สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 14 ตอนที่ 391 เจ้าเหยียบย่ำหัวใจข้า
“เมี่ยวอวี่ ก่อนหน้านี้หนานกงลั่วอวิ๋นถูกคนของท่านอ๋องนำตัวไปที่วิหารวิญญาณ นางออกมาจากวิหารวิญญาณได้อย่างไร กลับไปที่ตำหนักเสวียนปิงได้อย่างไร และนำเลือดของสัตว์เทพออกมาได้อย่างไร? ” ซูจิ่นซีถามเมี่ยวอวี่
เมี่ยวอวี่ไม่ได้รีบตอบคำถามของซูจิ่นซี ทว่านางหันไปมองที่เยี่ยโยวเหยาแล้วจึงตอบว่า “คุณหนูหนานกงถูกคุณชายใหญ่ฉินนำตัวกลับตำหนักเสวียนปิงเจ้าค่ะ”
ฉินเทียนพาหนานกงลั่วอวิ๋นกลับไปตำหนักเสวียนปิง
ซูจิ่นซีจำได้ว่าก่อนหน้านี้ฉินเทียนเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด ทั้งยังมีสถานะพิเศษ
จากคำพูดของเมี่ยวอวี่ ซูจิ่นซีจึงสัมผัสได้ถึงข้อมูลบางอย่างที่ถูกปิดบังเอาไว้
นางชำเลืองมองเยี่ยโยวเหยา
ท่าทีของเยี่ยโยวเหยาสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาคาดการณ์เรื่องนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว ซูจิ่นซีจึงไม่พูดอันใด ทำเพียงเดินมาตรวจชีพจรให้เมี่ยวอวี่
อย่างไรเสียซูจิ่นซีก็คือเจ้านาย เมี่ยวอวี่มีฐานะเป็นบ่าว นางมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้ายกย่อง พลางส่งเสียงเรียกแผ่วเบาว่า “ฮูหยินน้อย… ”
ซูจิ่นซีตรวจชีพจรอย่างสงบ “แม้จะมีอาการบาดเจ็บสาหัสมาก ทว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้หมอเทวดาหวาได้ให้ยาดีมีประสิทธิภาพสูงแก่เจ้า คาดว่ารักษาตัวประมาณครึ่งเดือนก็คงดีขึ้น”
“ขอบคุณฮูหยินน้อย… ” เมี่ยวอวี่คำนับซูจิ่นซีด้วยความเคารพ
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใดอีก และเดินออกไปพร้อมเยี่ยโยวเหยา
เมื่อเดินออกจากประตู คนหนึ่งเดินไปทางเรือนชิงโยว ส่วนอีกคนกำลังจะออกจากจวน
ซูจิ่นซีต้องการออกจากจวน “ท่านอ๋องกลับไปก่อนเถิด! หม่อมฉันจะนำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงไปให้จิ่วหรง ตอนนี้สมุนไพรที่ใช้หลอมยาถอนพิษมีครบแล้ว หากรีบนำไปให้ก็จะหลอมยาถอนพิษออกมาได้เร็วและกำจัดหมุดกร่อนรักในตัวของท่านอ๋องได้เร็วยิ่งขึ้นเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนจะดึงมือซูจิ่นซีให้เดินไปทางเรือนชิงโยว “ซีซี ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าจึงรีบเร่งถอนพันธะของหมุดกร่อนรักในตัวข้า! ”
คำพูดของเยี่ยโยวเหยาฟังดูมีนัยแอบแฝง แก้มของซูจิ่นซีแดงระเรื่อไปชั่วขณะ นางพูดหยอกเย้าว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นเพคะ! หม่อมฉัน… หม่อมฉันทนไม่ได้ที่ท่านอ๋องต้องทนทุกข์ทรมานจากหมุดกร่อนรัก”
“ใช่หรือ? ”
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซี ทั้งยังเผยรอยยิ้มมีเลศนัย
ชัดเจนว่าเขาคิดอย่างไรจึงพูดออกไปเช่นนั้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด แก้มของซูจิ่นซีจึงแดงก่ำมากยิ่งขึ้น ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดจนไม่สามารถพูดออกมาได้ นางจึงก้มหน้าลงโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ
แสงอาทิตย์เจิดจ้าดั่งเปลวเพลิง สว่างไสวทั่วท้องฟ้า
ในจวนโยวอ๋อง ท้องฟ้ายามอาทิตย์ทอแสงและยามอาทิตย์อัสดงเหนือตำหนักฝูอวิ๋นนั้น นับเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด ราวกับรัศมีของสวรรค์ชั้นเก้า แสงนั้นพลิ้วไหวอย่างไร้ที่สิ้นสุด มวลหมู่เมฆสว่างเรืองรอง ความสุขปรากฏทุกหนทุกแห่ง
ภายใต้แสงสว่าง เยี่ยโยวเหยาในชุดคลุมสีดำให้ความรู้สึกงดงาม เส้นผมยาวคลุมไหล่ สูงส่งไม่มีผู้ใดเทียบได้ เขาเดินมาด้านหน้า จับจูงมือซูจิ่นซีที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวสง่างามให้เดินตามมาด้านหลัง
แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล แสงสว่างเปรียบดั่งการชะล้าง เหล่านกเสวียนบินวนโดยรอบ ราวกับโลกและสวรรค์เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
“เยี่ยโยวเหยา… ”
ซูจิ่นซีกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหลัง
เยี่ยโยวเหยาเหมือนจะเดาได้ว่าซูจิ่นซีจะพูดอันใด “ทานอาหารเป็นเพื่อนข้าก่อน เมื่อทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปส่งพร้อมกับอัคคีศักดิ์สิทธิ์”
ซูจิ่นซีเพิ่งนึกได้ว่าอัคคีศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ที่เยี่ยโยวเหยา ก่อนหน้านี้นางลืมมอบอัคคีศักดิ์สิทธิ์ให้จิ่วหรงไปด้วย
การใช้กระถางหงส์สัมฤทธิ์หลอมยา เกรงว่าไม่สามารถใช้ไฟธรรมดาทั่วไปได้ อัคคีศักดิ์สิทธิ์จึงจะเหมาะกับกระถางหงส์สัมฤทธิ์มากที่สุด
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจก็คือ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะนำอัคคีศักดิ์สิทธิ์และเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงไปมอบให้จิ่วหรงด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดดูแล้ว ที่เยี่ยโยวเหยาทำเช่นนี้ บางทีอาจมีเหตุผลของเขา แม้นางจะเดาความคิดของเยี่ยโยวเหยาไม่ออก ทว่าระหว่างพวกเขาคงมีเรื่องที่จำเป็นต้องคุยกัน ดังนั้นนางจึงไม่ไปก้าวก่าย
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเป็นฝ่ายจัดการ ซูจิ่นซีก็วางใจอย่างมาก
นางจึงนำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงมอบให้เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยารับมาโดยยังคงจับมือซูจิ่นซี จากนั้นคนหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลังไปยังเรือนชิงโยว
ซูจิ่นซีตัวเล็ก จังหวะย่างก้าวย่อมสั้นกว่าเยี่ยโยวเหยา นางจึงเดินตามหลังเยี่ยโยวเหยาช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ
ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ดูไม่ผิดแปลกอันใด ตรงกันข้าม มันกลับเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างมาก
“เยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่เมี่ยวอวี่เรียกฉินเทียนว่าคุณชายใหญ่ฉิน เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินปิงจีใช่หรือไม่? ”
“อืม! ”
“อ๋อ! ฮูหยินปิงจีเป็นแม่บุญธรรมของท่านอ๋อง เช่นนั้นฉินเทียนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน”
“อืม! ”
ซูจิ่นซีถามเยี่ยโยวเหยามาตลอดทางด้วยแววตาสดใส เยี่ยโยวเหยาก็ตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา
“ยังมี… ฉินเทียน… เขาน่าจะชอบหนานกงลั่วอวิ๋นใช่หรือไม่? ”
ไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงปิดบังเยี่ยโยวเหยาและแอบพาหนานกงลั่วอวิ๋นกลับไปที่ตำหนักเสวียนปิง?
คงเป็นหลังจากที่หนานกงลั่วอวิ๋นถูกส่งตัวไปยังวิหารวิญญาณเป็นแน่ เขาเห็นวรยุทธ์ของนางถูกทำลาย เส้นเอ็นทั่วร่างกายถูกตัดขาด ทั้งยังถูกหนอนโลหิตพิษในคุกนรกทำร้ายจนเสียโฉม ภายในใจเขาคงทนรับไม่ไหว จึงพาหนานกงลั่วอวิ๋น กลับตำหนักเสวียนปิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากฮูหยินปิงจี
ขณะที่ซูจิ่นซีถามคำถามนี้ นางตั้งใจเอียงศีรษะสังเกตใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาอย่างละเอียด
นึกไม่ถึงว่าใบหน้าของบุรุษผู้นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขายังคงตอบรับเพียงคำเดียวว่า ‘อืม! ’
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีราวกับมีตาทิพย์ นางมองเห็นเยี่ยโยวเหยาผู้นี้กำลังถูกสวมเขา ทั้งบุรุษผู้นี้ยังมีความสุข ไม่มีท่าทีเดือดร้อนอันใด
ซูจิ่นซีเงียบไปครู่หนึ่ง พลางแอบบ่นพึมพำอยู่ในใจ นึกไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะหยุดเดินอย่างกะทันหันและหันมาหานาง
ซูจิ่นซีที่กำลังก้มศีรษะครุ่นคิดอยู่นั้น จึงชนเข้ากับหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาที่หยุดชะงักโดยไม่มีการเตือน
ซูจิ่นซีตั้งสติกลับมา รีบถอยหลังไปสองก้าวเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหาง
เยี่ยโยวเหยาดึงมือซูจิ่นซีมากุมไว้ราวกับกำลังล่าเหยื่อ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและค่อยๆ โน้มตัวลงถามซูจิ่นซี “ซีซี เจ้ากำลังคิดอันใด? ”
“ไม่… ไม่มีอันใดเพคะ ฮิ ฮิ ท่านอ๋องหยุดเดินกะทันหันอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง หม่อมฉัน… หม่อมฉันมองไม่เห็น จึงเหยียบเท้าท่านอ๋องเพคะ”
“เจ้าเหยียบเท้าของข้าหรือ! ”
หืม? หรือว่าเป็นเท้าของผู้อื่น?
แม้ไม่ได้ดูอย่างละเอียด ทว่าซูจิ่นซีมั่นใจว่าเมื่อครู่นางเหยียบสิ่งของบางอย่างที่นุ่มๆ นั่นคือเท้าของเยี่ยโยวเหยา!
เพื่อยืนยันอีกครั้ง ซูจิ่นซีจึงก้มหน้าลงตั้งใจมองไปที่เท้าของเยี่ยโยวเหยา กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะใช้นิ้วมือจับที่คางของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา รั้งใบหน้าของนางขึ้นมาสบตา
ซูจิ่นซีพบว่า แม้จะไม่แน่ชัดว่าเกิดอันใดขึ้น แต่นางรู้สึกว่าวันนี้เยี่ยโยวเหยามีบางอย่างผิดปกติ
ราวกับ… ดวงตาคู่นั้นโดดเดี่ยวลึกซึ้ง ทำให้คนมิอาจคาดเดาได้ แววตานั้นแฝงไว้ซึ่งอารมณ์บางอย่าง ทั้งยังมีความเย้ายวนอย่างที่ไม่ใช่ตัวเขา
ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นเยี่ยโยวเหยาที่เป็นเช่นนี้มาก่อน เมื่อนางถูกรั้งเข้ามาให้สบตากับเยี่ยโยวเหยา หัวใจของนางพลันระเบิดออกกลายเป็นเสียงดังอื้ออึง
อย่างไรก็ตาม เยี่ยโยวเหยาพูดประโยคหนึ่งด้วยความนิ่มนวล ทว่าราวกับพายุฝนฟ้าคะนองถาโถมพุ่งเข้าใส่หัวใจของซูจิ่นซี ทำให้นางตกตะลึงจนแทบหมดสติ
ในตอนที่ซูจิ่นซีไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็หรี่ตาลงจ้องมองซูจิ่นซีแล้วพูดว่า “ซีซี… ”
“อืม… ”
“เจ้า… เหยียบย่ำหัวใจของ… ข้า! ”
ตึก…
ซูจิ่นซีโซเซถอยหลังติดต่อกันถึงสามก้าวโดยไม่ผ่อนแรง
หลังจากนั้นจึงเงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า ท่าทีเช่นนั้นเป็นความซับซ้อนที่อธิบายไม่ถูก