สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 13 ตอนที่ 386 เคียงคู่ชูชื่นแสดงความรัก
“พระชายา ท่านดูทางนั้นสิพ่ะย่ะค่ะ! ” จู่ๆ หมอหลวงสวี่ก็พูดขึ้น
ซูจิ่นซีหันไปมองในทิศทางที่หมอหลวงสวี่ชี้ นางเห็นแมลงปอโลหิตบินอยู่บนท้องฟ้า มันรวมฝูงบินไปทางเดียวกัน ต่อมาหมอกพิษสีแดงที่ปกคลุมอากาศก็ค่อยๆ เบาบางลง
ขณะเดียวกัน ระบบถอนพิษตรวจสอบพบว่าส่วนประกอบของสารพิษที่อยู่ในอากาศมีปริมาณลดลง
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“พระชายาโยวอ๋อง… ” ทันใดนั้นเสียงของหลานอวี่ก็ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “วันนี้เจ้าไว้ชีวิตท่านราชครู นับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ข้าถอนพิษให้ชาวบ้านและสลายพิษในเมืองให้เจ้า นับว่าได้ทดแทนบุญคุณให้เจ้าแล้ว วันหน้าหากพวกเราสองคนพบกันอีกครั้ง ไม่มีอันใดติดค้างกัน”
ซูจิ่นซีมองไม่เห็นหลานอวี่ ทว่าเสียงพูดนั้นดังกังวาน ทั้งยังดังมาจากรอบทิศทาง ยากที่จะรู้ได้ว่าหลานอวี่อยู่ทางใด
อย่างไรก็ตาม ที่มาของเสียงนั้นไม่สามารถหลบหนีจากหูทิพย์ของซูจิ่นซีไปได้ ซูจิ่นซีเปิดใช้อาคมกำไลปี่อั้นทำให้รู้ตำแหน่งของหลานอวี่ได้ทันที ทว่านางไม่ต้องการเข้าไปยุ่งให้มากความ จึงไม่พูดโต้ตอบกลับไป
“องครักษ์! ”
“ท่านอ๋อง! ” องครักษ์เงาเหาะลงมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยา
“รีบส่งข่าวไปบอกหลานเสวียนหมิง สั่งให้คนทั้งหมดที่ไล่ตามเยี่ยเซิน ถอนกำลังกลับทันที”
องครักษ์เงารับคำสั่งและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีสงสัยเป็นอย่างมาก ตอนนี้แคว้นไหวเจียงคงกำลังถอนทัพอย่างแน่นอน และต้องคุ้มครองเยี่ยเซินกับสกุลอวี่เหวินให้หลบหนีไป หากสั่งให้หลานเสวียนหมิงถอนกำลังทหารในเวลานี้ ไม่ใช่เป็นการปล่อยเสือเข้าป่า ไว้ชีวิตเยี่ยเซินหรอกหรือ
กำลังทหารของเยี่ยเซินกับสกุลอวี่เหวิน แม้ไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยเซินมีสถานะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นจงหนิง หากเขากับแคว้นไหวเจียงร่วมมือกัน ต่อไปภายภาคหน้าต้องเกิดปัญหาใหญ่เป็นแน่
แม้ซูจิ่นซีจะอ่านตำราพิชัยสงครามมาบ้าง ทว่าเจตนาของเยี่ยโยวเหยาในครั้งนี้ นางกลับไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
เยี่ยโยวเหยาเหมือนจะเข้าใจความคิดของซูจิ่นซี เขาลูบผมนางด้วยความรักใคร่ “ปล่อยเยี่ยเซินไปครั้งนี้ เขายังมีประโยชน์สำหรับข้า ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเอง! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางจูงมือซูจิ่นซีเดินกลับไปทางจวนโยวอ๋อง
ฮูหยินปี้เดินเข้ามา ถามว่า “พระชายา เรื่องคุณชายจิ่วจะจัดการอย่างไรเพคะ? ”
ซูจิ่นซีมองไปทางจิ่วหรงที่ยืนอยู่ไกลๆ และหันกลับมามองเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาไม่พอใจจิ่วหรงเท่าไรนัก ทว่าน้อยครั้งที่เขาจะให้เกียรติซูจิ่นซี “เจ้าเป็นคนจัดการเถิด! ”
“เชิญเขาเข้าพักในเรือนรับรองที่เขาเคยพักก่อนหน้านี้เถิด! วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเขาด้วยตนเอง! ”
“เพคะ! ”
เดิมทีซูจิ่นซีเตรียมเชิญจิ่วหรงเข้าพักในจวนโยวอ๋อง วิธีนี้จะสะดวกกว่าในการให้หมอเทวดาหวาหารือกับเขาเรื่องการถอนพิษหมุดกร่อนรัก ทว่าวันนี้เยี่ยโยวเหยามีท่าทีฉุนเฉียว ซูจิ่นซีจึงไม่กล้า
จิ่วหรงคิดเช่นไรกับนาง นางเข้าใจเป็นอย่างดี แต่นางเกรงว่าหากเขาพักที่จวนโยวอ๋อง กลางดึกเยี่ยโยวเหยาจะก่อเรื่องหาความจิ่วหรง หากทั้งสองต่อสู้กันจริงๆ นั่นคงเป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการเห็น
เมื่อพวกเขาทั้งสองกลับมาถึงจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีไม่ได้กลับเรือนอวิ๋นไคในทันที ทว่าตรงไปที่ตำหนักฝู่อวิ๋นพร้อมเยี่ยโยวเหยา
ทันทีที่เดินผ่านเข้าประตูไป เยี่ยโยวเหยาพลันโซเซและกระอักเลือดออกมา
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าสถานการณ์ของเยี่ยโยวเหยาไม่สู้ดีนัก แต่นึกไม่ถึงว่าอาการจะร้ายแรงถึงเพียงนี้
นางรีบเข้าไปประคองเยี่ยโยวเหยา “ก่อนหน้านี้ไม่ให้ท่านอ๋องไป ท่านก็จะไปให้ได้! เห็นแล้วหรือไม่ว่ามันส่งผลกระทบถึงพลังภายใน ไม่รู้ว่าต้องใช้ยาสมุนไพรอีกมากมายเท่าไร”
แม้คำพูดเหล่านี้จะฟังดูโหดร้ายไปบ้าง ทว่าเมื่อปรากฏบนใบหน้าขาวซีดและคิ้วที่ขมวดมุ่นด้วยความห่วงใย มันกลับแสดงให้เห็นความอ่อนโยนภายในใจซูจิ่นซี
เยี่ยโยวเหยาลูบผมซูจิ่นซีด้วยความรักใคร่ พลางยกยิ้มมุมปาก “ประคองข้าเข้าไป”
ซูจิ่นซีประคองเยี่ยโยวเหยาไปที่เตียง
“หม่อมฉันจะสั่งให้คนไปตามหมอเทวดาหวาเพคะ! ”
ซูจิ่นซีคิดจะเดินออกไปด้านนอก ทว่ามือของนางกลับถูกเยี่ยโยวเหยาจับไว้แน่น
ซูจิ่นซีหันหลังมามองด้วยความสงสัย เห็นสีหน้าเยี่ยโยวเหยาขาวซีดไร้เลือดฝาด เขาจ้องมองนางด้วยสายตารักใคร่ “ไม่ต้อง เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลข้าก็พอแล้ว”
“ท่านอ๋องอย่าก่อเรื่องอีกเลยเพคะ” ซูจิ่นซีพูดอย่างเสียไม่ได้ “เวลานี้คับขันยิ่งนัก หม่อมฉันชำนาญด้านพิษ ไม่ถนัดวิชาแพทย์ เรื่องนี้เป็นตายถึงชีวิต หากมีอาการบาดเจ็บที่ต้องรักษาโดยด่วน หม่อมฉันจะทำอย่างไรเพคะ? ”
ซูจิ่นซีพูดพลางสะบัดแขนของเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับออกแรงมากขึ้น เขาดึงจนซูจิ่นซีล้มลงในอ้อมกอดพอดี
“เยี่ยโยวเหยา… ”
ซูจิ่นซีไม่ทันได้ปริปากพูด เยี่ยโยวเหยาก็จู่โจมจุมพิตนางทันที ในความอ่อนโยนนุ่มนวลนั้นมีกลิ่นคาวเลือดปะปนอยู่ในปากเล็กน้อย ซูจิ่นซีกังวลว่าจะทำให้เยี่ยโยวเหยาอาการสาหัสไปมากกว่านี้ จึงไม่กล้าผลักไสปฏิเสธและปล่อยให้เขาจุมพิตอยู่เช่นนั้น
หัวใจซูจิ่นซีค่อยๆ โอนอ่อนผ่อนตาม ทั้งยังเกิดความรู้สึกเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด
เยี่ยโยวเหยาผละจากการจุมพิต ก่อนจะก้มหน้ามองซูจิ่นซี
หัวใจที่อ่อนไหวของซูจิ่นซี เมื่อประสานสายตากับดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาที่จ้องมองมา ทำให้นางคิดหลบสายตา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับยื่นมือออกมาจับใบหน้าของนางไว้ ไม่ให้นางหันหน้าหนี
“เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… ท่านเป็นอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีใบหน้าแดงก่ำ หลบสายตาไปอีกทาง
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปาก
“จิ่นซี วันนี้เจ้าทนต่อการแสดงออกถึงความรักของข้าไม่ไหว หากอนาคตเราทั้งสองได้เข้าหอร่วมหลับนอนกัน เจ้าจะทนต่อการแสดงความรักของข้าได้อย่างไร? ”
การแสดงความรักหรือ?
คำพูดเช่นนี้ สำหรับซูจิ่นซีที่เป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันไม่ได้แสดงออกถึงความหยาบคายแม้แต่น้อย ทว่าภายในใจของนางกลับรู้สึกแปลกประหลาด ตกตะลึง ใบหน้าพลันร้อนผ่าวราวกับยืนตากแดดมาทั้งวัน
ทั้งยังไม่กล้าสบตาเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… ท่านพูดอันใด? ”
“หรือว่าไม่ใช่? ”
เยี่ยโยวเหยาใช้สองมือประคองใบหน้าซูจิ่นซี จุมพิตหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา “จิ่นซี ในเมื่อเราสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ ทว่า… หลายวันมานี้ ข้าถูกผนึกด้วยพิษหมุดกร่อนรัก ทำให้เจ้า… ต้องเสียใจ”
แน่นอนว่าซูจิ่นซีเข้าใจคำว่า ‘เสียใจ’ สองคำนี้ที่เยี่ยโยวเหยาพูด อย่างไรก็ตาม นางเป็นสตรี ทั้งยังมีแนวคิดเหมือนสตรีในยุคปัจจุบัน เรื่องระหว่างบุรุษและสตรีควรสร้างขึ้นจากพื้นฐานของความรัก ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดมากเหมือนเยี่ยโยวเหยา
นอกจากนั้น การที่เยี่ยโยวเหยาพูดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกเขินอาย เวลานี้ความคิดของนางว่างเปล่า จึงถามออกไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดอันใดออกมา? เราสองคน… เราสองคนเป็นเพียงสามีภรรยาในนามเท่านั้น ไม่ได้เข้าพิธีสมรส ไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดินและคำนับบิดามารดา จะพูดว่าเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไรเพคะ? ”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เวลาผ่านไปพักใหญ่นางก็ยังไม่ได้ยินคำตอบของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนพูดอันใด นางหันหลังกลับไปเห็นใบหน้าซีดขาวและมืดมนของเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านไม่ต้องคิดมาก แท้จริงแล้วหม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น หม่อมฉันไม่ได้… ”