สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 422 ไม่มีพลังยุทธ์จิ่วเซียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็พาเด็กจัดยาผู้หนึ่งเข้ามา
เด็กจัดยาเดินเข้ามายืนเบื้องหน้าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก่อนจะทำความเคารพด้วยท่าทางนอบน้อม และยื่นกล่องบรรจุยาใบหนึ่งให้ซูจิ่นซี
“พระชายา เจ้าสำนักสั่งให้กระหม่อมนำสิ่งนี้มามอบให้พ่ะย่ะค่ะ! ”
ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีได้ตรวจสอบส่วนประกอบยาในกล่องเรียบร้อยแล้ว จากวิธีการปรุงยาและองค์ประกอบต่างๆ ต้องเป็นยาชั้นเลิศแน่นอน ทว่ายังต้องเปิดดูให้ละเอียดอีกครั้ง
เมื่อได้เห็นยาวิเศษกับตาตนเอง ซูจิ่นซีจึงรู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
เวลานี้ ซูอวี้กับหมอเทวดาหวาที่ยังคงพักอยู่ภายในจวนโยวอ๋อง หลังจากได้ยินข่าวนี้จึงพากันเดินเข้ามา
เมื่อเห็นซูจิ่นซีตื่นเต้นจนดวงตาเป็นประกาย หมอเทวดาหวาจึงพูดเสียงต่ำว่า “พระชายา แม้จะหลอมยาวิเศษได้สำเร็จ ทว่ายังต้องเสวยยานี้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง พร้อมกับเดินพลังยุทธ์จิ่วเซียว ไม่เช่นนั้น ด้วยสภาพร่างกายของท่านอ๋องในเวลานี้ อาจไม่สามารถต้านทานพลังของยาวิเศษนี้ได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
คืนวันพระจันทร์เต็มดวง…
ทุกอย่างช่างราบรื่นเสียจริง วันนี้เป็นวันขึ้นสิบสี่ค่ำ หากเลยยามจื่อก็จะเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำพอดี ทั้งวันนี้ท้องฟ้ายังแจ่มใส เมื่อถึงเวลาค่ำจะต้องเห็นพระจันทร์เต็มดวงอย่างแน่นอน
ทว่าพลังยุทธ์จิ่วเซียวนี้…
ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เพิ่งรู้เรื่องหมุดกร่อนรัก ทั้งยังรู้วิธีการถอนพิษจากตำราโบราณ ซูจิ่นซีก็ได้แอบศึกษาเรื่องพลังยุทธ์จิ่วเซียว
แม้นางไม่เป็นวรยุทธ์ ทว่านางรู้ดีว่าพลังยุทธ์จิ่วเซียวนี้เป็นวิชาที่ใช้พลังภายในที่รุนแรง ทั้งยังเป็นวิชายุทธ์ที่ฝึกฝนได้ยากมากวิชาหนึ่ง
สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาที่รุนแรง เพราะพลังยุทธ์จิ่วเซียวแบ่งออกเป็นเก้าระดับขั้น ในสามระดับแรก ทุกครั้งที่ฝึกถึงระดับที่หนึ่ง ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสามส่วน จากนั้นเมื่อฝึกสำเร็จถึงขั้นที่สอง ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บหกส่วน และเมื่อฝึกสำเร็จถึงขั้นที่สาม ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บถึงเก้าส่วน
นอกจากนั้น ระยะเวลาในการฝึกฝนจนสำเร็จยังยาวนานยิ่งนัก คนทั่วไปที่พอมีความสามารถ หากต้องการฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่ง แทบต้องใช้เวลายี่สิบถึงสามสิบปี และมีบางคนที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิต ทว่าสำเร็จเพียงขั้นที่สามเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่สามารถฝึกฝนถึงขั้นที่สามได้ ต่อให้ฝึกฝนจนสำเร็จทั้งสองระดับ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด พลังภายในนี้ยังไม่อาจต่อกรได้แม้แต่ครึ่งหนึ่งของวิชากระบี่ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม หากเป็นคนที่มีวรยุทธ์และมีพรสวรรค์โดดเด่น กอปรกับทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก จนสามารถทะลุผ่านสามระดับแรกและก้าวเข้าสู่ลำดับขั้นถัดไป เช่นนั้นการฝึกฝนก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
ทุกครั้งที่ฝึกฝนสำเร็จหนึ่งขั้น กำลังภายในจะแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่า เมื่อฝึกฝนถึงขั้นที่ห้า พลังจะเพิ่มขึ้นยี่สิบเท่า ฝึกฝนถึงขั้นที่หก พลังจะเพิ่มขึ้นสามสิบเท่า… พลังจะเพิ่มขึ้นตามลำดับขั้น
วิชาที่ทรงพลังและรุนแรงเช่นนี้ ผู้ฝึกต้องมีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ผู้คนจำนวนมากต่างริษยา ทว่าทำได้เพียงเฝ้าฝันโดยไม่คิดลงมือ
ในประวัติศาสตร์ มีเซียนน้อยผู้หนึ่ง ได้ยินว่าตอนที่เขาอายุสิบห้าปีก็สามารถฝึกฝนขั้นที่สองได้สำเร็จ ถึงกระนั้น เมื่ออายุสี่สิบปีจึงฝึกฝนสำเร็จขั้นที่สาม สุดท้ายเมื่ออายุเจ็ดสิบปี ก็ฝึกฝนพลังยุทธ์จิ่วเซียวขั้นที่ห้าได้สำเร็จ เป็นเพียงผู้เดียวในใต้หล้า
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซี ซูอวี้ และหมอเทวดาหวาต่างอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้
ในตอนนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดที่ฝึกพลังยุทธ์จิ่วเซียวได้สำเร็จ!
แม้จะมีคนผู้หนี่งที่ฝึกวรยุทธ์ขั้นที่สามได้สำเร็จ และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ
อย่างไรก็ตาม หากต้องการหลอมละลายยาวิเศษนี้ จำเป็นต้องฝึกพลังยุทธ์จิ่วเซียวขั้นที่สามให้สำเร็จ
ควรทำอย่างไรดี?
หมอเทวดาหวาขมวดคิ้วจนกลายเป็นเลขแปด
“ช่วงนี้ กระหม่อมได้สอบถามผู้ที่อยู่ในยุทธภพบางคน แต่ยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดที่ฝึกพลังยุทธ์จิ่วเซียวได้สำเร็จ บางทีอาจมีผู้ใดหลุดรอดไปก็เป็นได้ พวกเราจะลองตามหาอีกครั้ง เช่นนั้น… ยาวิเศษนี้ ท่านอ๋องค่อยเสวยเดือนหน้าดีหรือไม่? ยังทันการณ์”
เดือนหน้า?
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากเยี่ยโยวเหยาต้องการเข้าหอกับซูจิ่นซี ยังต้องรอเดือนหน้า?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแผ่วเบา
ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “คืนนี้เถิด! ”
คืนนี้?
เป็นไปได้อย่างไร?
หมอเทวดาหวารีบห้ามปราม “ท่านอ๋อง ไม่ได้อย่างแน่นอน! ต่อให้ท่านไม่ได้บาดเจ็บตั้งแต่แรก ก็ไม่สามารถต้านทานพลังของยาวิเศษนี้ได้ ยิ่งตอนนี้ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บภายในจากอาการพิษหมุดกร่อนรักกำเริบ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเย็นชา ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดเกลี้ยกล่อม
เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าสงสัยในความสามารถของข้าหรือ? ”
หมอเทวดาหวาได้รับความกดดันจากท่าทางเย็นชาของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นเขาก็ลงไปคุกเข่ากับพื้น พลางพูดละล่ำละลักด้วยเนื้อตัวสั่นเทาว่า “ท่านอ๋อง… กระหม่อม… กระหม่อมมิกล้า… กระหม่อมมิกล้า”
แท้จริงแล้ว ไม่ได้มีเพียงหมอเทวดาหวา ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่า หากคืนนี้รีบเร่งทานยาวิเศษ คงไม่เหมาะสมจริงๆ
ทว่าตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากห้ามปราม มือของนางก็ถูกเยี่ยโยวเหยาจับไว้ เมื่อใช้ดวงตาข้างหนึ่งชำเลืองมอง จึงสบกับสายตาผ่อนคลายของเยี่ยโยวเหยาเข้าพอดี “เชื่อใจข้า! ”
แววตานั้น เป็นแววตาของสามีที่ขอร้องภรรยาให้วางใจ เป็นแววตาแข็งแกร่งของราชาผู้หนึ่งที่ต้องการให้คนที่ตนรัก คอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนเขา
ซูจิ่นซีมีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธ?
มีเหตุผลใดที่จะไม่เชื่อใจเยี่ยโยวเหยา?
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยโยวเหยาไม่เคยทำให้นางผิดหวัง
ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ซูจิ่นซีหันไปพยักหน้าให้เยี่ยโยวเหยา
จากนั้นจึงหันมาพูดกับซูอวี้ว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้ากับหมอเทวดาหวาไปเตรียมการ คืนนี้ท่านอ๋องจะเสวยยา”
ซูอวี้เชื่อฟังซูจิ่นซีอยู่แล้ว ยิ่งไม่คิดคัดค้านซูจิ่นซี ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงและช่วยพยุงหมอเทวดาหวาที่เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมา จากนั้นทั้งสองก็ออกไปเตรียมตัวพร้อมกัน
การใช้กำลังภายในเพื่อหลอมละลายยาวิเศษ สิ่งสำคัญที่สุดคือการไหลเวียนของลมปราณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงสถานที่ และยังคงอยู่ในเรือนชิงโยว
พ่อบ้านถอนกำลังคนบางส่วนออกจากเรือนชิงโยว เหล่าองครักษ์ของจิ้นหนานเฟิงก็ล่าถอยออกจากเรือนชิงโยวเช่นกัน
หมอเทวดาหวากับซูอวี้ได้จัดเตรียมยาสมุนไพรบำรุงและน้ำสะอาดที่ผ่านการบำบัดแล้ว
ในความเป็นจริง เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หมอเทวดาหวาได้แอบเตรียมยาสมุนไพรไว้บางส่วน เผื่อในกรณีที่เยี่ยโยวเหยาได้รับผลกระทบจากยาวิเศษ หลังจากได้รับยานี้ หากไม่มีพลังยุทธ์จิ่วเซียว ฤทธิ์ยาอาจตีกลับได้
แน่นอนว่าเรื่องนี้ หมอเทวดาหวาไม่กล้าพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน ยิ่งไม่อาจให้เยี่ยโยวเหยาล่วงรู้
ยามโหย่ว (17.00-19.00น.) ยามซวี (19.00-21.00น.) ยามไฮ่ (21.00-23.00น.) ยามจื่อ (23.00-01.00น.)…
เมื่อดวงจันทร์ค่อยๆ ปรากฏเป็นพระจันทร์เต็มดวงสมบูรณ์ หัวใจของทุกคนต่างบีบรัด โดยเฉพาะหมอเทวดาหวาที่รู้สึกประหม่าและหายใจติดขัดเล็กน้อย
เนื่องจากครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตคน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งชีวิตนั้นยังเป็นของบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน
ซูจิ่นซีจับมือเยี่ยโยวเหยา นางจับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนฝ่ามือเปียกชื้นเล็กน้อย
“วางใจเถิด ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป” เยี่ยโยวเหยาพูด
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาอย่างเงียบงัน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางจึงยกยิ้มมุมปาก แววตาพลันสดใส
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ซูจิ่นซีจะอยู่ข้างกายท่านเสมอ”
เยี่ยโยวเหยาคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะพูดคำเหล่านี้ออกมา
ช่างเป็นคำพูดที่กล้าหาญและรักใคร่ลึกซึ้ง
การแสดงออกของนางแตกต่างจากสตรีอื่นจริงๆ
หลังจากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ซูจิ่นซีเหลือบมองซูอวี้ ซูอวี้จึงนำยาวิเศษในกล่องมอบให้เยี่ยโยวเหยา
เวลานี้ ทุกคนรวมทั้งซูจิ่นซีต่างถอยห่างออกไปราวหนึ่งจั้ง
เยี่ยโยวเหยาหยิบยาวิเศษออกมาจากกล่องและถืออยู่ในมือ ซูอวี้รีบถอยห่างออกมาเช่นกัน
ตื่นเต้น ตึงเครียด และประหม่า…
บางที เยี่ยโยวเหยาในฐานะที่เป็นผู้กระทำคงไม่รู้สึกอันใด เขายังคงสงบนิ่ง อาจเป็นเพราะเขามีบุคลิกที่เคร่งขรึมและเงียบงันอยู่แล้ว
ทว่าทุกคนนอกจากเยี่ยโยวเหยา ต่างรู้สึกประหม่าจนหัวใจแทบหล่นลงมาที่ตาตุ่ม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อเยี่ยโยวเหยา พวกเขาจึงไม่กล้าหายใจแรง
ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างตื่นเต้น เยี่ยโยวเหยานำยาวิเศษใส่เข้าไปในปาก จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้นและหลับตาทั้งคู่
ทันใดนั้น…