สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 12 ตอนที่ 342 คำสาบานที่เคยให้ไว้
เยี่ยโยวเหยาได้รับบาดเจ็บ เมื่อลุกขึ้นจึงยืนไม่มั่นคงนัก ทว่าเขายังสงบนิ่งดั่งภูเขาไท่ซาน มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งจับมือซูจิ่นซีไว้แน่น
แม้ใบหน้าของซูจิ่นซีจะไม่ปรากฏความหวาดกลัว ทว่าฝ่ามือของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ
ในเวลาปกติ หากซูจิ่นซีมีวิธีรับมือสมุนไพรกินคนเหล่านี้ นางคงลงมือไปนานแล้ว ทว่าเวลานี้นางกลับยืนคุมเชิงโดยไม่ทำอันใด เยี่ยโยวเหยาจึงเข้าใจในทันทีว่าซูจิ่นซีไม่มีวิธีรับมือเช่นกัน
“กลัวหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาชำเลืองมองซูจิ่นซี
“ไม่กลัวเพคะ! ” ซูจิ่นซีตอบอย่างมั่นใจ
ดวงตาเยี่ยโยวเหยาเปล่งประกายชื่นชม “วางใจได้ ข้าอยู่กับเจ้า” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางกุมกระบี่ฟันไปทางสมุนไพรกินคนต้นหนึ่งที่กำลังโจมตีมาทางพวกเขา
แม้หัวของสมุนไพรกินคนจะถูกเยี่ยโยวเหยาฟันขาดในดาบเดียว ทว่าหลังจากที่หัวของมันตกลงบนพื้น ส่วนก้านของสมุนไพรก็งอกออกมาเป็นสองหัวอย่างรวดเร็ว การโจมตีจึงดุร้ายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
เจ้าพวกนี้เป็นตัวอะไรกันแน่??
ต้นไม้ที่สามารถกินคนได้ ซูจิ่นซีไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นมาก่อน
เยี่ยโยวเหยากุมกระบี่ฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่ส่งผลอันใดต่อสมุนไพรกินคนเหล่านี้เลย
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็โคจรพลังไปยังกระบี่ที่อยู่ในมือจนกระบี่เปล่งประกายลำแสงสีเขียวออกมา จากนั้นจึงใช้พลังลมปราณชิงหลงรับมือกับเหล่าสมุนไพรกินคน
เดิมทีตอนอยู่ที่หุบผาราชันพิษ พลังลมปราณชิงหลงได้ทำลายกลไกห้องลับที่ปิดผนึก แสดงให้เห็นถึงพลังอันรุนแรง
ขณะที่เยี่ยโยวเหยาเดินพลังลมปราณชิงหลง สมุนไพรกินคนทั้งหมดที่อยู่โดยรอบต่างถูกฟาดฟันจนหัวขาดออกจากกัน ลมหนาวพัดผ่านเกิดเป็นพายุหมุน ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า รอบด้านพลันโกลาหล
ทว่าในชั่วพริบตา เหล่าสมุนไพรกินคนที่ถูกตัดหัว กลับเริ่มงอกหัวขึ้นมาใหม่อย่างบ้าคลั่ง สองหัว สามหัว สี่หัว บางตัวมีถึงห้าหัว
เวลานี้ บริเวณโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยสมุนไพรกินคนที่อ้าปากร้องเสียงต่ำดัง ‘หวืด หวืด ’ อย่างกระหายเลือด พวกมันค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา
สมุนไพรกินคนที่อยู่ด้านหน้ามีจำนวนมาก จนทำให้แดนต้องห้ามของสกุลจงแทบกลายเป็นแดนสมุนไพรกินคน เส้นทางลงจากภูเขาของพวกเขาต่างถูกสมุนไพรกินคนปิดกั้นไว้ทุกทาง ไม่อาจล่าถอยได้อีกแล้ว
ทว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี ไม่ปรากฏความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ให้หม่อมฉันลองดูเถิดเพคะ”
ดวงตาของซูจิ่นซีฉายแววเย็นชา เป็นเพราะนางต้องระมัดระวังอย่างมาก เป็นเพราะใบหน้าที่จริงจังและท่าทางที่ไม่ยอมแพ้ ทำให้ซูจิ่นซีดูกล้าหาญสง่างามอย่างยิ่ง นางยืนอยู่เบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยา ในมือทั้งสองถือเข็มเงิน
เยี่ยโยวเหยาไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจับเอวของซูจิ่นซีพาเหาะขึ้นไป เมื่อเหาะสูงถึงระดับที่คิดไว้แล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ใช้มือข้างหนึ่งแตะที่แผ่นหลังของซูจิ่นซีเพื่อถ่ายเทพลังภายในให้ ซูจิ่นซียืมกำลังภายในของเยี่ยโยวเหยาและซัดเข็มเงินที่อยู่ในมือออกไป
เข็มเงินซัดออกไปดั่งห่าฝน เมื่อสมุนไพรกินคนถูกเข็มเงินของซูจิ่นซี ก็กลายเป็นผงแป้ง สลายไปในพริบตา
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีลอยอยู่ในอากาศ ทั้งสองสบตากัน ต่างเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏในดวงตาของกันและกัน
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาที่เตรียมพร้อมโจมตีอีกครั้ง เพราะคิดว่าเข็มเงินของซูจิ่นซีจัดการสมุนไพรกินคนได้ ทันใดนั้น สมุนไพรกินคนที่ถูกเข็มเงินของซูจิ่นซีทำให้สลายกลายเป็นผงแป้ง พลันถูกลมพัดแรงทำให้ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
แม้หัวของมันจะไม่ใหญ่เท่าก่อนหน้านี้ ทว่ามีจำนวนมากขึ้น นอกจากนั้น เดิมทีพวกมันมีสีเขียว ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเลือดแดงฉาน
“นึกไม่ถึงว่าสิ่งนี้ยังสามารถกลายพันธุ์ได้อีกด้วย? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเคร่งเครียด
“กระไรนะ? ” เยี่ยโยวเหยาฟังไม่เข้าใจ
“ไม่มีอันใดเพคะ เข็มเงินของหม่อมฉันไม่สามารถจัดการพวกมันได้เช่นกัน คงต้องคิดวิธีอื่นเพื่อออกไปจากที่นี้ ไม่เช่นนั้น หากพวกเราไม่ถูกพวกมันกิน ก็อาจหมดแรงจนตายได้” เยี่ยโยวเหยาก็คิดเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงโอบกอดซูจิ่นซีและเหาะขึ้นไปกลางอากาศ โดยไม่ทำให้เท้าแตะพื้น ทั้งยังยืมแรงจากหัวของเหล่าสมุนไพรกินคนที่สูงกว่าต้นอื่นเพื่อขับเคลื่อนวิชาตัวเบา มุ่งหน้าไปยังทางลงจากภูเขา
เดิมทีอาศัยเพียงวิชาตัวเบาของเยี่ยโยวเหยา การพาซูจิ่นซีออกไปจากที่แห่งนี้นั้นไม่ใช่ปัญหา ทว่าร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บภายใน ทั้งยังไม่ใช่อาการบาดเจ็บธรรมดา แต่เป็นอาการบาดเจ็บจากเปลวไฟเหมันต์ของสัตว์เทพกิเลนและผลสะท้อนกลับของหมุดกร่อนรัก
ไม่ว่าอาการบาดเจ็บทั้งสองจะเป็นอย่างไร หากเป็นคนธรรมดา คงต้องจบชีวิตลงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ง่ายเลยที่เยี่ยโยวเหยาสามารถยืนหยัดได้จนถึงเวลานี้
ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบยามใช้วิชาตัวเบาได้ ทั้งมันยังส่งผลต่อความเร็วอีกด้วย กอปรกับสมุนไพรกินคนหลายตัวที่อยู่บนพื้นต่างยืดคอยาวขึ้นมาสูงกว่าระดับความสูงของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ขัดขวางเส้นทางไปของพวกเขา
เยี่ยโยวเหยาไม่มีกำลังหยุดยั้ง ทำได้เพียงพาซูจิ่นซีถอยกลับไปด้านหลัง พวกเขาถูกบีบให้ถอยกลับไปทางปากถ้ำที่สัตว์เทพกิเลนอาศัยอยู่
ด้านหน้าเป็นสมุนไพรกินคน ด้านหลังเป็นสัตว์เทพกิเลน ไม่ว่าทางใดล้วนอันตรายทั้งสิ้น พวกเขาทั้งสองไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
เรียกได้ว่าเป็นช่วงระหว่างความเป็นความตาย
แววตาเคร่งขรึมเย็นชาของเยี่ยโยวเหยามองอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าโดยไร้ซึ่งความอบอุ่น ทว่าใบหน้าของซูจิ่นซีกลับปรากฏรอยยิ้ม
นางเอื้อมมือไปจับแขนของเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา จนป่านนี้แล้ว ท่านยังไม่ยอมพูดอีกหรือ? ท่านชอบหม่อมฉันหรือไม่? ”
บางครั้งสตรีก็เป็นเช่นนี้ ช่างแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าแทบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว กลับยังดื้อรั้นหลงใหลและยึดติดกับเรื่องของหัวใจ ยึดติดกับความรักและความชอบ ยึดติดกับพื้นที่ของตนเองในใจคนรัก
เยี่ยโยวเหยาหันไปมองซูจิ่นซี
แววตาของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความจริงจังและดื้อรั้น นางจ้องตาของเยี่ยโยวเหยาโดยไม่กะพริบ กลัวว่าหากตนเองกะพริบตา อาจทำให้พลาดสิ่งสำคัญที่สุดที่เยี่ยโยวเหยาแสดงออกมาผ่านแววตา
เวลานี้ บรรยากาศโดยรอบพลันสงบนิ่ง ทุกอย่างเงียบสงัด เงียบราวกับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต จนแทบได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน
ความเงียบและความลึกลับยากหยั่งถึงของเยี่ยโยวเหยา ทั้งความมุ่งมั่นและความพยายามของซูจิ่นซี กลายเป็นสิ่งสวยงามที่สุดในยามค่ำคืนนี้
เวลาทุกนาทีทุกวินาทีผ่านไป พวกเขายังคงสบตากันเช่นนั้น ท้ายที่สุด เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ซูจิ่นซีต้องการ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูจิ่นซีจะมุ่งมั่นและดื้อรั้นเพียงใด นางก็ไม่สามารถทนต่อเวลาที่บีบคั้นได้
ในที่สุด ความเงียบสงบของเยี่ยโยวเหยาก็ทำให้สายตาคาดหวังของซูจิ่นซีค่อยๆ จางหายไป มือที่จับแขนของเยี่ยโยวเหยาไว้ค่อยๆ คลายลง สุดท้ายก็ปล่อยมือ
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเคร่งเครียด ภายในใจพลันรู้สึกเจ็บปวด “จิ่นซี! ” เยี่ยโยวเหยากำลังจะจับมือของซูจิ่นซี ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“พี่เขย ช่วยหม่อมฉันด้วย! พี่เขย… ช่วยหม่อมฉัน ช่วยด้วย… พี่เขย! ”
เป็นเสียงของหนานกงหว่านเอ๋อร์
เมื่อเยี่ยโยวเหยาหันกลับไปก็พบว่าสมุนไพรกินคนทางด้านหลัง อยู่ห่างจากพวกเขาเพียงห้าจั้งเท่านั้น พวกมันยังคงอ้าปากกระหายเลือด แสดงท่าทางต้องการกินคนอย่างน่าหวาดกลัว แต่พวกมันกลับไม่กล้าเข้ามาใกล้
หรือสมุนไพรกินคนเหล่านี้จะหวาดกลัวสัตว์เทพกิเลน?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เยี่ยโยวเหยาจึงแน่ใจว่าตำแหน่งที่ซูจิ่นซียืนอยู่คือตำแหน่งที่ปลอดภัย สมุนไพรกินคนไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ สัตว์เทพกิเลนก็ไม่มีทางออกมาเช่นกัน
“อ๋า… พี่เขย ช่วยด้วย พี่เขย… เจ็บเหลือเกิน! พี่เขย ช่วยข้าด้วย พี่เขย… ”
เดิมทีซูจิ่นซีต้องการจับมือเยี่ยโยวเหยาเพื่อขวางไม่ให้เขาออกไปเสี่ยงภัยอีก ทว่ายังไม่ทันโดนตัวเยี่ยโยวเหยา เขาก็พูดกับนางโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย “อยู่ที่นี่ รอข้ากลับมา”
เมื่อสิ้นเสียงพูด เยี่ยโยวเหยาก็หันหลังเหาะไปทางเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหนานกงหว่านเอ๋อร์
ดวงตาสดใสของซูจิ่นซีพลันมืดมน ปรากฏความรู้สึกประหลาดใจและผิดหวัง จนยากปิดบังหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไว้ได้
ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด บุรุษที่ปกป้องนางอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด บุรุษที่จับมือนาง ปกป้องนางไว้ข้างกาย บุรุษที่เตือนซ้ำๆ ว่าให้นางอยู่ใกล้ นึกไม่ถึงว่าจะจากนางไปเพื่อช่วยเหลือสตรีอื่นโดยไม่สนใจอันตรายที่มีต่อนาง
ภายในใจซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวด นางมองเยี่ยโยวเหยาที่จากไปอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเซถอยหลังไปสองก้าว พลางยื่นมือออกไปจับเยี่ยโยวเหยา ทว่าคว้าได้เพียงความว่างเปล่า