สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 13 ตอนที่ 377 พวกเรายังมีเวลาอีกมาก
ลวี่หลีขมวดคิ้วเคร่งเครียด “แม่นมฮวา ท่านความจำสั้นหรือ? จึงกล้าเอ่ยคำนี้ขึ้นมาอีก ท่านลืมไปแล้วหรือว่าคุณหนูของเราได้เตือนท่านไว้ว่าอย่างไร? ”
“ไป เจ้าจะเข้าใจอันใด? ”
แม่นมฮวาชำเลืองตามองลวี่หลี ราวกับมองเด็กไร้เดียงสาที่ไม่รู้ความเรื่องอย่างว่า
“ตามประสบการณ์ของข้า คืนนี้พระชายาเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นแล้ว ไม่มีทางได้ออกมาอย่างแน่นอน ท่านอ๋องเจ็บป่วยมาหลายวัน ดูเหมือนว่าไม่ได้สัมผัสเรื่องอย่างว่ากับพระชายามานานแล้วใช่หรือไม่? บางทีอาจเป็นเหมือนข้าวใหม่ปลามัน! ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องไม่ได้สัมผัสคนรักมานานเพียงใด? ทั้งท่านอ๋องยังล่วงรู้เรื่องที่พระชายาไปพบกับไท่จื่ออีก ท่านอ๋องต้องกำลังทรงขุ่นเคืองเป็นแน่ คงหลีกเลี่ยงการแสดงความรักอย่างรุนแรงไม่ได้”
แม่นมฮวายิ่งพูด ภายในใจลวี่หลีก็ยิ่งเป็นกังวล นางขมวดคิ้วเคร่งเครียด ความหนักใจทั้งหมดปรากฏออกมาบนใบหน้า
หากเป็นเช่นนี้ ร่างกายที่บอบบางของคุณหนูจะทนไหวได้อย่างไร?
เมื่อซูจิ่นซีเดินเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น ด้านในนั้นเงียบสงัด แสงไฟส่องกระทบผ้าม่านแพรพลิ้วไหว ทว่าไม่เห็นเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
……
ซูจิ่นซีร้องเรียกอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่ได้ยินเสียงตอบของเยี่ยโยวเหยา จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เหลือบไปเห็นหนังสือ ‘ตำนานเผ่าเม้ย’ บนโต๊ะทรงอักษร จึงเดินเข้าไปด้วยความสนใจ
หลายวันที่ผ่านมา ซูจิ่นซีได้ยินสองคำนี้หลายครั้ง
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะยื่นมือออกไปหยิบหนังสือเล่มนั้น ไอเย็นพลันวูบขึ้นมาจากทางด้านหลัง มือของเยี่ยโยวเหยากอดรัดร่างของนางอย่างแผ่วเบา
ไอเย็นเยือกปะทะกาย ทำให้ร่างของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อย
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“อืม! ”
เยี่ยโยวเหยาตอบรับ ลมหายใจเย็นเยือกกระทบลำคอของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีร่างกายสั่นเทาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเหลือบไปเห็นเยี่ยโยวเหยาซึ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวหิมะที่เปียกชื้นเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกตื่นตัวจึงหันหลังไปผลักเยี่ยโยวเหยาอย่างนุ่มนวล
“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่ดีขึ้น ทั้ง… ยังไม่ได้ถอนพิษหมุดกร่อนรักนะเพคะ”
ขณะที่ซูจิ่นซีผละตัวออก หลังของนางก็พิงกับโต๊ะทรงอักษรพอดี
เยี่ยโยวเหยาจับหัวไหล่ของซูจิ่นซี เขาค่อยๆ เลื่อนมือลงมาโอบเอวนางอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินพลังภายในที่ฝ่ามือข้างหนึ่งและทำลายหนังสือทั้งเล่มให้กลายเป็นฝุ่นผงอย่างไร้ร่องรอย
“วางใจได้ ข้ารู้อาการของตนเองดี ตอนนี้อาการยังไม่กำเริบ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางประทับริมฝีปากเย็นเฉียบลงบนริมฝีปากของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงจุมพิตอันอ่อนโยน นางรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยาในเวลานี้มีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเมื่อหวนนึกถึงคำเตือนของซูอวี้ตอนที่พบกันหน้าประตูจวน จึงไม่คิดอันใดมาก
“เยี่ยโยวเหยา! ”
“อืม! ”
“เยี่ยโยวเหยา! ”
“อืม! ”
“เยี่ยโยวเหยา! ”
“หากเจ้าเรียกข้าเช่นนี้อีก ข้าคงอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ ”
ซูจิ่นซีตัวแข็งทื่อ
นางไม่รู้ว่าเสียงของนางที่เรียกชื่อเขาในสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับเยี่ยโยวเหยาแล้วมีความเย้ายวนมากเพียงไร ยิ่งทำให้ความรักของพวกเขาทั้งสองหอมกรุ่น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาถึงปล่อยตัวซูจิ่นซี เขาจับมือของนางพาเดินไปที่เตียง
“วันนี้เจ้าไม่ต้องกลับเรือนอวิ๋นไค อยู่ปรนนิบัติข้าที่นี่”
เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะเตือนเยี่ยโยวเหยาเรื่องพิษหมุดกร่อนรัก แต่ราวกับเยี่ยโยวเหยาจะรู้ในสิ่งที่ซูจิ่นซีกำลังคิด เขาหันหลังกลับมามองซูจิ่นซีเนิ่นนาน เมื่อเห็นซูจิ่นซีไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง จึงจับหัวไหล่ทั้งสองของซูจิ่นซีและถามว่า “พระชายาที่รักรอไม่ไหวแล้วหรือ!”
รอ… รอไม่ไหวแล้ว?
ซูจิ่นซีแก้มแดงระเรื่อในทันที แต่เพื่อไม่ให้ตนเองดูเขินอาย จึงรวบรวมความกล้าสบตาเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ใช่ที่ใดกัน ท่านอ๋องคิดเลยเถิดไปถึงไหนแล้วเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ตอบคำถามซูจิ่นซี ทำเพียงยกยิ้มมุมปากลึกซึ้งและหันหลังจูงมือซูจิ่นซีเดินไปที่เตียง
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่บึกบึนสง่างาม ภายในใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกเจ็บปวด
ร่างกายของเขามีหมุดกร่อนรักอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องกิจบนเตียงเลย กระทั่งการอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ เขาคงต้องอดทนต่อความเจ็บปวดทรมาน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคืนวันนั้น ตอนที่พวกเขาอยู่ใต้ต้นดอกเหมยหลังจวนสกุลซู
หากนางรู้เสียแต่ทีแรก ต่อให้ต้องตาย นางก็ไม่ทำ…
ทว่าในเวลานี้ จะพูดอย่างไรก็สายเกินไปเสียแล้ว
“เยี่ยโยวเหยา… ”
ซูจิ่นซีเข้าไปโอบกอดเยี่ยโยวเหยาจากทางด้านหลัง
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ดวงตาดำขลับเปล่งประกาย เขาก้มหน้าลงไปมองมือของซูจิ่นซีที่โอบกอดตนแน่น
ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ถามขึ้น “เรื่องเยี่ยเซินในวันนี้ ท่านอ่องคิดจะถามหม่อมฉันเมื่อไรเพคะ? ”
หลังจากที่ซูจิ่นซีถามคำถามจบ นางไม่ได้รับคำตอบจากเยี่ยโยวเหยาในทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาจึงพูดขึ้นว่า “ซูจิ่นซี เจ้าถามเพื่อต้องการทดสอบความเชื่อใจของข้าที่มีต่อเจ้าใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซียิ้มเจื่อน
เยี่ยโยวเหยาก็คือเยี่ยโยวเหยา
อย่างไรก็ตาม… ซูจื่นซีไม่เห็นว่าแววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความดุดันและไอสังหารขณะที่เขาพูดประโยคนี้
ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร แคว้นจงหนิงให้ที่ยืนและสถานะที่ปลอดภัยกับเยี่ยเซินก็นับว่าดีมากแล้ว ทว่าเขายังกล้าประสงค์ร้ายต่อสตรีของเยี่ยโยวเหยาอีก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเยี่ยโยวเหยาไร้น้ำใจ
“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันกลับห้องดีกว่าเพคะ! อย่างไรเสียท่านก็ยังไม่ได้ถอนพิษหมุดกร่อนรัก ระหว่างเรา… ยังมีเวลาอีกมากเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับมากล่าวว่า “เพียงเจ็บปวดเล็กน้อย ข้าทนได้… ”
เยี่ยโยวเหยายังไม่ทันพูดจบประโยค ซูจิ่นซีก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเยี่ยโยวเหยาไว้
ซูจิ่นซีรู้ดี ความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงเท่านี้ สำหรับเยี่ยโยวเหยาแล้วไม่นับว่าเป็นอันใด เขาอดทนไหว
ทว่านางจะทนเห็นได้อย่างไร
คราแรกนางยังไม่รู้ความจริงว่าเขารักนาง และไม่รู้เรื่องหมุดกร่อนรัก ทว่าตอนนี้นางรู้และเข้าใจแล้ว นางไม่มีทางยอมให้เขาแบกรับความทุกข์นี้เพียงลำพัง
“ตกลง! อยู่กับข้าอีกสักครู่ แล้วเจ้าค่อยกลับไป”
เขาต้องการเห็นซูจิ่นซีตลอดเวลา อยากให้นางอยู่ในสายตาเขาตลอดไป
เรื่องนี้ซูจิ่นซีเข้าใจดี
“เยี่ยโยวเหยา เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว”
ซูจิ่นซีพูดเตือน จากนั้นจึงผลักเยี่ยโยวเหยาอย่างแผ่วเบาพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋นไป
เยี่ยโยวเหยามองด้านหลังซูจิ่นซีด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความรักและเอ็นดู ทว่าไม่ได้รั้งตัวซูจิ่นซีไว้
“พระชายา! ”
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋น หัวหน้าองครักษ์ของเรือนชิงโยวก็เหาะลงมาเบื้องหน้าซูจิ่นซี
“มีอันใด? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมองหัวหน้าองครักษ์ ตามหลักแล้ว พวกเขาจะไม่เข้ามารบกวนในเวลาดึกดื่นเช่นนี้
หัวหน้าองครักษ์มองผ่านซูจิ่นซี เห็นเยี่ยโยวเหยายืนอยู่ด้านหลังของนาง
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆเดินออกมาจากในเรือนและถามว่า “มีเรื่องอันใด? ”
“ทูลท่านอ๋อง แม่ทัพหลานขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้รออยู่ที่เรือนชิงโยว”
หลานเสวียนหมิง ดึกดื่นเช่นนี้ หลานเสวียนหมิงมาขอพบด้วยเหตุอันใด?
หรือจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
ซูจิ่นซีเป็นกังวล นางรู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่างแน่นอน
“เรียกให้เขาเข้ามา! ”
หัวหน้าองครักษ์รับคำและรีบเดินไปที่เรือนชิงโยวทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ก็พาตัวหลานเสวียนหมิงมาเข้าพบ
“ท่านอ๋อง! ”
เดิมทีหลานเสวียนหมิงต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าเห็นซูจิ่นซียืนอยู่ด้านหลังจึงหยุดคำพูด
“ท่านอ๋องมีเรื่องสนทนากับแม่ทัพหลาน หม่อมฉันทูลลาเพคะ” ซูจิ่นซีต้องการออกไปเพราะเข้าใจสถานการณ์ แต่คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะรั้งแขนนางให้อยู่ด้วย
“พระชายาไม่ใช่คนนอก มีเรื่องอันใด? พูดออกมา! ”
แววตาของหลานเสวียนหมิงปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย พลางมองซูจิ่นซีด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง “ท่านอ๋อง สกุลอวี่เหวินกับไท่จื่อ… ก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ! ”