สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 13 ตอนที่ 390 การกระทำที่ไม่จำเป็น
“ไม่มี? ”
เป็นไปได้อย่างไร?
“หากเป็นหมุดกร่อนรักทั่วไปยังพอมีวิธีแก้ แต่ขณะที่หมุดกร่อนรักนี้เข้าสู่ร่างกายของโยวอ๋อง มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น กอปรกับการที่หมุดกร่อนรักเกิดความผิดปกติถึงสองครั้งและถูกควบคุมไว้ ตอนนี้หมุดกร่อนรักจึงกำเริบอย่างสมบูรณ์ อย่าว่าแต่ข้าไม่มีวิธีเลย แม้แต่เทพเซียนต้าหลัวลงมาเอง ก็ยังยากที่จะกำจัดได้”
ซูจิ่นซีมีท่าทีเคร่งขรึมอย่างมาก ทว่าไม่นานก็จับใจความสำคัญในคำพูดของจิ่วหรงได้
“ไม่สามารถกำจัดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาไม่ได้ ต่อให้ไม่มีวิธีกำจัดอันตรายทั้งหมดของหมุดกร่อนรัก เพียงทำให้อาการในตอนนี้ดีขึ้นก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว”
จิ่วหรงมองซูจิ่นซี ทั้งยังเหลือบแววตามองผ่านไปทางเยี่ยโยวเหยา
“กำจัดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มีวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ แต่… ”
“คืออันใด? ”
ในใจซูจิ่นซีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากจนเกือบจะบอกวิธีที่หมอเทวดาหวาและฮูหยินปี้เสนอขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทว่านางยังพยายามอดกลั้นเอาไว้
“วิธีนี้เป็นเพียงตำนานเล่าขานกันมา มีจดบันทึกไว้ในตำราโบราณ ทว่าจะใช้ได้หรือไม่นั้น ยังไม่มีผู้ใดเคยทดลองมาก่อน”
“…”
“ใช้ตันซา จิ่งเทียน บัวหิมะโลหิต ไห่หลง เลือดสัตว์เทพหลอมเป็นยาวิเศษให้รับประทาน ทั้งยังต้องใช้ร่วมกับการเดินพลังลมปราณจิ่วเซียว เล่ากันว่ามันสามารถปลดผนึกพันธะข้อห้ามทุกอย่างในใต้หล้าได้”
แววตาตื่นเต้นของซูจิ่นซีพลันสงบนิ่ง นางเหลือบมองเหล่าลูกศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอีที่อยู่ข้างหลังเล็กน้อย
“พวกเจ้าออกไปก่อน” จิ่วหรงทำตามความหมายของซูจิ่นซี
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา จิ่วหรง และซูอวี้ สี่คน ซูจิ่นซีจึงไม่ได้ปกปิดพวกเขา นางเดินไปยืนข้างโต๊ะและวาดมือผ่านโต๊ะอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็นำตันซา จิ่งเทียน บัวหิมะโลหิต ไห่หลง และยาสมุนไพรหลายชนิดจากอาคมกำไลปี่อั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ ทั้งยังหยิบเลือดสีแดงที่อยู่ในขวดแก้วลายครามใบเล็กออกมาด้วย
ซูจิ่นซีนำขวดใบเล็กยื่นให้จิ่วหรง “วิธีนี้ หมอเทวดาหวาเคยบอกข้ามาก่อน ตันซาและยาสมุนไพรอื่นๆ อีกสี่ชนิด ท่านคงรู้จักดี และนี่คือเลือดของสัตว์เทพ”
“โอ้? พวกเจ้าก็รู้จักวิธีนี้หรือ? ดูแล้ว ข้ามาคราวนี้เป็นการกระทำที่ไม่จำเป็นจริงๆ ”
“ใช่ที่ใดกัน? ” ซูจิ่นซีรีบพูด “ท่านก็รู้ ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถหลอมยาวิเศษชนิดนี้ได้ แม้พวกเราจะฝึกฝนการหลอมยา ทว่าการหลอมให้เป็นยาวิเศษนั้น ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้โดยง่าย”
“เด็กน้อย เจ้าก็ฉลาดเหมือนกัน”
จิ่วหรงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะงอนิ้วมือเคาะไปที่หน้าผากของซูจิ่นซีตามความเคยชิน ทันใดนั้นจิ่วหรงก็นึกขึ้นได้ว่าเยี่ยโยวเหยาก็อยู่ด้วยเช่นกัน จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นชี้ไปที่หว่างคิ้วของซูจิ่นซี
“จิ่วหรง ฟังจากความหมายในคำพูดของท่าน ท่านสามารถหลอมยาวิเศษนี้ได้ใช่หรือไม่? ”
จิ่วหรงยังคงยกยิ้มมุมปากด้วยความอ่อนโยน เขาไม่ตอบคำถามของซูจิ่นซี แต่ถามกลับไปว่า “ในเมื่อรู้วิธีนี้ตั้งแต่แรก ยังให้คนเชิญข้ามาอีก คิดว่าเจ้าคงเตรียมเตาหลอมไว้พร้อมแล้วกระมัง”
ใบหน้าของซูจิ่นซีสงบนิ่ง นางโบกมือ ทันใดนั้นเตาหลอมใบหนึ่งก็ออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น ปรากฏขึ้นมากลางห้อง
แม้วัสดุของเตาหลอมมองดูแล้วเหมือนโลหะทองแดงผสม แต่กลับมีสีเหลืองกว่าวัสดุทองแดงผสมอยู่เล็กน้อย ทั้งบริเวณโดยรอบของเตาหลอมยังแกะสลักเป็นรูปหงส์กางปีกทะยาน เตาหลอมใบนี้คือกระถางหงส์สัมฤทธิ์ที่ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ต้าฉินใช้ทดสอบในมหาวิหารธารามรกตก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?
“ใช้เตาหลอมสัมฤทธิ์ใบนี้ปรุงยาเป็นอย่างไร? ” ซูจิ่นซีถาม
จิ่วหรงมองเตาหลอมนั้น “กระถางหงส์สัมฤทธิ์เป็นสิ่งที่มีพลังหยิน แม้หมุดกร่อนรักจะมีฤทธิ์รุนแรง ทว่าเป็นของที่มีพื้นฐานหยินอ่อน หากใช้กระถางหงส์สัมฤทธิ์หลอมยาวิเศษเพื่อยับยั้งหมุดกร่อนรัก ย่อมไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว เกรงว่าในใต้หล้านี้คงไม่มีเตาหลอมใดดีกว่ามัน ศิษย์ข้า เจ้าได้กระถางหงส์สัมฤทธิ์มาได้อย่างไร เป็นความบังเอิญหรือ? ”
คาดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของตำหนักเสวียนปิงและมหาวิหารธารามรกต เป็นธรรมดาที่ซูจิ่นซีต้องเก็บความลับนี้เพื่อเยี่ยโยวเหยา
ดังนั้นนางจึงพูดว่า “ท่านอ๋องรับสั่งให้คนไปตามหามัน”
จิ่วหรงไม่ได้ถามอันใดอีก
“ยาสมุนไพร เลือดของสัตว์เทพ และเตาหลอมยา ทุกอย่างมีครบแล้ว ทว่ายังขาดสิ่งของอย่างหนึ่ง”
มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป ทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญ ทว่าสิ่งนั้นได้มาไม่ง่าย นั่นคือเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิง
แววตาซูจิ่นซีค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เยี่ยโยวเหยาเดินมาด้านหน้าและจับมือซูจิ่นซีไว้
“วางใจ ยังมีข้าอยู่”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นสบตาเยี่ยโยวเหยาเข้าพอดี
นางรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาคิดจะทำอันใด ทว่าไม่ได้เด็ดขาด!
หากต้องการเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิง จะต้องกลับไปที่ตำหนักเสวียนปิง
ทว่าฝีมือของฮูหยินปิงจีและกลไกต่างๆ ในตำหนักเสวียนปิงนั้น ซูจิ่นซีเคยพบเห็นมาด้วยตนเองแล้ว
แม้เยี่ยโยวเหยาจะไปยังตำหนักเสวียนปิงด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ก็ยังต้องพบกับความยากลำบากอย่างมากกว่าจะออกมาได้ นับประสาอะไรกับสถานการณ์เช่นนี้?
นางไม่ยอมให้เขาไปเสี่ยงอันตรายแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็จับมือเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา ท่านเคยรับปากหม่อมฉัน ก่อนที่อาการบาดเจ็บของท่านจะหายดี ท่านจะใช้พลังภายในไม่ได้”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา พลางมองซูจิ่นซีด้วยความรักใคร่ “วางใจเถิด ข้ายังปรารถนาจะอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่า ดังนั้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปง่ายๆ ”
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีจะมีสติตั้งใจฟังคำพูดของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร?
นางจับมือเยี่ยโยวเหยาแน่น เกรงว่าหากปล่อยมือจากเยี่ยโยวเหยาแล้ว เขาจะรีบตรงไปยังตำหนักเสวียนปิงในทะเลตงไห่ทันที
ทันใดนั้น ด้านนอกประตูก็มีเสียงของจิ้นหนานเฟิง หัวหน้าองครักษ์เงาของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้น
เยี่ยโยวเหยาเปิดประตูเดินออกไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกลับเข้ามา
“เป็นอย่างไร? ” ซูจิ่นซีถาม
“กลับกันก่อน! ”
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อเห็นท่าทีเคร่งขรึมของเยี่ยโยวเหยา จึงไม่ถามอันใดให้มากความ
“จิ่วหรง เช่นนั้นพวกเรากลับก่อน เรื่องเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงนั้น… พวกเราค่อยปรึกษากันภายหลัง ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด หากต้องการอันใดเพิ่มเติมก็ให้บอกอวี้เอ๋อร์”
จิ่วหรงพยักหน้า ซูจิ่นซีจึงไม่รอช้า รีบออกจากเรือนรับรองพร้อมกับเยี่ยโยวเหยาและเดินทางตรงกลับจวนโยวอ๋องทันที
พ่อบ้านออกมาต้อนรับอยู่ที่ประตูจวนโยวอ๋อง
เยี่ยโยวเหยาเพิ่งลงจากรถม้าก็ถามว่า “คนอยู่ที่ใด! ”
“ทูลท่านอ๋อง ให้พักอยู่ในจวนแล้วขอรับ หมอเทวดาหวามาดูอาการแล้ว นับว่าไม่อันตรายถึงชีวิต”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
พ่อบ้านไม่รอช้า รีบเดินนำหน้าพาเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีตามเข้าไปในเรือน
ห้องในเรือนคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเพิ่งเดินเข้าประตูมา หญิงสาวที่นอนบาดเจ็บอยู่บนเตียงก็พยายามลงจากเตียงเพื่อทำความเคารพเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี
“เมี่ยวอวี่คำนับนายน้อยและฮูหยินน้อย”
“เกิดอันใดขึ้น? ” เยี่ยโยวเหยาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมี่ยวอวี่สอดมือเข้าไปในอกเสื้อด้วยความยากลำบาก และหยิบขวดแก้วลายครามใบหนึ่งออกมายื่นให้เยี่ยโยวเหยา
ระบบถอนพิษส่งสัญญาณแจ้งเตือน ‘ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด’
ซูจิ่นซีพลันขมวดคิ้ว
เยี่ยโยวเหยาไม่ขยับตัว ซูจิ่นซีจึงเดินมาข้างหน้าและรับขวดแก้วนั้นไว้
“นี่คือเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงหรือ? ”
เมี่ยวอวี่พยักหน้า
เยี่ยโยวเหยาคาดไม่ถึงว่าเมี่ยวอวี่จะนำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงมาให้ จากความสามารถของนาง ไม่มีทางเข้าใกล้สัตว์เทพซื่อฉิงและนำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงมาได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางนำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงออกมาจากตำหนักเสวียนปิงได้อย่างไร
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เจ้านำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงมาได้อย่างไร? ”
เมี่ยวอวี่บาดเจ็บสาหัส ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ น้ำเสียงของนางขาดช่วงเป็นระยะ ทว่ายังคงพยายามตอบคำถามของเยี่ยโยวเหยา
“ทูล… ทูลนายน้อย เลือดสัตว์เทพซื่อฉิงนี้ ไม่ใช่… ไม่ใช่บ่าวเป็นคนทำ แต่เป็น… แต่เป็นคุณหนูหนานกง”
หนานกงลั่วอวิ๋น??
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ก่อนหน้านี้หนานกงลั่วอวิ๋นถูกฮูหยินปิงจีคุมขังอยู่ที่คุกนรก ตอนที่เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีผ่านด่านของมหาวิหารธารามรกตจึงได้ช่วยนางออกมา ต่อมานางก็ถูกองครักษ์เงาพาไปที่วิหารวิญญาณ
หนานกงลั่วอวิ๋นถูกฮูหยินปิงจีทำลายวรยุทธ์ ตัดเส้นเอ็นทั้งร่าง ทั้งยังถูกหนอนพิษในคุกนรกทำร้ายจนสาหัส เพียงคิดจะออกจากวิหารวิญญาณก็เป็นเรื่องยากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปเอาเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงที่ตำหนักเสวียนปิง
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?