมะเมีย/ม้า
8. ยามเว่ย (未时) คือเวลา 13.00 น. – 15.00 น. กล่าวกันว่าเป็นช่วงเวลาที่แพะกำลังออกกินหญ้าและต้นหญ้าจะงอกใหม่ จึงเรียกเวลานี้ว่ายามมะแม/แพะ
9. ยามเซิน (申时) คือเวลา 15.00 น. – 17.00 น. เป็นเวลาที่ฟ้าใกล้มืดแล้ว ลิงมักส่งเสียงร้อง จึงเรียกเวลานี้ว่ายามวอก/ลิง
10. ยามโหย่ว (酉时) คือเวลา 17.00 น. – 19.00 น. เป็นเวลาขึ้นของดวงจันทร์ มีตำนานเรื่อง ‘ไก่ทองอาทิตย์’ จึงเรียกเวลานี้ว่ายามระกา/ไก่
11. ยามซวี (戌时) คือเวลา 19.00 น. – 21.00 น. เป็นเวลาเริ่มต้นกลางคืน สุนัขเป็นสัตว์เฝ้ายาม จึงเรียกเวลานี้ว่ายามจอ/หมา
12. ยามไฮ่ (亥时) คือเวลา 21.00 น. – 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ฟ้าดินอลหม่าน แต่หมูกลับชอบนอนที่สุด จึงเรียกเวลานี้ว่ายามกุน/หมู