สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 16 ตอนที่ 453 ข้าเพียงต้องการดูละครฉากเด็ดเท่านั้น
เส้นทางไปยังจวนท่านแม่ทัพใหญ่จง ซูจิ่นซีให้มู่หรงเฟิงจัดหาหมอชันสูตรศพที่เก่งที่สุดในแคว้นหนานหลี
อู๋จุนตามมาด้านหลังซูจิ่นซี พยายามสอบถามว่าซูจิ่นซีจะวางแผนจัดการอย่างไร ภายในใจคิดอย่างไรกันแน่
เพราะเขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ต่อให้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำแล้ว ซูจิ่นซีก็ยังเป็นคนที่สังหารจงเทียนอี้โดยไม่ต้องสอบสวนแม้แต่น้อย
เวลานี้นางยังให้ตามหมอชันสูตรศพ ทำเช่นนี้ก็เหมือนกับฆ่าตัวตายมิใช่หรือ?
เมื่อถึงเวลานั้น หมอชันสูตรศพก็สามารถตรวจพบทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอู๋จุนจะถามเท่าไร ซูจิ่นซีก็ทำเพียงอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่พูดอันใดแม้แต่คำเดียว
ในจวนท่านแม่ทัพใหญ่ ศพของจงเทียนอี้วางอยู่ในห้องโถงกลาง บรรดาบ่าวรับใช้ภายในจวนกำลังจัดเตรียมงานศพ
ขณะที่ทุกคนเดินเข้ามาในจวน ในระยะเวลาอันสั้น อู๋จุนกับมู่หรงฉีก็รับรู้ถึงบรรยากาศเย็นชารอบตัว
จงเนี่ยได้เพิ่มกำลังองครักษ์ในจวน ไม่ว่าผลลัพธ์ในวันนี้จะเป็นเช่นไร เกรงว่าซูจิ่นซีคงออกจากจวนท่านแม่ทัพได้ยาก
ทว่าซูจิ่นซีกลับมีท่าทีราวกับคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว แม้จะเปิดอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด ทำให้นางรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ก่อนอู๋จุนกับมู่หรงฉี ทว่าสีหน้าของนางยังคงสงบนิ่งมั่นคง ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“หึ เด็กน้อย เริ่มกันเถิด! ข้าต้องการดูว่าวันนี้เจ้าจะแก้ต่างให้ตนเองอย่างไร! ” จงเนี่ยกระชากเสียงเย็นชา
ทว่าไม่มีใครคาดคิด ซูจิ่นซีกลับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและพูดกับหมอชันสูตรศพ “เริ่มเถิด! ”
จากนั้นนางก็เดินไปหาที่นั่งที่เหมาะสม และดื่มน้ำชาที่บ่าวรับใช้นำมาให้อย่างสบายใจ
ไม่ว่าซูจิ่นซีจะทำอันใด ท่าทางของมู่หรงเฟิงก็ยังคงเรียบเฉย ราวกับวันนี้เขามาพร้อมทุกคนเพื่อมาดูเหตุการณ์เท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
มู่หรงฉีกับอู๋จุนยิ่งไม่เข้าใจ ซูจิ่นซีคิดจะทำอันใดกันแน่
หมอชันสูตรเริ่มเปิดโลงศพเพื่อตรวจสอบสาเหตุ…
เวลาผ่านไป บรรยากาศโดยรอบยิ่งบีบรัดตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
บางครั้งอู๋จุนคิดจะออกมาแสดงตัวว่าเขาเป็นคนสังหารจงเทียนอี้ ทว่าหลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วก็รู้สึกว่า บางทีแม่นางพิษน้อยอาจมีแผนการอันใด จึงอดกลั้นอารมณ์ร้อนรุ่มภายในใจไว้
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป หมอชันสูตรทำตามกระบวนการจนเสร็จสิ้นและเริ่มเก็บอุปกรณ์ชันสูตร บรรยากาศโดยรอบยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น
จงเนี่ยมีความมั่นใจอย่างมาก เขาถามเสียงดังว่า “ผลลัพธ์เป็นเช่นไร? ”
เมื่อหมอชันสูตรเก็บอุปกรณ์เรียบร้อยก็เดินมาด้านหน้าเพื่อทำความเคารพจงเนี่ย มู่หรงเฟิง และมู่หรงฉี ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผลการชันสูตรพบว่าบริเวณหน้าผากของคุณชายใหญ่มีรอยเขียวช้ำและมีเลือดไหลออกมา ทั้งยังมีรอยฟกช้ำตามร่างกายหลายจุด ริมฝีปากดำ มือเท้าบวมอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ อาการบวมของช่องท้อง จากการอนุมานตามความแข็งและความบวม คงค่อยๆ บวมขึ้นภายในระยะเวลาสี่ถึงห้าชั่วยามหลังจากเสียชีวิต”
คำพูดเหล่านี้เป็นคำศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ น้อยคนนักที่จะฟังเข้าใจ
“พูดออกมาตามตรง ผลลัพธ์เป็นเช่นไรกันแน่ บุตรชายของข้าเสียชีวิตเพราะพลังภายในหรือไม่? ”
หมอชันสูตรขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ เมื่อครู่ข้าน้อยอธิบายอย่างชัดเจน ศพของคุณชายใหญ่มีร่องรอยช้ำเลือดช้ำหนองสีดำจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าก่อนที่จะเสียชีวิต คุณชายใหญ่ได้รับพิษชนิดที่กำเริบช้าเป็นเวลานาน ส่วนช่องท้องที่ค่อยๆ บวมหลังเสียชีวิตไปแล้วสี่ถึงห้าชั่วยาม แสดงให้เห็นว่าเกิดจากการฝึกพลังภายในจนธาตุไฟเข้าแทรก ส่งผลให้พลังภายในสับสนและโจมตีกันเอง ดังนั้นข้าน้อยจึงยืนยันได้ว่า คุณชายใหญ่จงเสียชีวิตจากการที่ร่างกายได้รับพิษเป็นเวลานานจนพลังภายในสับสน ทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนตาย ไม่มีผู้ใดสังหารขอรับ”
“พูดจาเหลวไหล! บุตรของข้า เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นคนสังหาร เจ้าพูดจาเหลวไหล แก้ต่างให้มือสังหาร ช่างใจกล้ายิ่งนัก เป็นผู้ใดที่สั่งให้เจ้ากล้าทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้” จงเนี่ยชี้หน้าซูจิ่นซีและพูดด้วยความเดือดดาล
หมอชันสูตรผู้นั้นตกใจจนหน้าถอดสี เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นและพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดตรวจสอบให้แน่ชัด ข้าน้อยไม่กล้าพูดปด คำพูดทุกคำของข้าน้อยเป็นจริงทุกประการ ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดตรวจสอบให้แน่ชัด หากถูกผู้อื่นใช้กำลังภายในสังหาร หลังจากสิบสองชั่วยาม ร่องรอยบาดแผลในจุดที่ได้รับบาดเจ็บจะแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทว่าข้าน้อยไม่พบร่องรอยบาดแผลบนร่างกายของคุณชายใหญ่จงเลยขอรับ”
ทันใดนั้นจงเนี่ยก็เดินไปข้างหน้า เขาชำเลืองมองหมอชันสูตรผู้นั้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ความจริงเป็นเช่นไรกันแน่ เจ้าพูดออกมาอีกครั้ง! ”
หมอชันสูตรผู้นั้นหันไปมองซูจิ่นซี สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ เขากำลังจะเอ่ยปากพูด จู่ๆ มู่หรงฉีก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านคิดจะบีบบังคับให้หมอชันสูตรกลับคำพูดหรือ? ”
“หึ! ”
จงเนี่ยถีบหมอชันสูตรจนกระเด็นไปนอนกับพื้น และชี้ไปทางซูจิ่นซีกับอู๋จุน พลางออกคำสั่งเสียงดัง “ทหาร ควบคุมตัวคนชั่วสองคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้”
เหล่าทหารส่งเสียงตอบรับ ทหารสวมชุดเกราะจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องและล้อมซูจิ่นซีกับอู๋จุนไว้
จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ฟวับ ฟวับ ฟวับ’ หลายครั้ง รอบ บริเวณมืดสลัวลงเล็กน้อย เนื่องจากพลธนูในชุดสีดำปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงด้านนอกประตู ล้อมซูจิ่นซีกับอู๋จุนไว้อย่างแน่นหนา
“บัดซบ! ”
อู๋จุนรีบชักแส้หงหลิงที่เอวออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องซูจิ่นซี “ข้าบอกแล้วว่าที่นี่เป็นถ้ำเสือแดนมังกร เมื่อมาถึงก็ยากที่จะกลับออกไป คนแซ่จงผู้นี้ไม่ใช่คนถือสัจจะอันใด”
มู่หรงฉีขมวดคิ้วเครียด พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จงเนี่ย เจ้าจัดวางกำลังพลไว้มากมาย คิดทำการณ์ใด? หรือต้องการสังหารข้ากับเสด็จลุงไปพร้อมกัน? ”
แววตาจงเนี่ยเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร เขาจ้องอู๋จุนกับซูจิ่นซีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “วันนี้กระหม่อมต้องการแก้แค้นให้บุตรชาย และเพื่อลบล้างความโกรธเคืองแทนกุ้ยเฟย ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับฉีอ๋องและมหาอุปราช ท่านมหาอุปราชกับฉีอ๋องเชิญตามสบาย หลังเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว กระหม่อมจะเข้าวังไปรับโทษกับมหาอุปราชและฉีอ๋องสำหรับเรื่องในวันนี้”
สภาพจิตใจของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตัวระแวดระวัง โดยเฉพาะอู๋จุนกับมู่หรงฉี ทั้งสองต่างขมวดคิ้วเคร่งเครียด
มู่หรงเฟิงนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีเรียบเฉย แววตาเย็นชา ทั้งยังแสดงท่าทางราวกับเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับตน เขาเพียงมาดูละครฉากเด็ดเท่านั้น
ส่วนซูจิ่นซียังนั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ แม้เหตุการณ์จะลุกลามจนถึงขั้นนี้แล้ว
หลังจากที่ซูจิ่นซีดื่มชาจนหมดไปครึ่งกา นางจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แสดงท่าทางราวกับเพิ่งเห็นองครักษ์สกุลจงชี้อาวุธมาทางตนกับอู๋จุน รวมถึงพลธนูที่รายล้อมอยู่บนกำแพงจำนวนมาก นางชำเลืองตามองเล็กน้อย
“มีคนมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ! ” จากนั้นจึงเลิกคิ้วให้กับมหาอุปราชมู่หรงเฟิง “ได้เห็นคนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า กระหม่อมรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก พวกเขาเป็นคนของท่านมหาอุปราชหรือพ่ะย่ะค่ะ? หรือเป็นคนของท่านแม่ทัพใหญ่จง? ”
“โอ้? ”
มู่หรงเฟิงเลิกคิ้วให้ซูจิ่นซีเช่นกัน ก่อนจะแสดงสีหน้าย้อนถาม
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แท้จริงแล้ว ไม่ว่าท่านอ๋องหรือท่านแม่ทัพใหญ่จง ผู้ใดจะมีทหารในมือมากกว่ากันก็ล้วนไม่มีปัญหาอันใด อย่างไรก็ตาม… กระหม่อมเพียงรู้สึกว่า หากทหารภายใต้บัญชาของท่านแม่ทัพใหญ่จงมีมากกว่าท่านอ๋อง คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก”
เรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว จงเนี่ยควบคุมอำนาจทางทหารไว้มากมาย ภายในจวนแม่ทัพปรากฏองครักษ์และพลธนูจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น เรื่องเช่นนี้ กระทั่งตำหนักของท่านมหาอุปราชก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
นอกจากนั้น เรื่องนี้ยังเป็นหนามยอกอกของมู่หรงเฟิงมาโดยตลอด