สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 12 ตอนที่ 348 การกระทำของชายงี่เง่ากับหญิงเอาแต่ใจ
ซูจิ่นซีเคยผ่านความลำบากมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเพียงเกี๊ยวถ้วยเล็กที่ร้านชั้นล่างของบ้านท่านป้า สำหรับนางก็นับว่าหรูหรามากแล้ว หลายต่อหลายครั้งที่นางไม่ได้ทานข้าว ทำได้เพียงทนหิว ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีผลไม้ให้ทานเลย
ซูจิ่นซีตบก้นสัตว์เทพกิเลนเล่น ยิ่งทำให้มันต่อต้านมากขึ้น มันหันศีรษะกลับมาส่งเสียงคำรามใส่ซูจิ่นซี
“เฮ้ย! นึกไม่ถึงว่ายังอารมณ์ร้อนอีกด้วย คำรามสิ! คำรามใส่ข้าสิ… ” ซูจิ่นซีตบก้นสัตว์เทพกิเลนต่อ
แท้จริงสัตว์เทพกิเลนไม่สามารถทำอันใดซูจิ่นซีได้ มันทำได้เพียงหันหน้ากลับมามองซูจิ่นซีด้วยท่าทีอ้อนวอน
ซูจิ่นซีจึงหยุดมือด้วยความพอใจ
“ก็ได้! เห็นแก่ที่เจ้าเชื่อฟัง ข้าจะให้อภัยเจ้า ทว่า… เจ้าทานอันใดเล่า? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ที่อยู่อาศัยของสัตว์เทพกิเลนในแดนต้องห้ามของสกุลจง อยู่ใกล้กับยาสมุนไพร ภายในถ้ำมีสระมรกต ในสระมรกตยังมียาสมุนไพรอีกมากมาย
“หรือว่า… เจ้าทานยาสมุนไพร? ”
แต่ยาสมุนไพรเหล่านั้นล้ำค่าราคาแพง! ทั้งมีไว้เพื่อช่วยชีวิตคน ไม่ควรนำมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตามอำเภอใจ
ทว่า… เพื่อสัตว์เลี้ยง ซูจิ่นซียอมได้
ซูจิ่นซีพลิกฝ่ามือ ตั่งเซียมพลันปรากฏขึ้นในมือ นางยื่นไปข้างหน้าสัตว์เทพกิเลน สัตว์เทพกิเลนยื่นคอออกมาดมแล้วดมอีก นึกไม่ถึงว่ามันยังหดคอกลับไป
สีหน้าซูจิ่นซีไม่สู้ดีนัก “ยาสมุนไพรก็ไม่กินหรือ? ”
สัตว์เทพกิเลนจ้องไปที่ตั่งเซียมในมือซูจิ่นซี แสดงท่าทีลังเล แต่ก็ยังไม่กิน
ซูจิ่นซีเข้าใจแล้ว
เจ้าตัวนี้ไม่ใช่ไม่อยากกินยาสมุนไพร ทว่ามันไม่พอใจยาสมุนไพรคุณภาพต่ำ
ช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่เลือกกิน ไม่มีใครเลือกกินได้เท่าเจ้าแล้ว
ตั่งเซียมได้ชื่อว่าเป็นโสมขนาดเล็ก นับว่าเป็นยาสมุนไพรชั้นดี
ซูจิ่นซีโยนสัตว์เทพกิเลนลงไปบนตั่งอย่างไม่พอใจ ก่อนจะโยนตั่งเซียมไปด้านหน้าของมัน
“ให้กินก็ไม่กิน เห็นแก่ที่เจ้าพาข้ากับท่านอ๋องออกมาจากแดนต้องห้ามของสกุลจง ให้เจ้ากินตั่งเซียมก็นับว่าดีมากแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าทำร้ายข้าและท่านอ๋องจนบาดเจ็บ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีเลย! ”
สัตว์เทพกิเลนมองซูจิ่นซีด้วยท่าทีน่าสงสาร มันโบกมือทั้งคู่เพื่อเป็นการขอโทษ
ซูจิ่นซียืนขึ้นเตรียมจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินสัตว์เทพกิเลนส่งเสียง ‘แพร่บแพร่บ’ เมื่อหันไปเห็นมันแสดงท่าทางเช่นนั้น ก็อดโยนยาสมุนไพรตั่งเซียมชั้นเลิศไปอีกก้านหนึ่งไม่ได้
“มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ห้ามต่อรอง! จากนี้ต้องพึ่งพาตัวเอง หากต้องการอาหารดีๆ ต้องดูการกระทำของเจ้า”
การกระทำที่ซูจิ่นซีพูดถึง แน่นอนว่าเป็นความสามารถของสัตว์เทพกิเลนเมื่ออยู่ข้างกายนาง
ผู้ที่ท้องไม่เคยอิ่ม ทั้งยังผ่านคืนวันอันยากลำบากมา จะมีใจเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้อย่างไร?
เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินไปทางเยี่ยโยวเหยาอย่างมุ่งมั่น สัตว์เทพกิเลนพลันรู้สึกเกลียดชังขึ้นมาทันที!!!
แน่นอนว่ามันไม่ได้เกลียดซูจิ่นซี ทว่ามันเกลียดเยี่ยโยวเหยา คนที่นอนอยู่บนเตียงนั่น
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีเขียนเทียบยาและให้คนไปจัดหาสมุนไพร จากนั้นนางก็นำสมุนไพรออกมาจากระบบถอนพิษ เพื่อให้เยี่ยโยวเหยาทาน สัตว์เทพกิเลนที่อยู่ในอาคมกำไลปี่อั้นล้วนรับรู้ทั้งหมด
สมุนไพรเหล่านั้นล้วนเป็นยาสมุนไพรชั้นดี หนึ่งต้นที่หยิบออกมายังล้ำค่ายิ่งกว่ายาสมุนไพรสองชนิดที่มันกำลังกินอยู่ตอนนี้
เมื่อเห็นซูจิ่นซีดีต่อเยี่ยโยวเหยา สัตว์เทพกิเลนก็รู้สึกราวกับถูกทำร้าย เหมือนถูกเยี่ยโยวเหยาแย่งความรักจากซูจิ่นซี
มันกำลังอิจฉา…
อย่างไรก็ตาม แม้มันจะต่อต้าน ทว่ากลับไร้ผล
ซูจิ่นซีไม่สนใจมันแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ หลังจากที่นางเดินไปข้างเตียงเยี่ยโยวเหยา แววตาของนางก็มุ่งไปที่เยี่ยโยวเหยาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
สัตว์เทพกิเลนทำได้เพียงกินตั่งเซียมเงียบๆ แก้ขัดไปก่อน
สตรีผู้นี้ นางไม่รู้หรือว่ามันเป็นถึงสัตว์เทพ???
เป็นสัตว์เทพ!!!
มันเติบโตได้ด้วยการทานยาอายุวัฒนะ
การหลอมยาอายุวัฒนะล้วนใช้แต่ยาสมุนไพรชั้นเลิศ แม้ไม่มียาอายุวัฒนะให้กิน ก็ควรให้สมุนไพรระดับสูงสักหน่อย!
สัตว์เทพกิเลนกินตั่งเซียม ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกคับข้องใจ มันกินไปคำหนึ่ง พลางมองซูจิ่นซีด้วยน้ำตาคลอเบ้า กินไปอีกคำหนึ่ง ก่อนจะฝืนกลืนลงคออย่างยากลำบากยิ่งกว่ากินแกลบเสียอีก
ซูจิ่นซีตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง พบว่าชีพจรยังปกติดี สาเหตุที่ตอนนี้เขายังไม่ฟื้น เนื่องจากร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส
บ่าวรับใช้ของตำหนักยกยาที่เพิ่งต้มเสร็จเข้ามา ซูจิ่นซีป้อนยาให้เยี่ยโยวเหยาดื่ม ทว่าเขาปิดปากแน่น ป้อนอย่างไรยาก็ไหลออกมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเยี่ยโยวเหยายังหมดสติ ไม่สามารถกลืนยาเองได้
ซูจิ่นซีป้อนยาอยู่หลายครั้ง ทว่ายังคงเหมือนเดิม
ต้องทำอย่างไร?
แม่นมที่ยกยาเข้ามายังไม่เดินจากไป นางยืนอยู่ข้างกายซูจิ่นซี เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาเป็นเช่นนี้ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “พระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องหมดสติ ทั้งยังหลับลึก ไม่สามารถกลืนสิ่งใดได้ บ่าวพอจะมีวิธี… ”
“วิธีใด? ”
แม่นมเดินมาด้านข้างซูจิ่นซี ก่อนจะโน้มตัวลงพูดบางอย่างข้างใบหูของนาง
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ตอบสนอง ทันใดนั้น สัตว์เทพกิเลนที่กำลังกินตั่งเซียมอยู่บนเตียงก็หันมามองด้วยท่าทางตกตะลึง จนตั่งเซียมตกลงบนพื้น
มันมองไปที่แม่นมด้วยความไม่พอใจ มิหนำซ้ำยังส่งเสียงคำราม ‘โฮกโฮก’ แสดงอาการต่อต้านแม่นมอย่างรุนแรงอีกด้วย
บัดซบ แม่นมปากเสีย นึกไม่ถึงว่าจะให้เจ้านายของมันใช้วิธีปากประกบปากเพื่อป้อนยาให้บุรุษที่นอนบนเตียงผู้นั้น
เป็นไปได้อย่างไร???
ไม่มีทางอย่างแน่นอน!!! มันต่อต้านอย่างรุนแรง
ระหว่างบุรุษและสตรี ไม่มีทางยอมรับได้!
ความโปรดปรานของเจ้านายถูกบุรุษผู้นั้นพรากไปมากแล้ว เหตุใดต้องจุมพิตเขาด้วย?
เช่นนั้นมันจะทำอย่างไร?
สัตว์เทพกิเลนผู้น่าสงสาร มันแยกไม่ออกระหว่างความเอ็นดูและความรัก จึงรู้สึกเสียใจอย่างมาก หากมันรู้ว่าโยวอ๋อง ผู้แข็งแกร่ง องอาจและกล้าหาญ มีอำนาจและหล่อเหล่า จุมพิตเจ้านายของมันหลายครั้งแล้ว ทั้งยังเคยสัมผัสแนบชิดกันอีกด้วย มันจะทำอย่างไร?
มันคงนอนหมอบอยู่มุมกำแพง ร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างเงียบงันกระมัง?
หลังจากซูจิ่นซีฟังความคิดเห็นของแม่นมจบ ก็ไม่ได้พูดอันใด ทว่าใบหน้าของนางมีความผิดปกติเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่นมเห็นซูจิ่นซียังไม่มีการเคลื่อนไหวหรือตอบสนอง จึงรีบถอยไปอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าพูดว่า “พระชายาโปรดประทานอภัย เป็นบ่าวที่พูดจาเหลวไหล เป็นบ่าวที่พูดจาล่วงเกินเพคะ”
ต้องบอกว่า วิธีของแม่นมเป็นวิธีที่ดี ทั้งยังได้ผล แม้ไม่ได้ใช้อย่างแพร่หลายในทางการแพทย์ยุคปัจจุบัน แต่ในละครทีวีและนิยายที่มีโครงเรื่องคล้ายกันนี้ ซูจิ่นซีก็เห็นมามากแล้ว
ทว่า…
เมื่อนึกถึงตอนที่อยู่ในแดนต้องห้ามของสกุลจง เยี่ยโยวเหยาทิ้งนางเพื่อไปช่วยหนานกงหว่านเอ๋อร์
เมื่อนึกถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเขาและหนานกงลั่วอวิ๋น
ซูจิ่นซีจำได้ว่านางขอคำมั่นสัญญากับเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขากลับไม่สนใจ
สุดท้ายนางยังมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขา ความรักของเขายังคงคลุมเครือ
ซูจิ่นซีจึงไม่ต้องการทำเช่นนั้น
แม้นางจะเป็นหมอพิษ ทั้งยังเป็นหมอรักษา ผู้ป่วยที่อยู่ตรงหน้าไม่แยกแยะบุรุษสตรี ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็นการกระทำของบุรุษจอมทึ่มกับสตรีเอาแต่ใจ
ทว่านางไม่ใช่บุรุษจอมทึ่มกับสตรีเอาแต่ใจ
“ไปเอาช้อนมาหนึ่งคัน”
แม่นมชะงักเล็กน้อยราวกับไม่เข้าใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
ซูจิ่นซีหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา “ไปหยิบช้อนมาคันหนึ่ง เอาคันที่ยาวสักหน่อย ไม่ได้ยินหรือ? ”