สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 12 ตอนที่ 347 ซูจิ่นซีถูกเหยียดหยาม
สัตว์เทพกิเลนหายไปแล้วหรือ???
เพราะถูกซูจิ่นซีเก็บไว้ในอาคมกำไลปี่อั้น
ค่ำคืนที่มืดสนิท ขณะที่พวกซูจิ่นซีนำตัวเยี่ยโยวเหยาที่ได้รับบาดเจ็บมาถึงตำหนักในเมืองอวี๋โจว ก็เป็นเวลาเช้าที่ท้องฟ้าสว่างแล้ว
แม้ซูจิ่นซีจะดูอาการเยี่ยโยวเหยาไปบ้างแล้ว ทว่าวิชาแพทย์ของนางยังมีข้อจำกัด เกรงว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยาได้ไม่ทันการณ์ จึงให้องครักษ์เงาใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวไปยังเมืองตี้จิง เพื่อเชิญหมอเทวดาหวามาอย่างลับๆ
อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยายังอยู่ในระยะอันตราย
โชคดีที่ในตัวซูจิ่นซีมีสิ่งที่ใช้รักษาอาการของเยี่ยโยวเหยาได้ชั่วคราว ทำให้รอจนกว่าหมอเทวดาหวาจะมาถึงได้
ยาตัวนี้คือดีงู ซึ่งได้มาจากการต่อสู้กับงูเหลือมยักษ์ที่ตำหนักใต้ดินของหุบผาราชันพิษในแคว้นไหวเจียงก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีทำการตากแห้งโดยใช้วิธีลับเฉพาะ เมื่อเสร็จแล้วก็นำมาทำเป็นยาเม็ดพกติดตัวตลอดเวลา นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์จริงๆ
จากนั้นซูจิ่นซีจึงรินสุราให้เยี่ยโยวเหยาทานพร้อมดีงู
ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม เมื่อซูจิ่นซีตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง ก็พบว่าชีพจรของเยี่ยโยวเหยาแข็งแรงขึ้นและมีจังหวะการเต้นที่เสถียรกว่าก่อนหน้านี้มาก
ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงไม่ได้สติ
ซูจิ่นซีคอยดูแลอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยาตลอดเวลา ปรนนิบัติทั้งวันทั้งคืน หลังจากแน่ใจว่าเยี่ยโยวเหยาพ้นขีดอันตรายแล้ว นางจึงเดินมานั่งไขว่ขาอยู่บนที่นอน และเริ่มเปิดใช้งานอาคมกำไลปี่อั้น ทดลองใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติของอาคมกำไลปี่อั้น
ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ที่แดนต้องห้ามของสกุลจง ด้านในถ้ำที่มีสัตว์เทพกิเลนอาศัยอยู่ ซูจิ่นซีรู้สึกถึงความผิดปกติของอาคมกำไลปี่อั้น แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าผิดปกติตรงจุดใด
จากนั้นนางก็ถูกสัตว์เทพกิเลนคาบไป เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์เทพกิเลนเพียงลำพัง ทันใดนั้น อาคมกำไลปี่อั้นก็เปล่งแสงออกมา เวลานั้นนางรู้สึกพร่ามัวไปชั่วขณะ ราวกับเข้าไปในมิติของอาคมกำไลปี่อั้น หลังจากได้สติขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าร่างกายของนางมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก สัตว์เทพกิเลนคลานมาอยู่ใกล้ๆ เลือดเหล่านั้น พลางมองด้วยสายตายอมจำนน ทั้งยังมองไปที่อาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือด้านขวาของนางด้วยแววตาหวาดกลัวยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีพลันนึกถึงตอนที่อาคมกำไลปี่อั้นเพิ่มระดับครั้งแรก ครั้งนั้นมีกิเลนออกมาตัวหนึ่ง นางจึงเกิดความคิดอันกล้าหาญ โดยการทดลองใช้พลังจิตควบคุมอาคมกำไลปี่อั้นเพื่อรับมือกับสัตว์เทพกิเลน แต่คิดไม่ถึงว่าสัตว์เทพกิเลนจะเข้าไปอยู่ในอาคมกำไลปี่อั้นด้วย
เวลานี้ ซูจิ่นซีค่อยๆ ควบคุมอาคมกำไลปี่อั้น นางใช้พลังจิตเข้าสู่มิติของอาคมกำไลปี่อั้นได้สำเร็จ
ต้นไผ่สีเขียวที่คุ้นเคยปรากฏอยู่เบื้องหน้า ปกคลุมด้วยหมอกควันราวกับภาพในจินตนาการ สิ่งที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้คือ มีดอกปี่อั้นสีโลหิตสองดอกลอยอยู่เหนือสระมรกต และเดิมทีทางแท่นบูชาที่มีกิเลนหนึ่งตัว ทว่าตอนนี้กลายเป็นสามตัว
กิเลนตัวที่หนึ่งคือตัวก่อนหน้านี้ อีกตัวหนึ่งคือตัวที่บินออกจากหยกกิเลนหยางที่แตกกระจายตอนอยู่ในแดนต้องห้ามของสกุลจงและหายเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น อีกตัวหนึ่งคือสัตว์เทพกิเลน
เมื่อซูจิ่นซีใช้พลังจิตมองพวกมัน สัตว์เทพกิเลนทั้งสามต่างหมอบคลานกับพื้นด้วยท่าทางยอมจำนน
ซูจิ่นซีเริ่มวางแผนใช้พลังจิตควบคุมดอกปี่อั้นสีโลหิตสองดอก ดอกปี่อั้นสีโลหิตหมุนอยู่ในอากาศอย่างรวดเร็ว ส่องแสงสีแดงสว่างจ้า จากนั้นก็บินไปทางดอกปี่อั้นผลึกแก้วที่แท่นบูชา
พลังจิตของซูจิ่นซีตามดอกปี่อั้นทั้งสองไปถึงแท่นบูชา เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงๆ หลังจากดอกปี่อั้นสีโลหิตหลอมรวมกับดอกปี่อั้นผลึกแก้วแล้ว ด้านบนก็มีกลีบดอกเพิ่มขึ้นอีกสองกลีบ
ก่อนที่อาคมกำไลปี่อั้นจะเลื่อนระดับถึงขั้นที่สอง ดอกปี่อั้นผลึกแก้วขาดกลีบดอกอยู่ห้ากลีบ เวลานี้กลีบดอกถูกเพิ่มเข้าไปอีกสองกลีบ ยังขาดอีกสามกลีบ
จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีทราบว่าการเพิ่มระดับของอาคมกำไลปี่อั้นต้องอาศัยดอกปี่อั้นสีโลหิตในการเติมกลีบดอกที่ว่างอยู่ของดอกปี่อั้นผลึกแก้วบนแท่นบูชา
ตอนนี้มีเพิ่มมาสองกลีบ แสดงว่าอาคมกำไลปี่อั้นได้เลื่อนระดับถึงขั้นที่สองแล้ว
นึกไม่ถึงว่านางสามารถใช้พลังจิตควบคุมอาคมกำไลปี่อั้นให้เลื่อนขั้นได้!!!
ซูจิ่นซีรู้สึกดีใจอย่างมาก ขณะเดียวกันยังพบความผิดปกติของกิเลนทั้งสามตัวบนแท่นบูชา หยกกิเลนหยินและหยกกิเลนหยางที่เข้าสู่อาคมกำไลปี่อั้นได้กลายเป็นลำแสงสีฟ้าครามสองสาย ก่อนจะพุ่งเข้าสู่ร่างสัตว์เทพกิเลน พร้อมกับที่กลีบดอกปี่อั้นเข้าเติมเต็มดอกปี่อั้นผลึกแก้ว
“โฮก… ”
สัตว์เทพกิเลนคำรามเสียงดัง ดวงตาที่เคยเป็นสีดำขลับกลายเป็นสีฟ้าคราม
จากนั้น สัตว์เทพกิเลนก็หดเล็กลงจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ
หรือว่า… การฝึกฝนอาคมกำไลปี่อั้นยังสามารถส่งเสริมการฝึกฝนของสัตว์เทพกิเลนด้วย?
ทว่าเหตุใดมันถึงหดเล็กลง?
ซูจิ่นซีศึกษาอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดสัตว์เทพกิเลนจึงเป็นเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งสับสน นางจึงดูคำจารึกที่แผ่นศิลา
ตามกฎเกณฑ์ก่อนหน้าของการเพิ่มระดับอาคมกำไลปี่อั้น ทำให้ซูจิ่นซีสามารถอ่านอักษรจารึกบนแผ่นศิลาได้สองบรรทัดอย่างชัดเจน นางจดจำข้อความทั้งหมดไว้ในใจ ก่อนจะถอนพลังจิตออกจากมิติอาคมกำไลปี่อั้น
ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางรู้สึกผ่อนคลาย จิตใจปลอดโปร่งอย่างมาก
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เหมือนว่าช่วงเวลาที่นางถอดพลังจิตออกจากอาคมกำไลปี่อั้น นางเห็นสัตว์เทพกิเลนตัวเล็กตามนางออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้นด้วย
ซูจิ่นซีหันไปมองรอบๆ พลางรู้สึกคันที่ไหล่ ไม่รู้ว่าถูกสิ่งใดข่วน เมื่อนางหันไปมอง ก็เห็นสัตว์เทพกิเลนตัวเล็กหมอบอยู่บนไหล่ของนางจริงๆ
ซูจิ่นซีแบมือออกมา สัตว์เทพกิเลนผู้ยิ่งใหญ่พลันกระโดดจากไหล่ไปยังฝ่ามือของนาง มันแสดงท่าทางคำนับพลางส่งเสียงร้อง ‘โฮก โฮก’ สองคำ
สัตว์เทพกิเลนที่กลายเป็นตัวเล็กไม่ได้ดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งยังมีความน่ารักอีกด้วย ซูจิ่นซีอดหรี่ตามองสัตว์เทพกิเลนไม่ได้
ไม่เลวเลย!
ความจริงแล้ว นับว่านางข้ามมิติมาอย่างไม่เสียเปล่า!
นางได้รับประสบการณ์มากมาย ตอนนี้ยังมีสัตว์เทพตัวหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงอีกด้วย
ซูจิ่นซีเอานิ้วเขี่ยไปที่ศีรษะของสัตว์เทพกิเลน “เฮ้! เจ้าตามข้ามาทำไม? ออกมาจากแดนต้องห้ามของสกุลจงเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าคนของสกุลจงจะออกมาตามหาเจ้าหรือ? ”
เหมือนสัตว์เทพกิเลนจะเข้าใจคำพูดของซูจิ่นซี มันใช้เท้าเล็กๆ ถูไปที่ฝ่ามือของซูจิ่นซี พลางเงยหน้าร้องเสียงต่ำ
แม้ซูจิ่นซีจะฟังไม่เข้าใจว่ามันคำรามอันใด ทว่าท่าทางเช่นนั้นช่างดูน่ารัก ทำให้ซูจิ่นซีแย้มยิ้ม
“ดูท่าทางของเจ้า เจ้าคงไม่กลัวหากพวกเขาออกตามหา พวกเขาควรกลัวเจ้าถึงจะถูก เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็ติดตามข้าแล้วกัน! ”
สัตว์เทพกิเลนหันไปพยักหน้ากับซูจิ่นซีอย่างเชื่อฟัง
“เหตุใดถึงฉลาดนัก? เจ้าฟังคำพูดของข้าเข้าใจด้วยหรือ? ”
สัตว์เทพกิเลนพยักหน้าอีกครั้ง
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “ดี! เห็นแก่ที่เจ้าเชื่อฟัง ข้าจะให้ของกินเจ้าเป็นรางวัล! ”
ซูจิ่นซีพูดพลางหยิบผิงกั่วสีแดงผลใหญ่บนโต๊ะ ยื่นไปที่ปากของสัตว์เทพกิเลนผู้ยิ่งใหญ่
แต่นึกไม่ถึงว่า สัตว์เทพกิเลนผู้ยิ่งใหญ่จะจ้องผิงกั่วผลใหญ่ในมือของซูจิ่นซีอย่างรังเกียจ มันหันหลังสะบัดก้นให้ซูจิ่นซี
“เฮ้ย… เจ้ายังรู้จักเลือกของกินอีกหรือ??? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบกล้วยขึ้นมาหนึ่งลูก
สัตว์เทพกิเลนไม่หันมามองแม้แต่น้อย
“ให้รางวัลแล้วยังไม่กินอีก รู้หรือไม่ เด็กๆ ในครอบครัวยากจน กระทั่งข้าวยังไม่มีจะกินเลย มีสิ่งเหล่านี้ให้กินก็นับว่าหรูหรามากแล้ว?” ซูจิ่นซีจิ้มไปที่ก้นของสัตว์เทพกิเลน