สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 438 ตายแล้ว? ซูจิ่นซีเป็นผู้สังหาร
ท่ามกลางสายตาของทุกคน อู๋จุนทั้งตกใจและตึงเครียด ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘กรอบ’ ดังขึ้นอย่างชัดเจน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าสยดสยองราวกับหมูถูกเชือด
และเสียงดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ อีกสองสามครั้ง
ร่างของคนพาลลอยออกไปกระแทกโต๊ะเก้าอี้ กระแทกผู้คนจำนวนมากที่มุงดูเหตุการณ์ สุดท้ายก็พุ่งชนกำแพงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้น?
ฝูงชนต่างชำเลืองมองและร้องอุทาน ทันใดนั้น พวกเขาก็มองไปยังซูจิ่นซีราวกับกำลังมองปีศาจนอกโลก
อู๋จุนที่เป็นกังวลและตกใจ ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก ร่างของเขาหยุดชะงักกลางอากาศ ในท่าที่กำลังมุ่งหน้ามาทางซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีมองฝ่ามือของตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
กระทั่งนางยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
เมื่อครู่ ตอนที่คนพาลพุ่งเข้ามา นางหงุดหงิดใจและนึกเกลียดชังยิ่งนัก ทว่านางยังมีท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะโบกเข็มเงินพิษที่เตรียมพร้อมไว้ในมือ
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ กระแสพลังอันแปลกประหลาดก็ไหลเวียนรอบตัวนาง พลังนั้นส่งผ่านไปยังมือที่ซัดเข็มเงิน และในชั่วพริบตา ร่างของคนพาลก็ลอยกระเด็นออกไป
“อ้าก… ตายแล้ว คนตายแล้ว… ”
ฝูงชนที่มุงดูพลันร้องอุทาน ทุกคนต่างถอยออกมาก้าวหนึ่ง และมองไปยังซูจิ่นซีด้วยแววตาที่สะพรึงกลัวยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
อย่างไรก็ตาม ในแววตาของพวกเขาที่มองซูจิ่นซี ต่างสื่อความหมายอย่างหนึ่งว่า ‘พวกเจ้าแย่แล้ว’
“คุณชายทั้งสอง! ” ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังงุนงงไม่เข้าใจ ชายชราที่ถูกอันธพาลรังแกก่อนหน้านี้ก็พูดขึ้นว่า “พวกท่านรีบหนีไปเถิด! รีบหนีไป! ข้าและบุตรสาวซาบซึ้งในบุญคุณพวกท่านทั้งสองยิ่งนัก ทว่าพวกท่านสังหารคุณชายใหญ่แห่งสำนักยาสกุลจง สกุลจงต้องไม่ปล่อยพวกท่านเป็นแน่ พวกท่านรีบหนีเอาชีวิตรอดเถิด! ”
ตายแล้วหรือ?
ซูจิ่นซียิ่งสงสัยมากขึ้น ทั้งยังตกใจเล็กน้อย นางมองไปทางคนพาลผู้นั้นอย่างไม่เชื่อสายตา
ซูจิ่นซีเห็นเพียงร่างที่ไม่อ้วนไม่ผอมของเขาฝังอยู่ในผนัง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และมีเลือดไหลออกจากมุมปากไม่หยุด
ในฐานะที่ซูจิ่นซีเป็นหมอพิษ จากปริมาณกองเลือดที่อยู่บนพื้น นางสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
ทว่านางไม่เคยเรียนวรยุทธ์มาก่อน ยอดฝีมืออย่างอู๋จุนยังรับมือได้ยาก เหตุใดนางจึงสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย?
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
ซูจิ่นซีมองไปทางอู๋จุน อู๋จุนในเวลานี้ตั้งสติได้แล้ว เขาเดินเข้ามายืนด้านข้างซูจิ่นซี
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “แม่นางพิษน้อย เจ้าลองจี้ไปที่จุดตันเถียน ดูสิว่าตำแหน่งตันเถียนของเจ้ามีกระแสลมปราณอุ่นๆ ไหลเวียนอย่างต่อเนื่องหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีทำตามวิธีที่อู๋จุนสอน นางเคลื่อนไหวไปที่จุดตันเถียน และพบว่าตำแหน่งตันเถียนของนางมีกระแสลมปราณอุ่นๆ ไหลเวียนอยู่จริงๆ นางจึงพยักหน้า
อู๋จุนดีใจมาก เขาดึงข้อมือของซูจิ่นซีขึ้นมาจับชีพจรทันที
เมื่อได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว เขาก็แทบกระโดดตัวลอย “แม่นางพิษน้อย ที่แท้ร่างกายของเจ้ามีพลังภายในที่ถูกปิดผนึกอยู่ ทั้งยังเป็นพลังภายในที่แข็งแกร่ง ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก”
พลังภายใน?
ในร่างกายของนาง?
ซูจิ่นซีใช้เวลาเพียงชั่วครู่เพื่อนึกย้อนไปยังความทรงจำในมิติทั้งสองของตนเอง แต่ไม่พบว่านางและเจ้าของร่างเดิมเคยเรียนวรยุทธ์ใดๆ มาก่อน ทั้งยังไม่มีร่องรอยการฝึกฝนกำลังภายในใดๆ เช่นกัน
มันยิ่งเพิ่มความสับสนมากขึ้นไปอีก
นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?
ทว่าตอนนี้ ดูเหมือนไม่มีเวลาให้พวกเขาได้คิดทบทวนถึงปัญหานี้แล้ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน? ”
เสียง ‘ปึงปัง’ ดังขึ้นจากทางด้านนอกประตู ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนวิ่งเข้ามาอย่างเป็นระเบียบและยืนล้อมโรงเตี๊ยมทั้งหมดไว้
ชายร่างท้วมในชุดหมวกผ้าสีดำซึ่งเป็นเครื่องแบบของทางการเดินเข้ามา
ในอดีต ซูจิ่นซีตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของแว่นแคว้นต่างๆ ในอาณาจักรเทียนเหอ เพื่อจะได้ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่และแผ่นดินใหม่อย่างรวดเร็ว
จากสีของชุดทางการและลวดลายบนเสื้อผ้า ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคงเป็นจิงจ้าวหยิ่นแห่งเมืองเย่หลิน เมืองหลวงของแคว้นหนานหลี
ทว่าในแผ่นดินการปกครอง ไม่อาจมองข้ามขุนนางผู้มีอำนาจเก่งกาจ
จิงจ้าวหยิ่นผู้นั้นเดินเข้าประตูมาและกวาดสายตามองดูความวุ่นวายในห้องโถง เขาหยุดมองยังอันธพาลซึ่งถูกซูจิ่นซีอัดเข้าไปในผนัง สีหน้าพลันปรากฏความตกตะลึง
“จง… คุณชายใหญ่จง… ”
จิงจ้าวหยิ่นพูดพลางเดินไปทางคนพาลสองก้าว จากนั้นก็รีบโบกมือให้ผู้ที่อยู่ด้านหลัง “ยืนเหม่อทำอันใด? ยังไม่รีบไปพาคุณชายใหญ่จงออกมาอีก! ”
เหล่าเจ้าหน้าที่ทางการรีบเดินเข้ามา พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงคุณชายใหญ่จงออกจากกำแพง
จิงจ้าวหยิ่นรีบตรวจสอบ น่าเสียดาย คุณชายใหญ่จงได้เสียชีวิตลงแล้ว ไร้ซึ่งลมหายใจ
เขากล่าวด้วยความตกใจและหวาดกลัว “ผู้ใดเป็นคนลงมือ? ”
ทันใดนั้น ฝูงชนที่มุงดูต่างถอยหลังออกไปสองก้าวอย่างตื่นตระหนก เหลือเพียงซูจิ่นซีกับอู๋จุนซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ปรากฏชัดเจนที่สุด สายตาของแต่ละคนต่างบ่งบอกว่า ‘เป็นพวกเขา พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดแม้แต่น้อย’
จิงจ้าวหยิ่นหรี่ตาลงอย่างเย็นชา เขาเกรงว่าหากช้าไปก้าวหนึ่ง ซูจิ่นซีกับอู๋จุนอาจหนีไปได้ จึงโบกมือออกคำสั่งโดยไม่รอสอบถามความจริง “ทหาร จับฆาตกรสองคนนี้ในข้อหาก่ออาชญากรรม”
เหล่าเจ้าหน้าที่ตอบรับคำสั่งและเดินมาข้างหน้าเพื่อมัดซูจิ่นซีกับอู๋จุนด้วยโซ่เหล็ก
ขณะที่อู๋จุนกำลังจะขัดขืน ซูจิ่นซีก็เข้ามาขัดขวางอยู่ด้านหน้าเขา นางพูดกับจิงจ้าวหยิ่นว่า “ข้าเป็นผู้สังหารคนผู้นั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสหายของข้า ปล่อยเขาไป”
จิงจ้าวหยิ่นหรี่ตามองซูจิ่นซี พยายามวิเคราะห์ท่าทีของนางถึงสามครั้ง
ตั้งแต่ออกจากวิหารวิญญาณ ซูจิ่นซีได้เปลี่ยนรูปลักษณ์และสวมเสื้อผ้าบุรุษ แม้ยามนี้นางและอู๋จุนจะดูเป็นบุรุษเหมือนกัน ทว่าร่างกายของนางกลับบอบบางเกินไป ตรงข้ามกับอู๋จุนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่า และมีความสามารถในการสังหารมากกว่า
อู๋จุนเข้าใจข้อสงสัยของจิงจ้าวหยิ่น เขาแย้มยิ้มและดึงแขนของซูจิ่นซี ซ่อนนางไว้ด้านหลังของตน “แหะ แหะ ใครให้เจ้าเกิดมาตัวเล็กเช่นนี้ ทุกคนต้องไม่เชื่อว่าเจ้าทำแน่! ”
อู๋จุนพูดสารภาพกับจิงจ้าวหยิ่น “ข้าเป็นผู้สังหาร จับข้าไปได้เลย”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือให้เจ้าหน้าที่ทางการทันที
จิงจ้าวหยิ่นมองอู๋จุน ก่อนจะหันไปมองซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ด้านหลัง และมองคุณชายใหญ่จงที่นอนบนพื้นอีกครั้ง
“ทหาร จับพวกเขาทั้งสอง ผู้ใดเป็นมาตกร หลังไต่สวนแล้วค่อยส่งไปให้แม่ทัพใหญ่”
อู๋จุนเห็นเจ้าหน้าที่ทางการมัดซูจิ่นซีด้วยโซ่เหล็ก เขารู้สึกกังวลใจจึงใช้เท้าเตะเจ้าหน้าที่ทางการจนกระเด็นลอยออกไป และพูดกับจิงจ้าวหยิ่นว่า “เจ้าหน้าที่สุนัข ข้าบอกว่าข้าเป็นผู้สังหาร ก็เป็นข้าที่สังหาร เกี่ยวอันใดกับเขา? หากยังกล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าจะหักคอพวกเจ้าเสีย! ”
อู๋จุนพูดพลางทำท่าจะเข้าไปหักคอจิงจ้าวหยิ่นจริงๆ จิงจ้าวหยิ่นตกใจจนหน้าถอดสี เขาถอยหลังไปสองก้าว
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ว่า ในเมื่อผู้ตายเป็นคนของสกุลจง บางทีนี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่นางจะได้เข้าใกล้สกุลจง เพื่อสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะของตนเอง นางรีบเข้าไปขัดขวางอู๋จุน ทั้งยังมองอู๋จุนพลางส่ายศีรษะแผ่วเบา
อู๋จุนเข้าใจความหมายที่ซูจิ่นซีต้องการจะสื่อสารผ่านทางแววตา จึงเลิกต่อต้าน
“เข้ามาสิ จับได้เลย รีบเข้ามาจับ! ”
จิงจ้าวหยิ่นจัดหมวกดำให้ตรง ก่อนจะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทางการล่ามโซ่ซูจิ่นซีและอู๋จุนอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่ จิงจ้าวหยิ่นตกเป็นรองในเงื้อมมือของอู๋จุน ทว่าตอนนี้ อู๋จุนถูกล่ามเหมือนเนื้อบนเขียง ทำให้เขารู้สึกหยิ่งทะนงและลำพองทันที
เขาตบไปที่หน้าอกของอู๋จุน พลางพูดด้วยใบหน้าที่ยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น “พ่อหนุ่มรู้หรือไม่ เจ้าสังหารผู้ใด? ”
โดยไม่รอให้อู๋จุนเอ่ยปาก เขาก็พูดเสริมขึ้นว่า “คนผู้นี้คือคุณชายใหญ่แห่งสำนักยาสกุลจงแคว้นหนานหลี ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่จง และเป็นหลานชายของกุ้ยเฟย [1] คราวนี้เจ้าตายแน่ๆ ! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
สถานการณ์ดูเหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่าที่นางคิดไว้มาก
…………
เชิงอรรถ
[1] กุ้ยเฟย คือ ตำแหน่งพระมเหสีชั้นเอก