สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 14 ตอนที่ 402 ล้มเลิกกลางคัน
ซูจิ่นซีอดหันไปมองเยี่ยโยวเหยาที่โต๊ะทรงอักษรไม่ได้ นางเห็นว่าเยี่ยโยวเหยายังคงหมกมุ่นอยู่กับงานราชสาส์น
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ว่า ที่นางสามารถได้ยินความเคลื่อนไหวนอกเรือนชิงโยว เป็นเพราะคุณสมบัติของอาคมกำไลปี่อั้น ภายในตำหนักฝูอวิ๋นป้องกันเสียงรบกวนได้ดีมาก ในสถานการณ์ปกติย่อมไม่อาจได้ยินเสียงที่อยู่ด้านนอกเรือนชิงโยว
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังลังเลว่าควรรายงานสถานการณ์ด้านนอกให้เยี่ยโยวเหยาทราบดีหรือไม่ ทันใดนั้นเสียงของจิ้นหนานเฟิงหัวหน้าองครักษ์ก็ดังขึ้นจากทางด้านนอกเสียก่อน
“ท่านอ๋อง! ”
“เข้ามา! ”
จิ้นหนานเฟิงเดินเข้าประตูมา “ท่านอ๋อง แม่นางเหม่ยเจียอยู่นอกเรือน ไม่ยอมไปที่ใด นางบอกว่าเฉินไท่เฟยทรงประชวรพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงจัดการราชสาส์น ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของจิ้นหนานเฟิง
อย่างไรก็ตาม จิ้นหนานเฟิงอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยามาระยะหนึ่งแล้ว เขาย่อมเข้าใจอุปนิสัยของเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างดี ทั้งยังเข้าใจความหมายของการกระทำที่ไร้การตอบสนองของเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นจิ้นหนานเฟิงจึงเดินออกประตูไปและปิดประตูตำหนัก
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางมีท่าทีเป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดจึงเดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยา
“จัดระเบียบเรียบร้อยแล้วหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาเงยศีรษะขึ้นมาถาม
“อืม! ”
เยี่ยโยวเหยารั้งมือซูจิ่นซีให้มานั่งข้างตนเอง
เขาไม่ได้ปิดบังเนื้อหาราชสาส์นกับซูจิ่นซี ต้องรู้ว่า สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าซูจิ่นซีทั้งหมดล้วนเป็นความลับที่สำคัญของราชวงศ์ฉิน มีเพียงผู้ที่รับผิดชอบและเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่ล่วงรู้ กระทั่งฮูหยินปิงจีก็ไม่ทราบเนื้อหาเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้แอบมอง นางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะของเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาดู
ที่ด้านนอก เว่ยเหม่ยเจียและพ่อบ้าน รวมถึงเหล่าองครักษ์ยังคงโต้เถียงกันเสียงดัง เยี่ยโยวเหยาไม่ได้สนใจเฉินไท่เฟย ซูจิ่นซีก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ นางจึงปรับอาคมกำไลปี่อั้นให้มีความถี่ระดับต่ำสุด
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเยี่ยโยวเหยาก็จัดการราชสาส์นทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาเห็นหนังสือที่อยู่ในมือของซูจิ่นซีเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทหาร จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ซีซี เจ้าสนใจเรื่องของพิชัยสงครามด้วยหรือ? ”
ซูจิ่นซีวางหนังสือที่อยู่ในมือลง “ไม่ถือว่าสนใจนักเพคะ เพียงแต่ในห้องของท่านอ๋อง นอกจากหนังสือเหล่านี้แล้วก็ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่หม่อมฉันสนใจ จึงทำได้เพียงดูผ่านๆ เท่านั้นเพคะ”
“ดูเหมือนข้ากระทำผิดต่อซีซีแล้ว ซีซีชอบอ่านหนังสือแบบใด? เดี๋ยวข้าจะให้จิ้นหนานเฟิงจัดเตรียมไว้หลายเล่มหน่อย”
ตอนที่ซูจิ่นซีเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท นอกจากหนังสือเฉพาะด้านที่เรียนแล้ว หนังสือที่ซูจิ่นซีอ่านมากที่สุดก็คือหนังสือแนวประวัติศาสตร์และนิยายรัก
ทว่าตอนนี้ หากให้อ่านหนังสือเฉพาะด้านที่เรียนมาก็รู้สึกเหนื่อยพอแล้ว ส่วนนิยายรัก… แม้ยังอ่านได้บ้าง ทว่านางจินตนาการไม่ออกว่าตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยาที่มีบรรยากาศเคร่งขรึมเช่นนี้ จะมีหนังสือนิยายแนวความรักได้อย่างไร ดังนั้นก็ช่างเถิด!
ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อย “แบบใดก็ได้เพคะ เพียงท่านอ๋องโปรดปรานก็พอแล้ว”
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงเรียบเฉยตามปกติ จากนั้นจึงไม่คุยเรื่องนี้ต่อ
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด! ไปตำหนักหนานย่วนกับข้า! ”
แท้จริงแล้ว ใช่ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการพบเฉินไท่เฟย ทว่าเขาไม่ได้รีบร้อนถึงเพียงนั้น
“เพคะ! ”
ซูจิ่นซีตอบรับและเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋น เพื่อไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนอวิ๋นไค
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ลวี่หลีช่วยซูจิ่นซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีเหลืองอ่อน เมื่อเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีก็เดินออกไป
เยี่ยโยวเหยานั่งรอที่โต๊ะหินหน้าประตูเรือนอวิ๋นไคอยู่ก่อนแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าสีดำขลับ ภายใต้ท้องฟ้าที่ส่องประกาย เยี่ยโยวเหยายังคงมีท่าทางสูงศักดิ์เย็นชาและหล่อเหลา
ซูจิ่นซีจ้องมองด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้น นางก็หวนนึกถึงตอนไปพบเฉินไท่เฟยที่ตำหนักหนานย่วนครั้งแรก
วันนั้น หลังจากที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วและเดินออกจากประตูเรือน เยี่ยโยวเหยาก็เป็นดังเช่นวันนี้ เขาสวมเสื้อผ้าสีดำขลับนั่งรอนางอยู่ตรงนั้น
ครานั้น เยี่ยโยวเหยามีท่าทีเคร่งขรึมเย็นชา ซูจิ่นซียังรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ ทว่าวันนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว แม้ยังคงมีระยะห่างระหว่างพวกเขา ทว่าระยะห่างระหว่างหัวใจกลับใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ท่านอ๋อง… ”
ซูจิ่นซีเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เยี่ยโยวเหยาเงยหน้าขึ้น ท่าทีดูเหมือนตกใจเล็กน้อย หลังจากนั้นที่หางตาพลันปรากฏความนุ่มนวล เขายกยิ้มมุมปากพลางยื่นมือไปทางซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี มาทางนี้! ”
ซูจิ่นซียกชายกระโปรงขึ้น ก้าวลงบันไดทีละก้าว นางเดินไปยังเบื้องหน้าของเยี่ยโยวเหยาและวางมือลงบนฝ่ามือของเขา
เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีเดินไปด้านหน้า ซูจิ่นซีเดินตามหลัง ย่ำรอยเท้าของเยี่ยโยวเหยาที่เดินไปทีละก้าว
ร่างกายสูงใหญ่และแผ่นหลังกว้างของเขา ไม่เพียงปิดบังเส้นทางด้านหน้าของซูจิ่นซีเท่านั้น ทว่ายังป้องกันลมหนาวที่พัดผ่านร่างกายเล็กๆ ของนางอีกด้วย
ซูจิ่นซียิ่งเดิน แววตายิ่งแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
“เสด็จพี่! ”
ทันทีที่เห็นเยี่ยโยวเหยา เว่ยเหม่ยเจียก็รีบเดินเข้ามา นางต้องการยื่นมือออกมารั้งแขนของเยี่ยโยวเหยา ทว่าขณะที่มือของนางอยู่ห่างจากเยี่ยโยวเหยาไม่ถึงสามชุ่น ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ดึงแขนหลบ เว่ยเหม่ยเจียจึงคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ดวงตาทั้งคู่พลันปรากฏความเสียใจ
จากนั้นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีก็จับมือกันต่อหน้านาง ร่างกายของเว่ยเหม่ยเจียพลันแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง นางรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี ทั้งยังมีท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมกัน ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียยิ่งเผยความเจ็บปวดและอิจฉาริษยา
แม้นางจะรู้ว่าเสด็จพี่มีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อซูจิ่นซี ทว่าในยามปกติ หากมองไม่เห็นก็ไม่เป็นอันใด แต่ทุกครั้งที่เห็นด้วยตาตนเองว่าเยี่ยโยวเหยาดูแลและปฏิบัติต่อซูจิ่นซีเป็นพิเศษ หัวใจของนางก็ราวกับถูกมีดนับหมื่นเล่มทิ่มแทง
เหตุใด… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
เสด็จพี่มักมีท่าทีเย็นชากับนาง ทว่านางยังคงรักเขา นางหลงใหลเขามาโดยตลอด ทว่าเขาไม่เคยชายตามองแม้แต่น้อย แล้วซูจิ่นซี สตรีนางนี้มีดีที่ใดกัน นางทำอันใด? เสด็จพี่จึงโปรดปรานได้ถึงเพียงนี้
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม”
ดวงตาของเว่ยเหม่ยเจียจับจ้องไปที่มือของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่วิธีที่ดี นางจึงจงใจส่งเสียงเตือน
เว่ยเหม่ยเจียพลันได้สติ และรู้ว่าตนเองกระทำเรื่องเสียมารยาท จึงหันหน้าหนี
นางพูดด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความกังวล “เสด็จพี่ พี่สะใภ้ ในที่สุดเหม่ยเจียก็ได้พบพวกท่าน เสด็จป้าทรงประชวรหนัก แทบจะทนไม่ไหวแล้วเพคะ พวกท่านรีบไปดูเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยาทำราวกับเว่ยเหม่ยเจียเป็นอากาศธาตุไร้ตัวตน เขาจูงมือพาซูจิ่นซีออกนอกจวนโดยเดินอ้อมเว่ยเหม่ยเจียไป
เว่ยเหม่ยเจียดึงแขนซูจิ่นซี พลางอ้อนวอน “พี่สะใภ้ จะพูดอย่างไร เสด็จป้าก็เป็นแม่สามีของท่าน! เสด็จพี่มีภารกิจมากมายย่อมไม่มีเวลา จึงไม่อาจดูแลเสด็จป้าได้ ทว่าท่านจะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้! ก่อนมาพบท่านกับเสด็จพี่ เหม่ยเจียได้เชิญท่านหมอไปตรวจดูอาการแล้ว ท่านหมอบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกวางยาพิษ พี่สะใภ้มีความเชี่ยวชาญด้านพิษ เหม่ยเจียขอร้องท่าน ท่านช่วยไปดูอาการเสด็จป้าด้วยเถิด! เหม่ยเจียคุกเข่าขอร้องท่าน”
เว่ยเหม่ยเจียพูดด้วยท่าทีจริงจัง นางคุกเข่าลงกับพื้นจริงๆ
เดิมที ฐานะของเว่ยเหม่ยเจียคือพระธิดาของเฉินไท่เฟย นางมีศักดิ์เทียบเท่าซูจิ่นซี จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่ต้องคุกเข่าให้ซูจิ่นซี
เว่ยเหม่ยเจียคุกเข่าครั้งนี้ อย่างไรเสีย ซูจิ่นซีก็ควรเห็นแก่ฐานะของนาง อีกทั้งสายตาของผู้คนมากมายในจวนโยวอ๋อง ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ซูจิ่นซีควรประคองเว่ยเหม่ยเจียให้ลุกขึ้น ไม่ควรปล่อยให้นางคุกเข่า
ทว่าซูจิ่นซีกลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามเยี่ยโยวเหยา และรับการคำนับจากเว่ยเหม่ยเจียไว้พอดี
เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกว่ามีสายตานับพันนับหมื่นจับจ้องมาที่นาง ทันใดนั้น นางก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ พวงแก้มพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางแสดงมาถึงขั้นนี้แล้ว ง้างคันธนูไปแล้วอย่างไรก็ต้องยิง ไม่มีเหตุผลให้ล้มเลิกกลางคัน นางทำได้เพียงแสดงบทบาทต่อไป
“พี่สะใภ้… ฮือ ฮือ… ”
ทำต่อไปให้ถึงที่สุด แสดงทั้งทีต้องให้สมจริง เว่ยเหม่ยเจียบีบน้ำตาด้วยท่าทีโศกเศร้า น้ำตาพลันไหลอาบสองแก้ม