สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 13 ตอนที่ 373 ซูจิ่นซี ข้าพอใจเจ้า
ซูจิ่นซีรีบเดินมาที่เรือนชิงโยวด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
นางเกรงว่าอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยาจะมีอันใดเปลี่ยนแปลง เกรงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ทว่าเมื่อเดินมาถึงตำหนักฝูอวิ๋น จังหวะก้าวเดินของนางกลับช้าลงโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากด้านในมีเสียงของเยี่ยโยวเหยากับหมอเทวดาหวาดังออกมา
“ท่านอ๋อง ยาวิเศษหลงหุยเพียงยับยั้งอาการบาดเจ็บภายในของท่านไว้ชั่วคราว ระหว่างเดินทางออกจากมหาวิหารธารามรกต ยาวิเศษหลงหุยหมดฤทธิ์ทำให้อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องกำเริบหนักขึ้น แม้ท่านอ๋องจะเสวยยาที่ฮูหยินปี้นำมาให้จนอาการดีขึ้นแล้ว ทว่าหลังจากนี้จำเป็นต้องพักฟื้น มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงยากคาดเดาพ่ะย่ะค่ะ”
“ในที่สุดข้าก็ไม่สามารถปกปิดได้ นางล่วงรู้หมดแล้ว”
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ฟ้าลิขิตยากหลบเลี่ยง ท่านอ๋องรักใคร่มั่นคง พระชายาจะต้องให้อภัยท่านอ๋องอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างเถิด เจ้าออกไปก่อน! ”
หมอเทวดาหวาเดินออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋นก็พบกับซูจิ่นซีเข้าพอดี แววตาพลันฉายความประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีหมอเทวดาหวาต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีมีท่าทีสับสน จึงกลืนคำพูดทั้งหมด ทำเพียงแสดงความเคารพซูจิ่นซีแล้วเดินจากไป
แสงจันทร์ขาวนวลดั่งหิมะ ทอแสงสุกสกาวลงบนตำหนักฝูอวิ๋นอย่างเงียบงัน ทั้งยังสาดส่องมายังเรือนร่างของซูจิ่นซี ปกคลุมเรือนร่างของนางอย่างวิจิตรงดงาม
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ นอกจากเสียงหัวใจเต้นของซูจิ่นซีกับเสียงลมหายใจของเยี่ยโยวเหยาในตำหนักฝูอวิ๋นแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอันใดอีก
เวลานี้ ความคิดและความสนใจทั้งหมดของซูจิ่นซี หรือแม้กระทั่งทิศทางสัญญาณของอาคมกำไลปี่อั้นล้วนพุ่งเป้าไปยังผู้ที่อยู่ภายในตำหนักฝูอวิ๋น
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีเฝ้าหวังและเฝ้าอธิษฐานให้เยี่ยโยวเหยาอาการดีขึ้น รีบฟื้นขึ้นมา ทว่าเวลานี้เขาฟื้นขึ้นมาจริงๆ ซูจิ่นซีกลับไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดี
จังหวะก้าวเดินของนางช้าลงทุกขณะ ช้าลงจนแทบหยุดนิ่ง ทว่าสุดท้ายนางก็เดินมายังเบื้องหน้าของเยี่ยโยวเหยา
เวลานี้ นอกจากความเงียบก็คือความเงียบ
เยี่ยโยวเหยาฟื้นแล้ว เขาสวมเสื้อคลุมตัวนอกสีดำนั่งอยู่บนเตียง แววตาเย็นชามองมาที่ซูจิ่นซี ดวงตางดงามของซูจิ่นซีก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเช่นกัน
ความรู้สึกลึกซึ้งและความสับสนทั้งหมดได้แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบ
ซูจิ่นซีเฝ้ารอให้เยี่ยโยวเหยาฟื้นขึ้นมา นางมีเรื่องราวมากมายต้องการถามเยี่ยโยวเหยา ทว่าในเวลานี้นางกลับไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว
เวลาผ่านไปไม่นาน เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกมาหาซูจิ่นซี ทว่านางยังคงยืนอยู่จุดเดิมไม่ขยับเขยื้อน
“ซูจิ่นซี เจ้ายังไม่มาอีก! ”
น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชาแกมดุดันเล็กน้อย ทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและยอมจำนน
แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความขัดข้อง นางเม้มริมฝีปาก “หม่อมฉันไม่ไปหา! ท่านอ๋อง เหตุใดท่านพูดแล้วหม่อมฉันต้องทำตามด้วยเพคะ? ”
ใบหน้าเยี่ยโยวเหยาคล้ายยอมจำนน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าไม่มาหา? หรือจะให้ข้าไปหาเจ้า? ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางดึงผ้าห่มออก ตั้งใจจะลงจากเตียง
ซูจิ่นซีรีบเดินเข้าไปหาทันที นางผลักเยี่ยโยวเหยาอย่างแผ่วเบา “ท่านอ๋องคิดจะทำอันใดเพคะ? เท่านี้ยังบาดเจ็บไม่พออีกหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาฉุดซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอด โอบกอดซูจิ่นซีไว้แน่น
แม้เขาจะบาดเจ็บ ทว่ายังมีพละกำลังมากกว่าซูจิ่นซี
เนื่องจากเยี่ยโยวเหยาใช้แรงมากเกินไป ทำให้ซูจิ่นซีหายใจไม่สะดวก ทว่าน้ำเสียงอันอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความเป็นเจ้าของกลับดังขึ้นที่ข้างหูของนาง “ซูจิ่นซี ข้าพอใจในตัวเจ้านัก! ”
ซูจิ่นซีตกใจตัวแข็งทื่อ
แววตาของนางแสดงออกอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ริมฝีปากเผยอค้างไว้จนลืมประกบเข้าหากัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีถึงเอ่ยปากพูดขึ้น “เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดอันใด? ”
“ซูจิ่นซี ข้าพอใจในตัวเจ้า! ”
ซูจิ่นซีรีบผละตัวออกจากอ้อมกอด พลางจับแขนของเยี่ยโยวเหยา ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่ดวงตาของเยี่ยโยวเหยา เวลานี้นางไม่กล้าแม้แต่กะพริบตา เพราะนางต้องการมองความคิดภายในใจของเยี่ยโยวเหยาผ่านทางดวงตาที่นางไม่เคยมองออกเลยสักครั้ง
“เยี่ยโยวเหยา พอใจหมายความว่าอันใด? หม่อมฉันไม่เข้าใจ ท่านพูดอีกครั้ง”
เยี่ยโยวเหยาจ้องมองซูจิ่นซีอยู่เช่นนั้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย อธิบายให้ซูจิ่นซีฟังด้วยความอดทนซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก “ซูจิ่นซี ข้าชอบเจ้ามาก”
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็กัดริมฝีปากของตนอย่างแรง พลางมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีจริงจัง
เยี่ยโยวเหยาจับแขนซูจิ่นซีด้วยความประหม่า และพูดว่า “ซูจิ่นซี เจ้าเป็นอันใดไป? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก น้ำตาพลันรินไหลอาบสองแก้มด้วยความปลาบปลื้ม “เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ ท่านอ๋อง… ท่านพูด… พูดอีกครั้งได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีพูดพลางแอบเปิดความถี่ของกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด
เยี่ยโยวเหยายังคงจ้องมองซูจิ่นซี เขาพูดอีกครั้งว่า “ซูจิ่นซี ข้าชอบเจ้ามาก”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดอีกครั้งได้หรือไม่”
“ซูจิ่นซี ข้าชอบเจ้า”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดอีกครั้งได้หรือไม่”
“ซูจิ่นซี ข้าชอบเจ้า”
……
ซูจิ่นซีเฝ้าถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าเยี่ยโยวเหยายังตอบคำถามซูจิ่นซีด้วยความอดทน ซึ่งแตกต่างจากในอดีตยิ่งนัก
ภายใต้ความถี่ระดับสูงสุดของอาคมกำไลปี่อั้น ทำให้คำว่าชอบดังสะท้อนก้องอยู่ภายในหูของซูจิ่นซีไม่หยุด ทั้งยังโจมตีเข้าไปในจิตใจ ทำให้นางน้ำตารินไหลออกมาดั่งสายน้ำ
ซูจิ่นซีร้องไห้ราวกับเด็กน้อย นางเฝ้าถามคำถามซ้ำๆ เหมือนเด็กน้อยที่ดื้อรั้นอยากทานขนม
นี่เปรียบเสมือนสิ่งตอบแทนอันล้ำค่าที่นางเฝ้ารอและยืนหยัดกับอารมณ์อันปรวนแปรของเยี่ยโยวเหยามาเนิ่นนาน
ซูจิ่นซีดึงดันต้องการฟังคำสัญญานี้มาตลอดไม่ใช่หรือ?
ทว่าในอดีต แต่ละครั้งที่ซูจิ่นซีถาม เยี่ยโยวเหยาก็มักหลบเลี่ยง นางคิดว่าวันนี้คงไม่มีทางมาถึง แต่ไม่คาดว่าความสุขจะมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
ทำให้นาง… รู้สึกว่าไม่เป็นความจริง
ราวกับที่นางทำเช่นนี้ เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้ฝันไป
ซูจิ่นซีดึงดันถามคำถามซ้ำๆ จนไม่รู้ว่าตนถามไปแล้วกี่ครั้ง ยิ่งถามเสียงยิ่งเบาลงจนกระทั่งไม่มีเสียง
เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอด
แสงจันทร์สุกสกาวและแสงเทียนระยิบระยับ เยี่ยโยวเหยาโอบกอดซูจิ่นซีอยู่เช่นนี้อย่างเงียบงัน ราวกับเวลาได้หยุดลง มีเพียงความสงบเงียบและความงดงาม
“ซูจิ่นซี ครั้งนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปที่ใดอีก แม้เจ้าจะจากไป ข้าก็จะให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเข้าใจคำว่ากล้าหาญในรักหรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาชะงักอย่างเห็นได้ชัด
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใด จู่ๆ นางก็ผลักเยี่ยโยวเหยาออกและถามอีกครั้ง “เยี่ยโยวเหยา ท่านรู้หรือไม่ หม่อมฉันรอคำพูดนี้มานานเท่าไร? เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านอ๋องถึงไม่บอกหม่อมฉันตามตรง? หรือว่า… หรือว่าก่อนหน้านี้ท่านอ๋องชื่นชอบหนานกงลั่วอวิ๋น? ”