สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 432 ขอให้ข้าดูแคว้นจงหนิงอีกสักครั้งเถิด
“แม่นางพิษน้อย… ”
“ขอให้ข้าดูแคว้นจงหนิงอีกสักครั้ง… ”
บางที นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่นางจะได้เห็นแคว้นจงหนิง
เมื่อหมุดกร่อนรักในร่างของเยี่ยโยวเหยาถูกกำจัดออกไปแล้ว เขาก็จะลืมทุกสิ่ง
ท้ายที่สุด แคว้นต่างๆ จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเยี่ยโยวเหยา ถึงเวลานั้น เมื่อแผนการใหญ่ของจักรวรรดิบรรลุ และสามารถรวมรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แคว้นจงหนิงจะอยู่ที่ใด?
ผู้ใดจะจดจำสถานที่เล็กๆ ที่เป็นดั่งหยดน้ำในมหาสมุทร เช่นเรือนชิงโยวในจวนโยวอ๋อง
ซูจิ่นซียืนนิ่งอยู่บนแท่นหินสูงตระหง่านราวกับรูปปั้นหินแกะสลัก จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายืนอยู่ด้านล่างอย่างเงียบงัน ไม่คิดเข้าไปรบกวน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบา ซูจิ่นซีจึงหันหลังกลับไปมองด้านล่าง เห็นเป็นมู่หรงอวิ๋นเกอกับจงเหมยจวงกำลังเดินมาหานาง
มู่หรงอวิ๋นเกอประสานมือคำนับสตรีที่อยู่ด้านบน “ขอบพระทัยพระชายาโยวอ๋องที่ช่วยชีวิตในครั้งนี้”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเย้ยหยันตนเอง นางเดินลงจากแท่นหินพลางพูดว่า “ไม่มีพระชายาโยวอ๋องอีกต่อไปแล้ว” หลังจากพูดจบ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงเปลี่ยนคำพูดว่า “บางทีอาจจะมี ทว่าสุดท้ายคงไม่ใช่ข้า”
“โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน พระชายาโยวอ๋องอย่าได้ใส่พระทัยมากนัก ทุกอย่างบนโลกถูกลิขิตไว้แล้ว หากไร้วาสนาต่อกัน แม้จะอยู่ต่อหน้า ก็ยากพานพบ หากมีวาสนาต่อกัน แม้จะห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ก็ต้องมีสักวันที่ได้พบกันแน่นอน”
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอน นางเข้าใจเพียงว่าเป็นประโยคปลอบใจ จึงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรเรียกจงเหมยจวงเช่นไร ซูจิ่นซีก็พูดว่า “ฮูหยิน ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่? ”
“นางทานยาถอนพิษของพระชายาโยวอ๋องแล้ว สารพิษก็ถูกกำจัดออกไปจนหมด หากได้พักฟื้นสักระยะคงหายดี”
วิชาแพทย์กับพุทธศาสนามาจากแก่นเดียวกัน มู่หรงอวิ๋นเกอเข้าสู่ทางธรรมมาระยะหนึ่งแล้ว ย่อมเข้าใจวิชาแพทย์บ้างเล็กน้อย ซูจิ่นซีจึงไม่ถามให้มากความ
บุรุษในชุดสีขาวที่มีท่วงท่าสง่างามสูงศักดิ์ เดินเข้ามาหาซูจิ่นซี แม้ก่อนหน้านี้นางเคยได้พบเขาเพียงสองสามครั้ง ทว่ามองจากระยะไกล ซูจิ่นซีก็จำได้ว่าบุรุษผู้นี้คือมู่หรงฉี
มู่หรงฉีเดินเข้ามาใกล้และพยักหน้าให้นางเล็กน้อย เพื่อเป็นการทักทาย
มู่หรงฉีเร้นกายอยู่ในเงามืดตลอดเวลา สิ่งที่ซูจิ่นซีสนทนากับฮูหยินปิงจีก่อนหน้านี้ เขาได้ยินอย่างชัดเจน ทั้งยังรู้ด้วยว่า เมื่อซูจิ่นซีรับปากฮูหยินปิงจีแล้วว่าจะไปจากเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นนางไม่มีทางกลับไปยังแคว้นจงหนิงแน่นอน
“ไม่ทราบว่าแม่นางซูวางแผนต่อไปอย่างไร? ”
แววตาซูจิ่นซีปรากฏความเจ็บปวดลึกๆ “แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล คงมีสักที่ให้ข้าได้พักพิง”
มู่หรงฉีเหลือบมองมู่หรงอวิ๋นเกอที่กำลังประคองจงเหมยจวง “เกี่ยวกับสถานะของแม่นาง คิดว่าแม่นางคงพอจะทราบมาบ้าง หากแม่นางไม่ได้วางแผนจะไปที่ใด แคว้นหนานหลีอาจเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง ขอเพียงแม่นางยินยอม ตระกูลมู่หรงแห่งแคว้นหนานหลีจะเปิดประตูต้อนรับแม่นางเสมอ”
ไปแคว้นหนานหลี?
ทะเลตงไห่อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นหนานหลี เช่นนั้น นางก็จะอยู่ใกล้กับเยี่ยโยวเหยาใช่หรือไม่
ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะจากไป นางต้องจากไปโดยไม่หลงเหลือเยื่อใย
การห่วงหาอาลัยอาวรณ์ ไม่ใช่อุปนิสัยของซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซียังคงตอบรับตามมารยาท
นางยกยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณมาก! ”
มู่หรงอวิ๋นเกอและคนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบ พวกเขากำลังจะเดินจากไป ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าว มู่หรงอวิ๋นเกอก็หันหลังกลับมาและพูดอย่างระมัดระวังว่า “เรื่องเมืองเจียงหลิงในปีนั้น… ”
มู่หรงอวิ๋นเกอยังพูดไม่ทันจบ ซูจิ่นซีก็เอ่ยตัดบท “สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้น เวลานี้ไม่สำคัญแล้ว ตอนแรกในใจข้าคิดไม่ตก ต้องการสืบหาความจริงของการเสียชีวิตอย่างกะทันหันและน่าสลดของมารดา ทว่าตอนนี้… คนที่มีชีวิตอยู่ ย่อมสำคัญกว่าคนที่ตายไปแล้ว”
บางทีในร่างของซูจิ่นซีคงไม่ได้มีเพียงความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ทว่ายังมีความทรงจำของซูจิ่นซีในร่างปัจจุบันอีกด้วย ความทรงจำของทั้งสองกำลังพัวพันยุ่งเหยิง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงทำให้นางสับสนมากขึ้นไปอีก
ฝั่งหนึ่งเป็นมารดาของนาง อีกฝั่งหนึ่งเป็นคนที่นางรักและเทิดทูน
ทั้งสองฝั่งล้วนเป็นทางเลือกที่ยากลำบากสำหรับซูจิ่นซี
มู่หรงอวิ๋นเกอรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของซูจิ่นซี ขณะเดียวกันก็รู้สึกขุ่นเคือง ทั้งยังรู้สึกว่าสิ่งที่จงเหมยจวงทำเพื่อจงซีจือที่ตายไปแล้วกลับดูไร้ค่า เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเมืองเจียงหลิงเป็นความจริง เจ้ายังคิดว่าคนที่ตายไปแล้วไม่อาจเทียบได้กับคนที่มีชีวิตอยู่อีกหรือ? คนผู้นั้นคือมารดาของเจ้าไม่ใช่หรือ? ”
ซูจิ่นซียังมีท่าทีสงบนิ่ง ทว่าแววตาเรียบเฉยของนางกลับเผยให้เห็นความยึดมั่นลึกๆ ในใจ
“ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นในปีนั้น หากยังมีโอกาส ข้าต้องการให้เยี่ยโยวเหยาบอกเล่าความจริงทั้งหมดจากปากของเขาเอง”
ชั่วขณะนั้น มู่หรงอวิ๋นเกอมองไปยังสตรีงดงามที่มีบุคลิกแตกต่างจากคนปกติ ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นเกอก็เข้าใจราวกับมีใครเอาไม้มาเคาะบนศีรษะ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้คือซูจิ่นซี ไม่ใช่จงซีจือ และไม่ใช่คุณหนูผู้โง่เขลาไม่รู้ความของสกุลซูคนนั้น
บัดนี้นางมีสติปัญญาหลักแหลม มีความคิดเป็นของตนเอง และกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งยังมีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนยำเกรง
การตัดสินใจของนาง ผู้อื่นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
มู่หรงอวิ๋นเกอและคนที่เหลือไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงพยักหน้าอย่างเงียบงัน จากนั้นเขาจึงพยุงจงเหมยจวงที่ยังไม่ได้สติจากไป
ก่อนเดินจากไป มู่หรงฉียังเหลือบมองซูจิ่นซีด้วยความแปลกใจ
การชำเลืองมองนั้นว่องไวดั่งนกนางแอ่นบินล้อผิวน้ำ ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ และไม่มีผู้ใดพบเห็น
ทว่าในแววตากลับแฝงด้วยความลึกลับที่ยากอธิบาย ทอประกายแปลกประหลาด ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความคาดหวังเล็กๆ
แต่ละคนต่างทยอยเดินจากไป เหลือเพียงซูจิ่นซีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าสองคน โดยรอบบริเวณเริ่มเงียบสงัดและวังเวงอย่างเห็นได้ชัด
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพยายามสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ไม่ให้ซูจิ่นซีครุ่นคิดถึงเรื่องที่เจ็บปวด
“แม่นางพิษน้อย มิสู้กลับไปที่หุบเขาเทพโอสถกับพี่จุนก่อนเถิด! ที่นั่นมีสมุนไพรนับไม่ถ้วนให้เจ้าใช้สอย”
เมื่อเห็นซูจิ่นซีไม่ตอบสนอง จึงพูดเสริมอีกว่า “หากไม่ต้องการไปยังหุบเขาเทพโอสถ เจ้าจะไปที่อื่นก็ได้ แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ขอเพียงเจ้าต้องการไป พี่จุนจะไปกับเจ้า!”
ซูจิ่นซีราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “บุกน้ำลุยไฟ… เบื้องหน้าก็มีอยู่แห่งหนึ่ง จอมวายร้าย เจ้ากล้าบุกเข้าไปที่ชั้นสิบแปดของวิหารวิญญาณกับข้าหรือไม่? ”
บุกเข้าไปในถิ่นของเยี่ยโยวเหยา?
แน่นอนว่าจอมวายร้ายไป๋เฉ่าสนใจยิ่งนัก เขายกสองมือเห็นด้วย “ไม่มีปัญหา! ”
ซูจิ่นซีเดินไปยังทางเข้าวิหารวิญญาณ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเดินตามมาด้านหลังด้วยความยินดี เขาดึงแส้สีแดงเพลิงออกจากเอว พลางสะบัดไปมากลางอากาศเพื่อเปิดทางให้ซูจิ่นซี
“แม่นางพิษน้อย แท้จริงแล้ว พี่จุนไม่ได้ชื่อว่าจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ชื่อนี้ใช้เพื่อขู่ขวัญพวกหัวขโมยเท่านั้น ก่อนหน้าที่พี่จุนจะก่อตั้งหุบเขาเทพโอสถ พี่จุนมีชื่อที่น่าฟังและมีสง่าราศียิ่งนัก ชื่อว่าอู๋จุน ต่อไปเจ้าเรียกชื่อเดิมของพี่จุนก็ได้ อบอุ่นดี! ”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเรียกสักครั้ง เรียกให้พี่จุนฟังหน่อยสิ… ”
“เรียกสักครั้ง เรียกสักครั้ง! ”
“หากตอนนี้เจ้าไม่อยากเรียกก็ไม่เป็นไร รอให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นค่อยเรียกก็ได้ พี่จุนยินดี… ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดจ้อมากมาย ดูเหมือนจะพูดมากกว่าเมื่อก่อน
เขาถือแส้สีแดงเพลิงเดินวนเวียนอยู่รอบตัวซูจิ่นซี พลางพูดจ้อคนเดียวไม่หยุด
ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความเจ็บปวดของความรัก เขาเพียงไม่รู้ว่า เวลานี้ควรเคารพความเจ็บปวดภายในใจซูจิ่นซีอย่างไร
เขาไม่รู้ว่าควรปลอบใจซูจิ่นซีด้วยวิธีใดถึงจะดีที่สุด จึงได้ใช้วิธีเช่นนี้ พยายามหยอกล้อให้ซูจิ่นซีหัวเราะ เพื่อให้ซูจิ่นซีลืมเรื่องราวที่เจ็บปวดก่อนหน้านี้สักพัก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าการทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้เงาร่างสีแดงและสีเหลืองท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง เมื่อเทียบกับเสาหินเย็นเฉียบ ผนังหินเย็นยะเยือก และเปลวเพลิงที่ราวกับไม่มีวันดับสลายไปชั่วนิรันดร์ ดูอ้างว้างมากกว่าเดิม