สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 15 ตอนที่ 448 ท่านอ๋องโปรดอนุญาต
ยิ่งจงเนี่ยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร เขายิ่งเกิดบันดาลโทสะ จึงหยิบดาบในมือเดินเข้าไปหาซูจิ่นซี โดยไม่สนใจว่ามู่หรงเฟิงกับมู่หรงฉียังอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่
อู๋จุนที่เฝ้าระวังรีบเข้าไปปกป้องซูจิ่นซีไว้ด้านหลัง
มู่หรงฉีก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวใหญ่ และจับดาบในมือของจงเนี่ยไว้
“ท่านแม่ทัพใหญ่ต้องการทำสิ่งใด? ”
ดวงตาจงเนี่ยลุกโชนดั่งเปลวเพลิง เขาพูดเสียงเย็นชา “หึ ฉีอ๋อง ตอนนี้พระองค์ดูแลเรื่องของตนเองให้ดีเถิด! อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของกระหม่อม”
มู่หรงฉีไม่ยอมถอย เขามองจงเนี่ยด้วยแววตาเฉียบคม “ท่านแม่ทัพใหญ่กำลังถือดาบสังหารผู้ที่เป็นสหายของข้า เรื่องนี้ข้าต้องยุ่งเกี่ยวแน่นอน”
สถานการณ์ทางด้านนี้กำลังดุเดือด อีกด้านหนึ่ง มู่หรงเฟิงเงยศีรษะเอนหลังพิงเก้าอี้ และใช้มือหนุนศีรษะด้วยท่าทางเคร่งขรึม ราวกับกำลังนั่งชมการแสดงชั้นเลิศ
มู่หรงฉีไม่ยอมแพ้ จงเนี่ยก็เดือดดาลและไม่ยอมรามือเช่นกัน เขายกมือซัดไปทางมู่หรงฉี ทว่ามู่หรงฉีรับไว้ได้อย่างมั่นคงพลางถอยหลังไปสองก้าว ใบหน้าพลันถมึงทึง
“จงเนี่ย เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับข้า เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ เหตุใดจึงไม่มีความอดทน? ”
แม้จงเนี่ยจะมีอำนาจทางทหารและมีอำนาจอยู่ในมือ ทว่าในด้านตำแหน่งหน้าที่นั้น เขาด้อยกว่ามู่หรงฉี ฉีอ๋องอยู่บ้าง จึงทำได้เพียงยอมจำนนและประสานมือคำนับ
“กระหม่อมมิกล้า! ทว่า ฉีอ๋อง! เรื่องในวันนี้ กระหม่อมต้องขอทวงความยุติธรรม เมื่อไม่กี่วันก่อน บุตรชายของกระหม่อมถูกคนทั้งสองสังหารที่ถนนใหญ่ทางทิศตะวันออก ไม่ว่าอย่างไร วันนี้กระหม่อมต้องสังหารศัตรูเพื่อล้างแค้นให้บุตรชาย หากฉีอ๋องมีใจลำเอียงและยืนกรานจะเข้ามาขัดขวาง แม้วันนี้กระหม่อมต้องยอมจำนนต่ออำนาจ ทว่ากองทัพทหารสกุลจงทั้งสี่แสนนายของกระหม่อมในเย่หลินคงไม่ยินยอม”
ทหารสี่แสนนายของสกุลจง…
จงเนี่ยเป็นเพียงแม่ทัพใหญ่ สาเหตุที่เขาสามารถเป็นสามเสาอำนาจหลักในราชสำนักกับมหาอุปราชมู่หรงเฟิง ฉีอ๋องมู่หรงฉีได้นั้น เพราะอาศัยกองทัพทหารสี่แสนนายของเขา
อย่างไรก็ตาม มู่หรงฉียังคงไม่ยอมถอย ทั้งแววตายังฉายความแข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น
“จงเนี่ย ท่านใช้กองทัพทหารสี่แสนนายของสกุลจงมาข่มขู่ข้าหรือ? ”
“กระหม่อมมิกล้า”
จงเนี่ยรีบก้มศีรษะลง ทว่าแววตาไม่ปรากฏความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับยิ่งโกรธเคืองมากกว่าเดิม
“กระหม่อมจะกล้าข่มขู่ท่านอ๋องได้อย่างไร? กระหม่อมเพียงต้องการทวงความยุติธรรมให้บุตรชาย และกองทัพทหารสี่แสนนายของสกุลจงที่ต่อสู้ในสนามรบเพื่อแคว้นหนานหลีเท่านั้น ฉีอ๋องและมหาอุปราชโปรดคืนความยุติธรรมให้สกุลจงของกระหม่อมด้วย”
อีกด้านหนึ่ง มู่หรงเฟิงที่กำลังแทะเมล็ดแตงระหว่างดูการแสดงฉากเด็ดพลันลืมตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นจัดระเบียบเสื้อผ้า
“เจ้าเห็นท่าทีคับข้องใจของแม่ทัพใหญ่จงหรือไม่! ฉีเอ๋อร์ เจ้าก็อย่าลำเอียงเกินไปนัก อย่างไรก็ควรถามให้ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่? ”
มู่หรงฉีอดหันไปมองซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ข้างหลังอู๋จุนไม่ได้
อู๋จุนยังคงปกป้องซูจิ่นซีไว้ทางด้านหลังอย่างแน่นหนา เขาต้องการปฏิเสธข้อกล่าวหาแทนซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีกลับดึงอู๋จุนไว้และก้าวไปข้างหน้า นางสบสายตามู่หรงฉีและก้มหน้าแสดงความเคารพ
“ทูลฉีอ๋อง ตอนที่คุณชายใหญ่จงเสียชีวิตนั้น นายท่านกับกระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์จริง ตอนนั้นคุณชายใหญ่จงฉุดกระชากหญิงสาวอยู่ข้างถนน ทั้งยังรบกวนอรรถรสในการรับประทานอาหารของนายท่านกับกระหม่อม นอกจากนั้น เขายังลงมือกับกระหม่อม ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่คุณชายใหญ่จงกำลังจะถูกตัวกระหม่อม ร่างของเขากลับลอยออกไปและสิ้นลมหายใจทันที เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร กระหม่อมก็ไม่อาจทราบได้ ทว่าอาศัยการคาดเดาของกระหม่อม มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่คุณชายใหญ่จงอาจได้รับพิษมาก่อนหน้า เมื่อเขาเดินกำลังภายใน ทำให้พิษกำเริบและเกิดธาตุไฟเข้าแทรก สุดท้ายจึงทำร้ายตนเองจนเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีมีความเฉลียวฉลาด นางพูดว่าตนเองเป็นเด็กรับใช้ติดตามอู๋จุน ทั้งยังกล่าวด้วยคำพูดชุดเดียวกับที่เคยพูดกับจงเนี่ยก่อนหน้านี้
หลังสิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี จงเนี่ยก็กระชากเสียงดุดัน “พูดจาเหลวไหล เจ้าอย่าได้คิดหลอกลวงข้าอีกเลย ก่อนหน้านี้เจ้าใช้วาจาอันชาญฉลาดหลอกข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ข้าเพียงคิดว่าเจ้าไม่มีวรยุทธ์ จึงไม่ได้สงสัยในตัวเจ้า ทว่าตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนของหุบเขาเทพโอสถ เรื่องนี้จึงแตกต่างออกไป ไม่แน่ว่าพิษบนร่างของบุตรชายข้า อาจเป็นฝีมือของพวกเจ้า”
จงเนี่ยพูดพลางเดินไปข้างหน้าก้าวใหญ่ ต้องการลงมือกับซูจิ่นซี
มู่หรงฉีก้าวเดินอย่างน่าเกรงขามและหยุดยืนเบื้องหน้าจงเนี่ยอย่างมั่นคง ดวงตาของเขาปรากฏความเย็นชาน่ากลัว
“จงเนี่ย เจ้าใช้กำลังทหารมาท้าทายราชสำนัก คิดว่าไม่มีผู้ใดจัดการเจ้าได้แล้วใช่หรือไม่? ”
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าจงเนี่ยกลับไม่แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย เขายังคงโกรธเคืองอย่างมาก
“ฉีอ๋องทรงอย่าลืมว่าเรื่องของกุ้ยเฟยนั้น พระองค์ยังไม่มีคำตอบให้กระหม่อมและเหล่าขุนนางในราชสำนัก! ตอนนี้พระองค์ยากที่จะปกป้องตนเองได้ กระหม่อมขอเตือนพระองค์ด้วยความหวังดี เรื่องนี้ ฉีอ๋องอย่าได้เข้ามายุ่ง คอยยืนดูอยู่ห่างๆ เถิด! ”
“หึ ใช่หรือ? ทว่า ข้าชอบทำในสิ่งที่เห็นว่าทำไม่ได้ ดังนั้นเรื่องในวันนี้ ข้าคงต้องยุ่งเสียแล้ว”
มู่หรงฉีพูดพลางรวบรวมพลังภายในไว้ที่ฝ่ามือ และโจมตีจงเนี่ยอย่างรุนแรง จงเนี่ยไม่ได้ล่าถอย ทั้งยังหยิบดาบในมือหันไปทางมู่หรงฉี
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่ามหาอุปราชมู่หรงเฟิงยังคงนั่งดูการแสดงอยู่ด้านข้าง
ซูจิ่นซีมองดูแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา
สมองของนางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
สามเสาอำนาจหลักของแคว้นหนานหลี แม้ดูแล้วมหาอุปราชจะมีอำนาจเหนือกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เพื่อความสมดุล ไม่ว่ามู่หรงฉีหรือจงเนี่ย ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่มีอำนาจลดลง ก็ล้วนไม่เป็นประโยชน์ต่อมู่หรงเฟิงทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใด ยิ่งไม่สร้างความขัดแย้งกดขี่ผู้ใด ทำเพียงวางท่านั่งดูการแสดงฉากนี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เพราะเหตุนี้ สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าจึงเป็นประโยชน์ต่อเรื่องวุ่นวายของมู่หรงฉี
ความคิดของซูจิ่นซีหมุนวนอย่างฉับไว หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ก้าวไปทางมู่หรงเฟิงอย่างแน่วแน่และพูดว่า “ท่านอ๋อง ขณะนี้ฉีอ๋องและท่านแม่ทัพใหญ่ต่างเป็นขุนนางเสาหลักของราชสำนัก ระหว่างพวกเขา ไม่ว่าผู้ใดที่ถูกทำร้าย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ท่านอ๋องต้องการเห็น คงเป็นการดีหากท่านอ๋องออกหน้ายึดถือความยุติธรรมในเรื่องนี้ ท่านอ๋อง… โปรดตัดสินพระทัย”
มู่หรงเฟิงคาดไม่ถึงว่าเด็กที่ติดตามอู๋จุนจะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ จึงเงยหน้ามองซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม เขาเหลือบมองนางด้วยสายตาดูแคลนและไม่ได้ใส่ใจอันใด
“โอ้? ใช่หรือ? เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีหาได้ท้อถอยหรือผิดหวังเพราะสาเหตุนี้ เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่นางคาดไว้แล้วว่าต้องเผชิญเมื่อสนทนากับมู่หรงเฟิง
นางกล่าวต่อไปว่า “เรื่องในยามนี้ดูซับซ้อน ทว่าแท้จริงแล้วมีเพียงสองประการ ประการแรก เกี่ยวกับเรื่องพระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟย ประการที่สอง คือเรื่องการเสียชีวิตของคุณชายใหญ่จงที่ถนนตะวันออก และทั้งสองเรื่องยังมีความเกี่ยวข้องกับกระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมขอบังอาจแบ่งเบาความกังวลของมหาอุปราช และทำการตรวจสอบเรื่องทั้งสองแทนพระองค์ หวังว่ามหาอุปราชจะทรงอนุญาต”
พูดจาอวดดียิ่งนัก!!!
มู่หรงเฟิงที่มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลมและหยิ่งทะนง ทั้งยังไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา ในที่สุดก็ลืมตามองไปทางซูจิ่นซี
ดวงตาอินทรีคู่นั้นปรากฏความน่าสะพรึงกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน