สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 442 พวกเราทำข้อตกลงกันเป็นเช่นไร?
“คำนับท่านแม่ทัพใหญ่”
ด้านนอกมีเสียงทำความเคารพดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ตามมาด้วยเสียงคุกเข่าของทุกคน
ซูจิ่นซีเปิดความถี่อาคมกำไลปี่อั้น จึงได้ยินเสียงเหล่านั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ท่านแม่ทัพใหญ่มาที่นี่ด้วยเหตุใดขอรับ? ”
ขันทีผู้ดูแลภายในตำหนักกุ้ยเฟยก้าวมาด้านหน้า และพูดกับจงเนี่ยด้วยความเคารพ
ซูจิ่นซีได้ยินน้ำเสียงของจงเนี่ย ทำให้รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
“หมอเร่ร่อนสองคนที่ดึงประกาศของราชสำนัก และเข้ามาในวังเพื่อตรวจดูพระอาการของกุ้ยเฟยเล่า อยู่ที่ใด?”
“หมอ… เร่ร่อน…? ” เสียงของหัวหน้าขันทีราวกับติดอยู่ในลำคอ “กำลัง… วินิจฉัยโรคให้กุ้ยเฟยที่ด้านในตำหนักขอรับ”
ห้องปีกข้างอยู่ห่างจากประตูค่อนข้างมาก เสียงเหล่านี้ อู๋จุนไม่มีทางได้ยินแน่นอน เขาเห็นซูจิ่นซีมีท่าทีผิดปกติ จึงพูดว่า “แม่นางพิษน้อย เกิดอันใดขึ้น? ”
ซูจิ่นซีหันไปมองอู๋จุน ท่าทางของนางยิ่งดูผิดปกติมากขึ้น “พวกเรา… ใกล้จะมีปัญหาแล้ว”
“ปัญหาหรือ? ”
“จงเนี่ยมาแล้ว! ”
บุคคลสำคัญในราชสำนักแคว้นหนานหลี อู๋จุนพอจะรู้จักอยู่บ้าง
“บัดซบ ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก จัดการได้ยาก เร็ว พี่จุนจะพาเจ้าหนีไป”
อู๋จุนพูดพลางกระโดดเข้าไปด้านข้างซูจิ่นซี และดึงมือนาง เตรียมพากระโดดหนีออกทางหน้าต่าง
ซูจิ่นซีห้ามอู๋จุนไว้
“ช่างเถิด คนที่สมควรมา อย่างไรก็ต้องมา อีกอย่าง… ข้าก็อยากรู้จักท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหนานหลีคนนี้เช่นกัน! ”
เวลานี้ ไม่ว่าผู้ใดที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลจง ซูจิ่นซีล้วนให้ความสนใจ
เพราะไม่ว่าอย่างไร หากนางต้องการสืบหาสถานะที่แท้จริงของตนเอง ไม่ช้าก็เร็ว นางต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้แน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนั้น การเผชิญหน้าก่อนหรือหลัง ย่อมไม่มีสิ่งใดแตกต่าง
จงเนี่ยนำกลุ่มคนเดินมาทางห้องปีกข้างของตำหนักด้วยท่าทีขึงขัง เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ซูจิ่นซีรีบเปิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับเขา
ทุกคนต่างหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู
จงเนี่ยถือกระบี่ยาวไว้ในมือ พลางมองซูจิ่นซีด้วยสายตาดุดัน เขาจ้องหน้านางพักหนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาลงและยกมือออกคำสั่ง “ลากตัวไป! ”
องครักษ์เจ็ดถึงแปดนายรับคำสั่ง พวกเขาเดินมาด้านหน้าอย่างพร้อมเพรียง เตรียมควบคุมตัวซูจิ่นซีกับอู๋จุนไป
ซูจิ่นซียืนเอามือไพล่หลัง ท่วงท่าไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอแม้แต่น้อย รูปร่างเพรียวบางยืนหลังตรงเคร่งขรึม มีความหยิ่งทะนงอย่างมาก นางใช้หางตามองจงเนี่ย
“ท่านแม่ทัพใหญ่จง พวกเรามาเจรจาข้อแลกเปลี่ยนกันเป็นเช่นไร? ”
ดวงตาของจงเนี่ยราวกับนกอินทรี เขาจ้องเขม็ง แววตาปรากฏไอสังหาร
จงเนี่ยกระชากเสียงเย็นชา “น่าขัน เจ้ากับข้ามีอันใดต้องเจรจากัน? อ้ำอึ้งทำไม ยังไม่รีบคุมตัวออกไปอีก? ”
ขณะที่จงเนี่ยพากลุ่มคนบุกเข้ามา บรรยากาศรอบตัวเขาเต็มไปด้วยไอสังหาร เวลานี้แรงอาฆาตของเขายิ่งดุดันมากขึ้น
หากที่นี่ไม่ใช่วังหลัง เขาคงลงมือสังหารซูจิ่นซีกับอู๋จุนตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าพวกเขา เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับบุตรชายของตน แต่เนื่องจากในวังหลวงไม่สามารถฆ่าฟันกันได้ตามอำเภอใจ
อย่างไรก็ตาม ยิ่งจงเนี่ยมีท่าทีเดือดดาลมากเท่าไร สีหน้าของซูจิ่นซียิ่งสงบนิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเท่านั้น
นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าเข้าใจความรู้สึกโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียบุตรชายของท่านแม่ทัพใหญ่ และเข้าใจความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับคนที่สังหารบุตรชาย ทว่าสำหรับท่านแม่ทัพใหญ่ที่เป็นชายชาตินักรบมาทั้งชีวิต อำนาจและชื่อเสียงอันเลื่องลือ ย่อมมีบางสิ่งที่สำคัญกว่าทายาทรุ่นต่อไปไม่ใช่หรือ? ”
ซูจิ่นซีพูดพลางแสดงท่าทีราวกับว่าตนเองสามารถเจรจาข้อเสนอครั้งนี้กับจงเนี่ยได้อย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง
จงเนี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังมีแววตาคมกริบดั่งมีด เขาจ้องมองแผ่นหลังของซูจิ่นซีอย่างดุนดัน ราวกับต้องการแทงนางให้ตายเสียตรงนี้
แท้จริงแล้ว ขณะที่ซูจิ่นซีหันหลังกลับไป นางรู้สึกไม่มั่นใจเท่าไรนัก
ซูจิ่นซีกำลังเดิมพันกับความทะเยอทะยานภายในใจของผู้มีอำนาจอย่างจงเนี่ย
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา บัดนี้ ในราชสำนักแคว้นหนานหลีมีสามอำนาจใหญ่ ได้แก่ มหาอุปราชมู่หรงเฟิง ฉีอ๋องมู่หรงฉี และท่านแม่ทัพใหญ่จงเนี่ย
ในฐานะที่จงเนี่ยเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่นอกสกุล แต่สามารถมีอำนาจเฉกเช่นท่านอ๋องทั้งสองที่เป็นเชื้อพระวงศ์ คนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ซูจิ่นซีหันหลังกลับไป นางพยายามสังเกตสีหน้าของจงเนี่ยผ่านทางกระจกทองเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะแกะสลักทางด้านซ้ายมือ
ซูจิ่นซีไม่มีทางหันหลังให้คนแปลกหน้า โดยเฉพาะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง
นางเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีเห็นจงเนี่ยผ่านทางกระจกทองเหลือง เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกสมุนของเขาถอยออกไป จากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องเพียงลำพัง นางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจในความสำเร็จ
นางชนะเดิมพัน
แท้จริงแล้ว มนุษย์เราย่อมมีจุดอ่อน!
“ท่านแม่ทัพใหญ่ช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก! ” ซูจิ่นซีหันหลังกลับมาทันที
ใบหน้าของจงเนี่ยยังคงขึงขัง เขาหันไปมองอู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
อู๋จุนหันหลังกลับมาด้วยท่าทีสง่างาม ก่อนจะเดินไปนั่งไขว้ขาที่ข้างโต๊ะ
“ข้าเป็นองครักษ์พิทักษ์แม่นางพิษน้อย เจ้าคิดเสียว่าข้าไม่มีตัวตน”
จงเนี่ยหรี่ตามองซูจิ่นซี ความหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นคือต้องการให้ซูจิ่นซีไล่อู๋จุนออกไปจากห้อง
ซูจิ่นซีแสดงความกล้าหาญ
“ท่านแม่ทัพใหญ่มีความสามารถ ข้าผอมบางไร้เรี่ยวแรง ในเมื่อต้องเจรจาข้อตกลงกับท่านแม่ทัพใหญ่ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ก็ควรมีองครักษ์ข้างกายไว้คุ้มครองความปลอดภัยไม่ใช่หรือ? หากท่านแม่ทัพใหญ่เดือดดาลขึ้นมาและชักดาบสังหารข้า ข้าคงตายโดยไร้ความผิด”
เมื่อจงเนี่ยได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็เดินมาด้านหน้าสองก้าว และคว้าข้อมือซูจิ่นซีแน่น
อู๋จุนที่เห็นเหตุการณ์พลันร้อนใจ เขารีบลุกขึ้น ต้องการเข้ามาขัดขวางจงเนี่ย แต่กลับถูกซูจิ่นซีส่งสายตาห้ามปราม
จงเนี่ยสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันได้ว่าร่างกายซูจิ่นซีไร้ซึ่งพลังภายใน จึงปล่อยมือของนาง
เขากระชากเสียงเย็นชา “เพียงต้องการดูว่าเจ้าจะเล่นลูกไม้อันใดอีก”
ในความเป็นจริง ซูจิ่นซีเตรียมการป้องกันไว้นานแล้ว เผื่อกรณีที่จงเนี่ยจะใช้วิธีนี้ ดังนั้น ตอนที่นางหันหลังกลับเมื่อครู่ นางได้ใช้เข็มเงินสกัดจุดตนเอง เพื่อกดพลังภายในไว้ที่จุดตันเถียน
แม้ตอนนี้นางยังไม่รู้วรยุทธ์ ไม่รู้ว่าควรควบคุมพลังภายในของตนอย่างไร ทว่าเรื่องกักพลังภายใน ทางวิชาแพทย์ก็สามารถทำได้เช่นกัน
“พูดมา เจ้าต้องการเจรจาต่อรองอันใดกับข้า? ” จงเนี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้น ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปเหมือนคนที่ถูกรังแก
“คุณชายใหญ่ไม่ได้ตายเพราะข้า ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดตรวจสอบให้แน่ชัด”
จงเนี่ยหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็วจนเกิดแรงลมพัดกระเพื่อม ทำให้เส้นผมดำขลับและเสื้อแพรสีเขียวมรกตของซูจิ่นซีพลิ้วไหวตามแรงลม
“ในตอนนั้น คนที่โรงเตี๊ยมต่างเห็นด้วยตาตนเอง เจ้าเป็นคนสังหารบุตรชายของข้า เจ้าคิดจะปัดความรับผิดชอบหรือ?”
ซูจิ่นซีร่ำไห้ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าถูกปรักปรำ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ในตอนนั้น… ในตอนนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น พวกเราทั้งสองเพียงรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อยที่คุณชายใหญ่ทำลายบรรยากาศการรับประทานอาหารของพวกเรา ตอนนั้นคุณชายใหญ่ต้องการลงมือกับข้า เวลานั้นข้าตกใจมาก ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา เมื่อข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คุณชายใหญ่ก็กระเด็นออกไปแล้ว จากนั้น ท่านจิงจ้าวหยิ่นก็ปรักปรำว่าข้าเป็นคนสังหารคุณชายใหญ่”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าถูกปรักปรำ! ท่านก็เห็นแล้ว ข้าเป็นเพียงคนผอมบางไร้เรี่ยวแรงและไม่เป็นวรยุทธ์ จะสังหารคุณชายใหญ่ที่มีวรยุทธ์ร้ายกาจได้อย่างไร ข้าถูกปรักปรำ ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดตรวจสอบให้แน่ชัด! ”
ไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะเล่นไม้นี้ อู๋จุนที่นั่งคุมเชิงอยู่ด้านข้าง คิ้วกระตุกในทันที
จงเนี่ยมีท่าทางดุดัน ไม่ปรากฏความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ทว่าแววตาของเขากลับเผยให้เห็นความลังเล