สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 441 โรคผีดูดเลือด
“ไม่เป็นไร หากพวกเจ้าต้องการสิ่งของหรือสมุนไพรอันใดก็บอกหัวหน้าขันทีหรือหัวหน้าสำนักหมอหลวงได้ทันที ข้ารู้ดีว่าโรคเช่นนี้รักษาไม่ง่ายนัก หากมีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ก็พูดออกมาตามตรงได้”
“การตรวจวิเคราะห์โรค [1] ประกอบด้วย การดู การฟัง การถาม และการตรวจชีพจร หากกระหม่อมไม่สามารถจับชีพจรของกุ้ยเฟยได้ ก็ไม่อาจวิเคราะห์ถึงสาเหตุและอาการของโรคได้อย่างละเอียด กุ้ยเฟยทรงให้นางกำนัลเปิดผ้าม่านได้หรือไม่ กระหม่อมจะได้ตรวจดูพระพักตร์และพระชิวหาของพระองค์? ”
“เปิดผ้าม่าน! ”
เหล่านางกำนัลย้ายเทียนที่อยู่ใกล้ผ้าม่านออกไปวางในระยะไกล เมื่อรอบเตียงมีแสงเทียนไม่เพียงพอ บรรยากาศจึงมืดสลัวทันที
จากนั้นเหล่านางกำนัลก็เปิดม่านเตียงสามชั้นที่แขวนทั้งด้านในและด้านนอกออก
ซูจิ่นซีกับอู๋จุนพลันตกตะลึง
กุ้ยเฟยทรงมีพระพักตร์ขาวซีดราวกับหิมะ ขาวมากจนน่าหวาดกลัว เหมือนใบหน้าผีที่ได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ซึ่งซูจิ่นซีเคยดูในภาพยนตร์สยองขวัญหรือหนังผีในยุคปัจจุบัน
หากบนใบหน้านั้นไม่มีดวงตาดำขลับเปล่งประกายที่แสดงให้รู้ว่ายังมีชีวิต ซูจิ่นซีกับอู๋จุนคงคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นผีที่หนีขึ้นมาจากนรก
“ข้าทำให้ท่านหมอทั้งสองตกใจหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีกลับมาได้สติ นางแย้มยิ้มด้วยท่าทีเป็นมิตรและก้มหน้าลงเล็กน้อย “กุ้ยเฟยสูงศักดิ์เพียงใด? กระหม่อมสามารถเห็นพระพักตร์ของกุ้ยเฟยได้ นับเป็นวาสนาของพวกกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากกระหม่อมไม่เคยพบผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นกุ้ยเฟย จึงทำให้ตื่นตระหนกพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกุ้ยเฟยได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี ใบหน้าอมทุกข์จากอาการประชวรมาเนิ่นนานจึงเผยให้เห็นรอยแย้มพระสรวลแผ่วเบา “เจ้าช่างปากหวานยิ่งนัก เข้าใจพูดจาเอาอกเอาใจ”
กุ้ยเฟยแย้มพระสรวลเช่นนี้ เมื่อมองดูอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าขาวซีดนั้นไม่น่ากลัวอีกต่อไป
ทั้งยังทำให้เห็นว่าก่อนที่พระองค์จะทรงประชวร พระองค์เป็นสตรีที่มีพระพักตร์งดงามอย่างหาได้ยากผู้หนึ่ง
ซูจิ่นซีไม่พูดให้มากความ นางเดินเข้าไปตรวจดูพระเนตร หลอดเลือดบริเวณพระศอ และโคนพระชิวหาของกุ้ยเฟยอย่างละเอียดอีกครั้ง
“กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม กุ้ยเฟยทรงประชวรด้วยโรคนี้มานานเท่าไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ? ”
“เมื่อเดือนสิบสองของปีที่แล้ว ข้าเริ่มพบว่าดวงตาของข้าทนแสงไม่ได้ ทว่าอาการนี้จะกำเริบยามมีแสงสว่างจ้าเท่านั้น หากเป็นแสงที่ไม่สว่างมากก็ไม่เป็นอันใด ต่อมาอาการกลับสาหัสขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งฤดูร้อนปีที่แล้ว ดวงตาของข้าก็ไม่อาจทนแสงไฟต่างๆ ได้อีกต่อไป”
ซูจิ่นซีพยักหน้าเข้าใจ
“นอกจากพระเนตรทนแสงไม่ได้แล้ว กุ้ยเฟยยังรู้สึกถึงอาการผิดปกติอื่นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? อาทิ พะอืดพะอม อาเจียน หรือปวดพระนาภี”
“แรกเริ่มก็พอมีบ้าง ทว่าระยะหลังๆ ดูเหมือนไม่มีอาการเช่นนั้นแล้ว เพียงเห็นของมันๆ ไม่ได้เท่านั้น”
เห็นของมันๆ ไม่ได้หรือ?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้นนางก็ทำความเคารพและพูดว่า “พระอาการของกุ้ยเฟยซับซ้อนยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนเกื้อหนุนและขัดแย้งกัน ต้องมีวิธีรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กุ้ยเฟยสบายพระทัยได้ กระหม่อมและสหายจะปรึกษากันอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อคิดหาวิธีรักษาให้กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
กุ้ยเฟยรู้สึกพอพระทัยกับการแสดงออกของซูจิ่นซียิ่งนัก
“เอาตามที่เจ้าว่าเถิด ข้าเห็นท่าทีสงบเยือกเย็นของเจ้า ไม่เหมือนหมอหลวงเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอก พวกเขาเอาแต่พูดจาเยินยอไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อต้องหาวิธีรักษาเข้าจริงๆ กลับกลัวโน่นกลัวนี่ไม่เข้าเรื่อง”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีอ่อนโยน นางไม่พูดอันใดมาก ทำเพียงทูลลาและเดินถอยหลังออกมา
แท่นบรรทมของกุ้ยเฟยอยู่ด้านในสุดของห้อง นางกำนัลพาซูจิ่นซีกับอู๋จุนมายังห้องด้านข้าง เมื่อแสงสว่างทางฝั่งนี้มีมากพอ ความรู้สึกและความคิดของคนก็เริ่มปลอดโปร่งมากขึ้น
“แม่นางพิษน้อย ข้าว่ากุ้ยเฟยราวกับสัตว์ประหลาด ไม่แน่ว่านางอาจถูกของสกปรกอันใดเข้าและไม่อาจรักษาได้ เช่นนั้นพี่จุนพาเจ้าหนีไปดีหรือไม่ ฉวยจังหวะที่ยังพอมีเวลา พวกเราไม่ต้องไปสนใจเรื่องบ้าบอเหล่านี้”
ซูจิ่นซีเงยหน้ามองอู๋จุน “จะว่าไป เจ้าก็เข้าใจวิชาแพทย์เช่นกัน กลับเชื่อเรื่องหมอผีมนตร์ดำด้วยหรือ บนโลกนี้มีเรื่องภูตผีปีศาจหรือไม่ เจ้ากับข้าย่อมรู้ดีไม่ใช่หรือ? ”
“แหะ แหะ พี่จุนเพียงเป็นห่วงเจ้า! ข้ามองว่าเรื่องบ้าบอเช่นนี้จัดการได้ยาก หากถึงเวลาแล้วไม่สามารถรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยได้ จะเป็นการก่อเรื่องยุ่งยากให้ตนเองมากขึ้นไม่ใช่หรือ?”
“เงื่อนงำแต่ละอย่างก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า ชาติกำเนิดของข้ามีความเกี่ยวข้องกับสกุลจงมากถึงแปดเก้าส่วน แม้ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายสำนักยาหรือสำนักแพทย์ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสำนักก็มาจากรากฐานเดียวกัน กุ้ยเฟยเป็นคนสกุลจง ในเมื่อมาถึงแล้ว ข้าก็ไม่อาจมองเฉยโดยไม่ทำอันใดได้”
เมื่อพูดถึงชาติกำเนิดของซูจิ่นซี ไม่รู้เพราะเหตุใด อู๋จุนกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ก่อนจะเดินไปนั่งข้างโต๊ะและรินน้ำชาให้ตนเอง ทว่าไม่ดื่ม ทำเพียงวนนิ้วมือรอบปากถ้วยชา
“เกี่ยวกับโรคของกุ้ยเฟย เจ้าพบอันใดบ้าง? ”
อู๋จุนฉีกยิ้ม “แม่นางพิษน้อย พี่จุนชำนาญด้านสมุนไพร แม้จะเข้าใจวิชาแพทย์บ้าง ทว่าการรักษาโรคช่วยชีวิตคนนั้น พี่จุนไม่ชำนาญเท่าไรนัก กระทั่งเจ้าเองยังมองอาการของโรคไม่ออก พี่จุนยิ่งไม่มีทางมองออกแน่นอน”
ซูจิ่นซีรู้ดี คำพูดของอู๋จุนเป็นเพียงคำพูดสละสลวยถ่อมตนเท่านั้น
เขาเป็นถึงเจ้าหุบเขาเทพโอสถ รู้จักสมุนไพรแทบทั้งหมดในใต้หล้า ในมือมีสมุนไพรล้ำค่าหายากมากมาย จะไม่เข้าใจวิชาสมุนไพรได้อย่างไร?
หากต้องการทำความเข้าใจวิชาสมุนไพร จำเป็นต้องเข้าใจวิชาแพทย์ด้วย ไม่ว่าจะมองด้านใด วิชาแพทย์ของเขาย่อมไม่ด้อยเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลที่อู๋จุนมองไม่ออกว่าเกิดอันใดขึ้นกับพระอาการประชวรของกุ้ยเฟย
เนื่องจากโรคของกุ้ยเฟยพบเจอได้ยากมาก
ซูจิ่นซีเคยค้นพบกรณีศึกษาของโรคนี้ ขณะที่นางเรียนปริญญาโท ดังนั้นนางจึงพอเข้าใจบ้างเล็กน้อย
หากพูดกันตามภาษาทางการแพทย์ในยุคปัจจุบัน โรคประหลาดชนิดนี้เรียกว่า ‘โรคพอร์ไฟริน’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘โรคผีดูดเลือด’
ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้จำเป็นต้องใช้ชีวิตในความมืดเท่านั้น ทว่าเนื่องจากวิชาแพทย์ในยุคโบราณยังไม่เจริญก้าวหน้ามากนัก ทั้งยังไม่มีแผนการรักษาโรคชนิดนี้อย่างละเอียด
ทว่าการแพทย์แผนตะวันตก มีนักวิชาการแพทย์ได้ทำการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับโรคชนิดนี้แล้ว
ผลวิจัยพบว่า โรคนี้เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถผลิตโปรตีนสำคัญที่ช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาว (เม็ดโลหิตเฮโมโกลบิน) หลังจากนั้น อาการติดเชื้อจะลุกลามไปยังระบบประสาทและผิวหนัง
ในศตวรรษที่ 18 ประเทศอังกฤษเคยมี ‘ราชาผู้บ้าคลั่ง’ พระเจ้าจอร์จที่สาม ซึ่งทุกข์ทรมานจากโรคประหลาดชนิดนี้เช่นกัน เนื่องจากการแพทย์ในยุคนั้นล้าสมัยมาก ทำให้ไม่มีผู้ใดรู้จักโรคชนิดนี้ ผู้ป่วยจึงถูกคนทั่วไปมองว่าเป็นผีดูดเลือดที่ออกหากินยามกลางคืน
วิธีอธิบายที่เป็นเชิงวิชาการและเป็นคำศัพท์ในยุคปัจจุบันเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่มีทางอธิบายให้กุ้ยเฟยกับอู๋จุนเข้าใจได้โดยง่ายเป็นแน่
อีกอย่างโรคชนิดนี้ ซูจิ่นซีเพียงอ่านผ่านหูผ่านตาและพอเข้าใจบ้างเท่านั้น นางไม่ได้ทำการวิจัยทางคลินิก ทำให้ยากที่จะรับประกันได้ว่านางสามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาด ดังนั้นนางจึงไม่แสดงออกมากเกินไป
นอกจากนี้ ซูจิ่นซียังพบสิ่งผิดปกติอื่นในพระวรกายของกุ้ยเฟย ทว่าพวกนางยังไม่สามารถตรวจชีพจรของกุ้ยเฟยได้ นางจึงไม่กล้าพูดออกไป หากยังไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัด
ซูจิ่นซีพยายามครุ่นคิดถึงแผนการรักษาโรคประหลาดของกุ้ยเฟย โดยมีอู๋จุนนั่งอยู่ด้านข้าง และพลิกถ้วยชาไปมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
ทันใดนั้น เสียงแหลมของขันทีก็ดังขึ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่จงมาถึงแล้ว… ”
ท่านแม่ทัพใหญ่จง?
บิดาของคุณชายใหญ่จงที่ถูกซูจิ่นซีสังหารด้วยความเข้าใจผิดก่อนหน้า ทั้งยังเป็นพี่ชายของกุ้ยเฟย จงเนี่ย เขาเคยร่วมออกศึกสร้างชื่อให้กับแคว้นหนานหลี จึงได้พระราชทานยศเป็นแม่ทัพใหญ่
แม้อำนาจของเขาจะยิ่งใหญ่เพียงไร ทว่าในวังหลังยังมีกฎข้อห้ามไม่ให้ขุนนางเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
เขามาเพื่อการใด?
หรือต้องการมาจับกุมซูจิ่นซี?
……
เชิงอรรถ
[1] การตรวจวิเคราะห์โรค ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนใช้การตรวจวิเคราะห์โรคจากลักษณะเฉพาะ ประกอบด้วย 4 รูปแบบ ได้แก่ การดู (สีหน้า รูปร่าง) การฟัง (เสียงพูด เสียงหายใจ และกลิ่น) การถาม การสัมผัส (แมะ) คือการจับชีพจร ซึ่งการรักษาแพทย์แผนจีนเป็นการรักษาแบบองค์รวม โดยเน้นการปรับสมดุลภายในร่างกายเป็นหลัก ผลที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และสภาวะของโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับผลดีจากการรักษาในศาสตร์แพทย์แผนจีน