สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 444 เยี่ยโยวเหยา ท่านอยู่ที่ใด
ทันใดนั้น ร่างของอู๋จุนก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ เขาพลิกตัวกลางอากาศอย่างสวยงาม ก่อนจะห้อยหัวจับข้อมือซูจิ่นซีไว้แน่น
“แม่นางพิษน้อย เจ้าต้องการทำร้ายพี่จุนจริงๆ หรือ! นึกไม่ถึงว่ายังใช้ยาพิษอีก ช่างใจร้ายยิ่งนัก”
ซูจิ่นซีกระชากมือกลับมาทันที “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”
“ได้ ได้ ได้ พี่จุนไม่รบกวนเจ้าแล้ว พี่จุนจะนั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเจ้า”
อู๋จุนหมุนตัวเหินลงมายืนอย่างสงบนิ่ง
แม้ซูจิ่นซีไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าจงเทียนอี้ได้รับพิษอย่างไร ทว่าเข็มเงินที่ส่องประกายสีม่วงอ่อนได้อธิบายทุกสิ่งแทนซูจิ่นซีแล้ว
ไม่มีผู้ใดวางยาพิษ ตอนที่จงเทียนอี้คิดลงมือ ซูจิ่นซีได้ต่อต้านและลอบวางยาพิษ
ตอนนี้เรื่องกลับตาลปัตรเสียแล้ว
การเดินทางไกลมาเยือนแคว้นหนานหลี ทำให้ร่างกายของซูจิ่นซียังไม่ฟื้นตัว นอกจากนั้น หลังทำสงครามจิตวิทยากับจงเนี่ย ซูจิ่นซียิ่งเหนื่อยล้ามากขึ้น นางรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เมื่อทิ้งตัวลงนอนบนตั่งผ้าไหมก็ผล็อยหลับไป
ซูจิ่นซีงีบหลับจนถึงยามจื่อ (23.00น.-01.00น.) ทางกุ้ยเฟยยังไม่ได้รับแผนการรักษาจากซูจิ่นซีและอู๋จุน ทั้งไม่ได้ส่งผู้ใดมาเร่งรัด
ในเวลานั้น ผู้ดูแลห้องบรรทมของกุ้ยเฟยได้ให้นางกำนัลมาส่งอาหารค่ำ ทั้งยังสอบถามว่าต้องการเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนหรือไม่ ทว่าอู๋จุนปฏิเสธ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดมารบกวนอีกเลย
ผ่านยามจื่อมาครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูจิ่นซีที่นอนหลับอยู่บนตั่งผ้าไหมพลันบิดตัวกระสับกระส่าย ทั่วทั้งร่างของนางมีแสงสีแดงประหลาดเปล่งประกายออกมา เพียงชั่วพริบตา เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบก็ปรากฏขึ้นบริเวณไรผมบนหน้าผากของนาง
ซูจิ่นซีร้องตะโกนอย่างต่อเนื่อง “เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… ท่านจะไปที่ใด? เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… ท่านอย่าทิ้งข้าไป อย่าทิ้งจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา… ท่านอยู่ที่ใด! ”
อู๋จุนใช้มือสองข้างหนุนต่างหมอน เขาเอนหลังอยู่บนตั่งและยังไม่หลับ ทันใดนั้นเขาก็กระโดดไปด้านข้างตั่งผ้าไหมของซูจิ่นซี
เมื่อเห็นอาการของซูจิ่นซี อู๋จุนขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงรีบสกัดจุดที่ร่างของนาง เขาดึงนางขึ้นมาและใช้สองมือวางบนแผ่นหลังของนาง
อู๋จุนส่งพลังภายในเข้าไปในร่างของซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง อาการของซูจิ่นซีเริ่มสงบลง เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากก็ลดลงอย่างมาก ไม่นานนักนางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“แม่นางพิษน้อย เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากที่แห้งผาก “ข้า… เกิดอันใดขึ้น? ”
“ลมปราณภายในคงสับสน เมื่อครู่เจ้าเกือบธาตุไฟเข้าแทรก”
“ธาตุไฟเข้าแทรก? ”
ครั้งนี้ สำหรับซูจิ่นซีที่ไม่เป็นวรยุทธ์ นับเป็นสิ่งที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
อู๋จุนดึงข้อมือซูจิ่นซีมาตรวจวัดชีพจร หลังจากยืนยันแล้วว่าลมปราณภายในของซูจิ่นซีคงที่และไม่มีอันตรายแล้ว จึงพูดว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยฝึกพลังภายในประเภทใด จึงสามารถเดินพลังลมปราณได้ขณะนอนหลับ แม้จะเป็นสิ่งที่ดี ทว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสตรีเช่นเจ้า”
เมื่อก่อน…
ซูจิ่นซีจำไม่ได้ว่าตนเองเคยเรียนวรยุทธ์ใด กระทั่งมีกำลังภายในได้อย่างไร นางก็ไม่รู้
เมื่อเห็นท่าทางบึ้งตึงของซูจิ่นซี อู๋จุนก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “แม่นางพิษน้อย เจ้าต้องการเรียนวรยุทธ์หรือไม่? พี่จุนสอนวรยุทธ์ให้เจ้าดีหรือไม่? ”
เรียนวรยุทธ์หรือ?
ซูจิ่นซีใฝ่ฝันอยากเรียนวรยุทธ์
ท่าทีของซูจิ่นซีเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง นางนั่งขัดสมาธิบนตั่งผ้าไหม
“พี่จุนจะสอนวิธีเดินพลังภายในให้เจ้าก่อน รอจนเจ้าเดินพลังภายในได้ชำนาญแล้ว พี่จุนค่อยสอนกระบวนท่าการต่อสู้ให้เจ้า”
ซูจิ่นซีพยักหน้าและจัดระเบียบเสื้อผ้า ก่อนจะนั่งลงบนตั่งผ้าไหมเรียนแบบท่าทางของอู๋จุน
ซูจิ่นซีกับอู๋จุนไม่ได้นอนทั้งคืน ทั้งสองคน ผู้หนึ่งสอน ผู้หนึ่งเรียนรู้วิธีการเดินพลังภายในจนถึงเช้า
เมื่อแสงแรกแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาในห้อง อู๋จุนกับซูจิ่นซีก็ลืมตาขึ้น
ซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียง จู่ๆ ขาก็อ่อนแรงจนเกือบล้มลงบนพื้น
อู๋จุนรีบเอื้อมมือไปประคองซูจิ่นซี
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นอย่างไร ร่างกายไม่สบายที่ใดบ้าง”
“ไม่มีอันใด เหมือน… ร่างกายจะเบากว่าเมื่อก่อนมาก จึงไม่ค่อยชินเท่าไรนัก”
“ฮะฮะ นี่เป็นเรื่องปกติ! ต่อไปเพียงเจ้าฝึกฝนทุกวัน เมื่อเจ้าสามารถเดินพลังภายในได้เชี่ยวชาญเหมือนพี่จุน ก็จะรู้สึกว่าร่างกายนั้นเบาดั่งนกนางแอ่น”
ซูจิ่นซีพยักหน้า
อู๋จุนมองไปรอบๆ ห้อง จากนั้นจึงเดินไปข้างโต๊ะและหยิบกาน้ำชาขึ้นมา เขารู้สึกว่ามันใหญ่เกินไปจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเลือกหยิบถ้วยชายื่นให้ซูจิ่นซี
“รวบรวมพลังลมปราณ เคลื่อนย้ายพลังไปที่จุดตันเถียน ลองดูว่าสามารถทำลายถ้วยชานี้ได้หรือไม่”
ซูจิ่นซีรับถ้วยชามาและรวบรวมพลัง นางได้ยินเพียงเสียง ‘เพล้ง’ ถ้วยชาที่อยู่ในมือพลันแตกละเอียด
ดวงตาซูจิ่นซีเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าอู๋จุนเต็มไปด้วยความสุข
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่นางพิษน้อย เจ้าเก่งกาจเสียจริง ดูจากความร้อนแรงของพลังภายในที่อยู่ในร่างของเจ้า หากเจ้าได้เรียนรู้การใช้รูปแบบกระบวนท่าแล้ว พี่จุนอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
อู๋จุนพูดพลางเหยียดแขนทั้งสองข้างและเดินไปเปิดประตู
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
มืออู๋จุนที่กำลังจะเปิดประตูพลันหยุดชะงัก เมื่อหันกลับไปก็เห็นเพียงกาน้ำชาที่แตกอยู่ในมือของซูจิ่นซี
มันเป็นกาน้ำชาใบก่อนหน้าที่อู๋จุนต้องการให้ซูจิ่นซีใช้ฝึก
เดิมทีเขาคิดว่ากาน้ำชาคงเกินกำลังของซูจิ่นซีในตอนนี้ กลับนึกไม่ถึงว่าซูจิ่นซีสามารถทำลายมันได้โดยง่าย
อู๋จุนตกตะลึงจนพูดไม่ออก ซูจิ่นซีวางเศษกระเบื้องที่อยู่ในมือ พลางปัดมือตนเองโดยเช็ดไปที่ไหล่ของอู๋จุน ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
“แม้เจ้าจะสอนวรยุทธ์ให้ข้า หากภายหลังเจ้าพ่ายแพ้แก่ข้า ก็อย่าได้เสียใจภายหลัง! ”
ใบหน้าของอู๋จุนเปี่ยมไปด้วยความยินดี เขาเดินตามซูจิ่นซีไป “เป็นไปได้อย่างไร? สุดท้ายแม่นางพิษน้อยของพี่จุนก็ฝึกวรยุทธ์ได้แล้ว ต่อไปไม่ต้องกลัวว่าผู้อื่นจะรังแกเจ้าอีก พี่จุนดีใจแทนเจ้าเสียมากกว่า! จะให้เสียใจได้อย่างไร? ขอเพียงเจ้าต้องการ พี่จุนก็เต็มใจสอนวรยุทธ์ให้เจ้าทั้งชีวิต”
แท้จริงแล้ว ต่อให้ซูจิ่นซีไม่มีวรยุทธ์ ตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถรังแกนางได้อยู่แล้ว
ซูจิ่นซีกับอู๋จุนล้างหน้าหวีผมและรับประทานอาหารเช้า จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องบรรทมของกุ้ยเฟย
เหล่านางกำนัลกำลังปรนนิบัติกุ้ยเฟยเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จพอดี
โดยปกติ ตามการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซูจิ่นซีต้องตรวจพระวรกายของกุ้ยเฟยอีกครั้ง
“คุณชาย เป็นอย่างไรบ้าง? หลังจากไตร่ตรองมาคืนหนึ่งแล้ว คิดสิ่งใดออกบ้างหรือยัง? ” กุ้ยเฟยตรัสถาม
“แม้โรคประหลาดของกุ้ยเฟยจะมีความซับซ้อน ทว่ากระหม่อมจะขอลองดูพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้? ” พระพักตร์ซีดเซียวทว่างดงามของกุ้ยเฟยพลันเปล่งประกาย
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากและพูดว่า “เพียงระยะเวลาในการรักษาอาจยาวนานไปสักหน่อย เรียกได้ว่าการเจ็บป่วยในครั้งนี้ได้มาง่ายดายดั่งการเดินลงจากภูเขา ทว่าการรักษาโรคให้หายกลับเชื่องช้าราวกับถักเส้นไหม กุ้ยเฟยอย่าได้ทรงเร่งรีบและกังวลพระทัย”
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร ขอเพียงรักษาให้หายก็พอแล้ว” พระพักตร์ของกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความยินดี