สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 16 ตอนที่ 456 พระทัยของฉีอ๋อง
มู่หรงฉียังคงไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้ากระมัง? ”
“แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับข้า! ”
อู๋จุนโน้มตัวไปด้านข้างมู่หรงฉี แล้วพูดอย่างเอาใจว่า “แม่นางพิษน้อยและเยี่ยโยวเหยานับได้ว่าจบสิ้นกันแล้ว รอให้เจ้าบอกแม่นางพิษน้อยเกี่ยวกับฐานะของนาง แล้วตัดสินใจให้พวกเขาหย่าขาดกันไป! ”
มู่หรงฉีเหลือบมองอู๋จุน “จากนั้นค่อยให้นางแต่งงานกับเจ้าหรือ? ”
ทันใดนั้น แววตาของอู๋จุนก็เปี่ยมไปด้วยความยินดี “แหะ แหะ ยังเป็นเจ้าที่เข้าใจข้าที่สุด! ”
“ฝันไปเถิด! ”
หลังสิ้นเสียงพูดของอู๋จุน มู่หรงฉีก็หันไปมองเขาอย่างเตือนสติ
“แม้สถานะของจิ่นซีจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุลมู่หรงของข้า ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในแคว้นหนานหลีมาก่อน นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว นางไม่เคยเกี่ยวข้องกับสกุลมู่หรงของข้า การบอกให้นางทราบเกี่ยวกับสถานะของตน ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าคำสั่งเสียของเสด็จพ่อที่ต้องการให้นางรู้จักบรรพบุรุษและกลับไปยังสกุลจง เช่นนั้น เหตุใดจึงต้องสร้างพันธนาการให้นาง? เรื่องการแต่งงานของนาง ยังคงต้องให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ”
“ไม่ยินยอมก็บอกไม่ยินยอม พูดเรื่องเหล่านี้ออกมาเพื่ออันใด? ”
อู๋จุนนั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
มู่หรงฉีเห็นท่าทางอู๋จุน สุดท้ายก็ทนทำร้ายเขาไม่ได้ จึงตบไปที่ไหล่ของอู๋จุน พลางครุ่นคิดแล้วพูดว่า “อู๋จุน หลายปีที่ผ่านมา เจ้ากับข้านับเป็นพี่น้องกันมาตลอด ข้ายังไม่เข้าใจความคิดและการกระทำของเจ้าอีกหรือ? หากพวกเราเจอจิ่นซีเร็วกว่านี้เพียงก้าวเดียว เหตุใดข้าจะไม่เต็มใจมอบชีวิตของนางให้เจ้าดูแล? ทว่าตอนนี้… ชะตากรรมระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยาถือเป็นพรหมลิขิต ข้ายืนหยัดเคียงข้างพี่น้อง ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าตัดใจเสียเถิด! ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เจ้าจะจมปลักอยู่กับสิ่งที่ผ่านพ้นไปจนยากคืนกลับ และจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์! ”
“ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้น ตอนนี้ก็ยากหวนคืนแล้ว” อู๋จุนลุกขึ้นพูดอย่างหนักแน่น “ในเมื่อหัวใจของข้าได้มอบให้แม่นางพิษน้อยไปแล้ว ชีวิตนี้ ตัวของข้า หัวใจของข้า ชีวิตของข้า ล้วนเป็นของแม่นางพิษน้อย ไม่อาจหวนคืนได้แล้ว แม้จะหวนกลับได้ ข้าก็ไม่ยินยอม”
อู๋จุนพูดพลางเดินออกไป
มู่หรงฉีดึงแขนอู๋จุน ต้องการพูดตักเตือน “เจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใด? รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ เหตุใดจึงต้องทำให้ได้? ”
อู๋จุนตื่นตระหนกเล็กน้อย “แล้วจงจื่อเยียนเล่า? เจ้าฉี เจ้ารู้ว่าจงจื่อเยียนอภิเษกสมรสกับเสด็จพ่อของเจ้าแล้ว แม้เจ้าจะมีนางอยู่ในใจ นางก็ไม่อาจกลายเป็นสตรีของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้ามีเหตุผลใดที่เฝ้าคิดถึงนางมาตลอดหลายปี จนบัดนี้ยังไม่อาจปล่อยวางลงได้? ”
ดวงตามู่หรงฉีกระตุก เขารู้สึกว่าอู๋จุนช่างดื้อรั้นยิ่งนัก “เจ้าไม่ใช่ข้า ยิ่งไม่ใช่พยาธิในท้องของข้า รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่เคยปล่อยวาง? ”
“ปล่อยวางได้แล้วหรือ? ”
แววตางดงามของอู๋จุนเผยให้เห็นความประชดประชัน ทันใดนั้นเขาก็ดึงมือขวาของมู่หรงฉี ขณะที่มู่หรงฉีมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย เขาก็หยิบปิ่นปักผม ‘หงส์คู่เหินนภา’ ออกมาจากแขนเสื้อของมู่หรงฉี พลางแสดงท่าทางเย้ยหยัน
“หากเจ้าปล่อยวางแล้ว เช่นนั้นนี่คือสิ่งใด? ”
ปิ่นปักผมที่จงจื่อเยียนทำหล่น ตอนที่มู่หรงฉีพบนางครั้งแรก แม้ต่อมาจงจื่อเยียนจะเสียใจต่อการอภิเษกสมรสของตนกับเสด็จพ่อของมู่หรงฉี ทว่าหลายปีมานี้ มู่หรงฉียังคงเก็บปิ่นปักผมไว้ข้างกายตลอดมา
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของอู๋จุน ดวงตาของมู่หรงฉีจึงค่อยๆ หรี่ลง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตนเองและปล่อยแขนอู๋จุน
อู๋จุนโยนปิ่นปักผมไปในอ้อมอกของมู่หรงฉี “เรื่องที่แม้แต่ตนเองยังทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาโน้มน้าวให้ข้าทำ ข้าไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่สามารถทำได้! ”
หลังจากพูดจบ อู๋จุนก็สะบัดแขนเสื้อสีแดงขนาดใหญ่และเดินออกไป
มู่หรงฉีมองปิ่นปักผมที่อยู่ในมือ ใบหน้าเผยให้เห็นความเจ็บปวด เขาเดินโซเซสองสามก้าวและล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้
ท้องฟ้าเริ่มมืด ภายในห้องไร้ซึ่งโคมไฟ ทำให้ท่ามกลางความมืดนั้น ร่างของเขาดูอ้างว้างมากกว่าเดิม
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงหัวเราะเยาะตนเองอย่างเยือกเย็นของมู่หรงฉีก็ดังขึ้น
“ดึงดันอันใด? ข้ากำลังยึดติดอันใดอยู่กันแน่? จื่อเยียนเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้ายึดติดหมกมุ่นกับสิ่งใดกันแน่? ”
หลังสิ้นเสียงพูด ภายในตำหนักที่กว้างใหญ่และเงียบสงบก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นอย่างชัดเจน แสดงถึงความงดงามของอดีต หลายปีที่ผ่านมา ปิ่นปักผมนี้เป็นสิ่งล้ำค่าข้างกายเขามาตลอด เขาไม่เคยให้ผู้ใดแตะต้อง ทว่าบัดนี้กลับถูกเขาหักออกเป็นสองท่อน
หลังจากที่อู๋จุนเดินออกจากห้องของมู่หรงฉี เขาก็ออกไปดื่มสุราที่ร้านอาหารที่เขาไปเป็นประจำ ราวหนึ่งชั่วยามจึงกลับมา
มู่หรงฉีจัดการให้อู๋จุนกับซูจิ่นซีพักอาศัยที่เรือนรับรองอันเงียบสงบในจวนฉีอ๋อง อู๋จุนหลีกเลี่ยงไม่ให้มู่หรงฉีพบเห็น จึงไม่ได้เดินเข้าทางประตูหลัก ทว่ากระโดดข้ามกำแพงเข้ามา
หลังดื่มสุราจนเมามาย อู๋จุนก็โซเซล้มลงบริเวณลานบ้านด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ
“แม่… แม่นางพิษน้อย พี่จุนกลับมาแล้ว พี่จุนเพิ่งกลับมาก็อยากเห็นหน้าเจ้า แหะ แหะ… แม่นางพิษน้อย เจ้าช่างดีเสียจริง รู้ว่าพี่จุนดื่มสุรากลับมา หนทางยามดึกดื่นเดินทางไม่สะดวก จึงได้จุดเทียนไว้สว่างถึงเพียงนี้ แม่นางพิษน้อย เจ้าช่างดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นเสียจริง ช่าง… ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นจริงๆ ”
อู๋จุนพูดอย่างขาดๆ หายๆ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ตกใจและสร่างเมาไปสามส่วน
นี่ไม่ใช่จุดตะเกียงกระมัง? แต่เป็นแสงประหลาดที่ส่องออกมาจากด้านในห้องของซูจิ่นซี! แสงประหลาดนั้นเจิดจ้ายิ่งนัก จนทำให้ลานบ้านสว่างเหมือนยามกลางวัน
“แย่แล้ว… ”
ท่าทีอู๋จุนพลันเปลี่ยนไป การตอบสนองแรกคือซูจิ่นซีฝึกวรยุทธ์จนธาตุไฟเข้าแทรก เขาเหาะเข้าไปในห้องของซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว
อู๋จุนใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก เห็นซูจิ่นซีนั่งสมาธิเดินกำลังภายในอยู่บนเตียงอย่างเงียบงัน รอบตัวมีลำแสงเปล่งประกายออกมา ทำให้แก้มของนางดูซีดขาว
แสงสว่างสาดส่องมายังดวงตาอู๋จุน กล้ามเนื้อมุมปากพลันกระตุก เขาเหาะเข้าไปหาซูจิ่นซี พยายามช่วยเหลือนาง
“แม่นางพิษน้อย ไม่ต้องกลัว พี่จุนกลับมาแล้ว! พี่จุนมาช่วยเจ้าแล้ว! ”
ตามวิธีปฏิบัติในการฝึกวรยุทธ์ หากมีผู้ที่ธาตุไฟเข้าแทรก จำเป็นต้องปิดผนึกจุดฝังเข็มขนาดใหญ่ทั่วร่างกายบริเวณโดยรอบจุดตันเถียนเสียก่อน จากนั้นจึงเดินพลังภายในยับยั้งลมปราณที่สับสนในร่างกาย
เมื่ออู๋จุนเหาะไปทางซูจิ่นซีเพื่อสกัดจุดต่างๆ รอบจุดตันเถียนของนาง เขาเพิ่งเข้าใกล้ร่างของนาง ยังไม่ทันได้สัมผัสจุดต่างๆ บนร่าง ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อและลอยค้างอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าซีดเซียวของอู๋จุนพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด ทั้งเต็มไปด้วยความสงสัยและความกังวลใจ
รอบกายของซูจิ่นซีเหมือนมีสนามแม่เหล็กที่ทรงพลังคอยดูดซับพลังภายในของเขา ทั้งสกัดกั้นไม่ให้เขาเข้าใกล้นาง
อู๋จุนไม่ได้คิดอันใดมาก ปฏิกิริยาแรกของเขาคือซูจิ่นซีฝึกวรยุทธ์ชั่วร้ายอันใด
นางขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือนางได้ นางต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าได้ยินเสียงของพี่จุนหรือไม่? ”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
อู๋จุนร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก ทว่าซูจิ่นซีที่อยู่ภายใต้ลำแสงนั้นยังคงหลับตา ไม่มีการตอบสนองใดๆ
อู๋จุนยิ่งกังวลใจมากขึ้น เขาใช้มือทาบไปยังลำแสงที่ปกคลุมซูจิ่นซี โดยไม่สนใจว่าจะถูกซูจิ่นซีค่อยๆ ดูดซับพลังของตน
“แม่นางพิษน้อย เจ้าฟื้นสิ! ”
“แม่นางพิษน้อย อันตราย… เจ้าฟื้นสิ… แม่นางพิษน้อย… ”
“เจ้าได้ยินคำพูดของพี่จุนหรือไม่? ”
“…”
ทว่าซูจิ่นซียังคงไร้การตอบสนอง
เมื่อลำแสงที่แผ่ออกมาจากร่างของซูจิ่นซีทวีความรุนแรงมากขึ้น ความเร็วในการดูดซับพลังภายในของอู๋จุนก็ยิ่งรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพลังภายในร่างกายและความแข็งแกร่งลดลง สีหน้าของอู๋จุนจึงซีดเผือด ร่างกายค่อยๆ อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ทว่ามือของเขายังคงแตะลำแสงนั้น เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง
“แม่นางพิษน้อย อันตราย เจ้าฟื้นขึ้นสิ ฟื้นเร็วเข้า… เร็ว… ฟื้นเร็ว … ”