สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 16 ตอนที่ 462 ถามหยั่งเชิงสถานะที่แท้จริงของมารดาซูจิ่นซี
- Home
- สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน
- เล่มที่ 16 ตอนที่ 462 ถามหยั่งเชิงสถานะที่แท้จริงของมารดาซูจิ่นซี
ความคิดของซูจิ่นซีถูกดึงกลับมา นางเงียบไปชั่วครู่
“จวิ้นจู่ เจ๋งมีความหมายว่าเก่ง”
“เช่นนั้น เก่งถึงเพียงใดหรือ? ”
“เก่งมาก เก่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง”
“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว ปรมาจารย์บรรพบุรุษสกุลจงของพวกเราจะไม่เก่งได้อย่างไร? ไม่เจ๋งได้อย่างไร? ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่เลียนแบบคำพูดของซูจิ่นซี
ในเวลาอันสั้น พวกนางต่างดึงหัวข้อสนทนาออกมาอย่างละเอียดยิบ ทั้งสองสนทนาถึงข้อมูลภายในของสำนักแพทย์เทียนอี ทว่าความคิดหยั่งเชิงของซูจิ่นซียังไม่จบเพียงเท่านี้!
จากคำพูดของหลิงเซียวจวิ้นจู่ ซูจิ่นซีสามารถยืนยันได้ทันทีว่า หลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นคนสกุลจงแน่นอน
สกุลจงแบ่งออกเป็นสำนักแพทย์กับสำนักโอสถ
หลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากสำนักแพทย์มีลูกศิษย์น้อย นับวันมีแต่เสื่อมถอย ทว่าสำนักโอสถกลับอาศัยความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ แผ่ขยายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือ
สกุลจงที่ทุกคนกล่าวถึง แท้จริงแล้วคือสำนักโอสถสกุลจง พวกเขาแทบลืมไปแล้วว่าสกุลจงยังมีการแบ่งเป็นสำนักแพทย์และสำนักโอสถ ทั้งยังลืมไปว่าสำนักแพทย์ยังมีตัวตนอยู่
ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่จะเป็นคนของสำนักโอสถสกุลจง ทั้งยังกล่าวได้ว่าจงเทียนอี้ที่ถูกซูจิ่นซีสังหารก่อนหน้านี้และท่านแม่ทัพใหญ่จงเนี่ย เป็นพวกเดียวกับนาง
จากท่าทีของสตรีผู้นี้ มีความเป็นไปได้ที่นางยังไม่ทราบเรื่องราวความแค้นระหว่างซูจิ่นซีกับสกุลจง
ซูจิ่นซีหรี่ตามอง
แม้วันนี้นางยังไม่ทราบ ทว่ากระดาษไม่อาจห่อไฟได้ ในอนาคต ต้องมีสักวันที่นางได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
สตรีผู้นี้จะพูดว่าไร้เดียงสาก็ไม่ไร้เดียงสาเสียทีเดียว แท้จริงแล้วยังรับมือได้ง่ายกว่าคนเหล่านั้น
เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นางอาจเกิดความคิดแก้แค้นให้จงเทียนอี้ ตามคำพูดของจงเนี่ยที่ยุยงให้เกลียดชังซูจิ่นซี
เวลานี้… ฉวยโอกาสที่ความสัมพันธ์ของพวกนางทั้งสองเป็นไปด้วยดี อีกทั้งความคิดของสตรีผู้นี้ยังนับว่าตื้นเขิน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มีบางเรื่องที่ซูจิ่นซีสามารถสอบถามได้ ก็ถือโอกาสนี้สอบถามเป็นการดีที่สุด
ซูจิ่นซีครุ่นคิดภายในใจครู่ใหญ่ นางพูดหัวข้อก่อนหน้านี้อีกครั้งด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “แหะ แหะ… จวิ้นจู่ ในเมื่อสกุลจงสืบทอดความรู้มาจากสำนักแพทย์เทียนอี เช่นนั้นวิชาแพทย์ของสกุลจงต้องยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่? ”
“แน่นอน! ” หลิงเซียวจวิ้นจู่ตอบรับเสียงดัง
“กระหม่อมสถานะต่ำต้อย ชั่วชีวิตนี้ เรื่องที่ปรารถนาเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอีคงเป็นเพียงความฝัน ทว่าหากสามารถเป็นลูกศิษย์ของสกุลจงได้ ชีวิตนี้ตายไปก็ไม่เสียดาย”
หลิงเซียวจวิ้นจู่หรี่ตามองพลางชี้หน้าซูจิ่นซี “ท่านหมอซู ที่แท้นี่คือความคิดของท่าน! ”
ซูจิ่นซียิ้ม แหะ แหะ
หลิงเซียวจวิ้นจู่พูดอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นก็ง่ายมาก อาศัยความสัมพันธ์ของท่านกับพี่ฉี รวมถึงครั้งนี้ท่านได้ช่วยชีวิตพี่ฉีไว้ ข้าในฐานะจวิ้นจู่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ท่านเอง เมื่อกลับไปยังสกุลจง ข้าจะเสนอเรื่องนี้กับท่านปู่ และคัดเลือกอาจารย์ที่เก่งกาจด้านวิชาแพทย์มาเป็นอาจารย์ของท่าน จัดพิธีรับท่านเข้าสกุลจง”
“แหะ แหะ กระหม่อมขอบพระทัยจวิ้นจู่ ทว่า… กระหม่อมยังมีเรื่องที่ต้องขอประทานอนุญาต”
“ท่านหมอซู ท่านไม่ต้องเกรงใจข้า มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาเถิด! ”
ซูจิ่นซีแสดงท่าทีเกรงใจ “ตอนที่กระหม่อมยังเด็ก มีสตรีแซ่จงผู้หนึ่งเคยช่วยชีวิตกระหม่อม สตรีผู้นั้นเป็นคนสกุลจงเช่นกัน หากสามารถคำนับท่านผู้มีพระคุณเป็นอาจารย์ กระหม่อมย่อมสามารถทดแทนบุญคุณและให้เกียรติผู้มีพระคุณได้ เรื่องนี้เป็นผลดีถึงสองประการในคราเดียว สมบูรณ์แบบที่สุด” นางพูดพลางเผยให้เห็นสีหน้าเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด “ดังนั้น… เรื่องนี้ กระหม่อมต้องการขอร้องจวิ้นจู่ พระองค์คิดว่าพอทำได้หรือไม่… ”
“ท่านหมอซู ที่แท้ท่านก็มีอาจารย์ที่ท่านต้องการเป็นศิษย์อยู่แล้ว! ” หลิงเซียวจวิ้นจู่พูดพลางหรี่ตามอง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็พูดออกมาตามตรงเถิด ท่านคิดจะคำนับเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านใดหรือ? ”
“นางมีชื่อว่าอย่างไร กระหม่อมไม่แน่ใจนัก ตอนที่กระหม่อมใกล้จะหมดสติ มีคนเรียกนางว่าซีจือ”
“จงซีจือ? ”
“ใช่แล้ว! ”
“ที่แท้ก็เป็นท่านอาซีจือ! ”
ซูจิ่นซีลอบดีใจ “จวิ้นจู่ ท่านรู้จักคนผู้นี้หรือ? เวลานี้นางอยู่ที่ใด? ”
ซูจิ่นซีพูดอ้อมค้อมเป็นเวลานาน ที่นางเพิ่งเอ่ยชื่อจงซีจือ ไม่ใช่เพื่อต้องการยืนยันที่อยู่ของนาง
จงซีจือเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ซูจิ่นซีเห็นกับตาตนเอง มันเป็นความเจ็บปวดที่นางไม่มีวันลืมเลือน
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ซูจิ่นซีถามเช่นนี้ เป้าหมายมีเพียงเรื่องเดียวคือ เพื่อยืนยันว่าจงซีจือมีสถานะเป็นมารดาของนางหรือไม่
หลิงเซียวจวิ้นจู่ขมวดคิ้วเครียด นางมีท่าทีลำบากใจ “ท่านหมอซู หากท่านต้องการเป็นลูกศิษย์ของท่านอาซีจือ เรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก”
“ยากอย่างไรหรือ? แม้ไม่อาจเป็นลูกศิษย์ได้ ให้เป็นบ่าวรับใช้ของนาง ข้าก็ยินยอม! จวิ้นจู่ ในเมื่อพระองค์เรียกนางว่าท่านอา เรื่องนี้คงจะ… ไม่ใช่เรื่องยากกระมัง! หรือว่า… มีเรื่องอันใดซ่อนเร้น? ”
ดวงตาหลิงเซียวจวิ้นจู่ทอประกาย นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เงยหน้ามองซูจิ่นซี ใบหน้าพลันปรากฏชัดถึงความมั่นใจ
“ท่านหมอซู ผู้มีพระคุณที่ท่านตามหา ผู้ที่ท่านต้องการเป็นลูกศิษย์เพื่อทดแทนบุญคุณ แม้กระทั่งยินยอมเป็นบ่าวรับใช้ ข้าประทับใจยิ่งนัก ทั้งคิดจะช่วยเหลือท่านจากใจจริง ทว่าข้าขอบอกความจริงกับท่าน! แท้จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่ายามนี้ท่านอาซีจืออยู่ที่ใด นางหายสาบสูญไปนานมากแล้ว”
“หายสาบสูญหรือ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ”
ท่าทางประหลาดใจ ตกใจ ซูจิ่นซีล้วนปั้นแต่งขึ้นมา แท้จริงแล้วนางเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี นางรู้ดียิ่งกว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่เสียอีกว่าการหายสาบสูญของจงซีจือมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่
ซูจิ่นซีถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “เช่นนั้น นางมีญาติสนิทบ้างหรือไม่? ต่อให้ไม่สามารถเป็นศิษย์ของอาจารย์ซีจือได้ ทว่าคำนับญาติสนิทของนางเป็นอาจารย์ก็ย่อมได้เช่นกัน ในเมื่ออาจารย์ซีจือไม่อยู่แล้ว กระหม่อมก็ดูแลญาติสนิทแทนนาง ถือเป็นการทดแทนบุญคุณเช่นกัน”
หลิงเซียวจวิ้นจู่มองซูจิ่นซีและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ท่านหมอซู เหตุใดท่านจึงดึงดันเช่นนี้! ทดแทนบุญคุณเป็นเรื่องหนึ่ง คำนับเป็นศิษย์ก็อีกเรื่องหนึ่ง หากท่านคิดทดแทนบุญคุณ รอจนตามหาท่านอาซีจือพบย่อมมีโอกาสตอบแทนแน่นอน ทว่าการเรียนวิชาความรู้ หากได้อาจารย์ผิด ย่อมหมายถึงเส้นทางชีวิตที่คดเคี้ยววกวนตลอดไป”
ซูจิ่นซีตั้งใจเผยให้เห็นท่าทีเสียใจ นางมองหลิงเซียวจวิ้นจู่โดยไม่พูดอันใด
“ท่านก็รู้ แท้จริงแล้วสกุลจงของเราแบ่งออกเป็นสำนักแพทย์และสำนักโอสถ สำนักแพทย์นั้น นับวันยิ่งเสื่อมถอย หลายปีมานี้น้อยคนนักที่จะถามถึง ท่านอาซีจือมาจากสำนักแพทย์ เวลานี้ เหล่าคนที่เหลืออยู่ในสำนักแพทย์ก็มีวิชาแพทย์เพียงผิวเผิน กระทั่งหมอตามร้านยาทั่วไปยังเทียบไม่ได้ ท่านจะดึงดันไปเพื่ออันใด?
หากท่านต้องการเป็นลูกศิษย์ ในสำนักโอสถเรามีผู้ที่ชำนาญวิชาแพทย์ ขอเพียงข้าเอ่ยปาก หากท่านคิดจะเป็นศิษย์สำนักโอสถสกุลจงก็ย่อมได้”
เรื่องที่ซูจิ่นซีต้องการรู้ ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที
ภาพเบื้องหน้าอันมืดสลัว เรื่องราวซับซ้อนยากแยกแยะ ขอเพียงกระชากผ้าที่ปกคลุมดั่งหมอกหนาทึบออกไป ความจริงก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้า
ซูจิ่นซีพยายามอดกลั้นความตื่นเต้นแกมยินดีไว้ภายในใจ ใบหน้ายังคงแสดงท่าทีที่ควรแสดงออกมาให้เห็น เพื่อไม่ให้หลิงเซียวจวิ้นจู่เกิดความสงสัย
ซูจิ่นซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็พร่ำบ่นด้วยเสียงแผ่วเบาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ที่แท้ ชาติกำเนิดของท่านอาจารย์ซีจือก็ตกต่ำถึงเพียงนี้”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ถูกซูจิ่นซีกระตุ้นจนสีหน้าบึ้งตึง
นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “แท้จริงแล้ว ชาติกำเนิดของท่านอามิได้ตกต่ำเช่นนั้น จะพูดอย่างไรดี โชคดีที่นางเป็นคุณหนูสามของสำนักแพทย์สกุลจง แม้ยามนี้สำนักแพทย์จะไม่มีชื่อเสียงเท่าสำนักโอสถ ทว่ายังเป็นสำนักหนึ่งในสกุลจงเช่นกัน ยังพอได้รับความเคารพจากคนภายนอก”
คุณหนูสามของสำนักแพทย์สกุลจง…
ทั้งแววตาและใบหน้าของซูจิ่นซียังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็หันศีรษะไปทางนอกหน้าต่าง นางทอดสายตามองแสงอาทิตย์ ฟังเสียงนกร้องเซ็งแซ่ และกลิ่นดอกไม้หอมโชย
ที่แท้ นี่คือสถานะที่แท้จริงของมารดานาง