สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 16 ตอนที่ 469 สตรีนางนั้นควรได้รับโทษ
“ฉีอ๋องเรียกลูกไปตรวจอาการป่วยของคุณชายท่านนั้น แม้คุณชายท่านนั้นจะแต่งกายเป็นบุรุษ ทว่าตอนที่ลูกตรวจชีพจรของเขา กลับพบว่าชีพจรของเขาละเอียดอ่อนเล็กน้อย เป็นชีพจรของสตรี ดังนั้นลูกจึงสรุปว่าคุณชายท่านนั้นเป็นหญิงที่ปลอมเป็นชาย”
ฮูหยินเฒ่าพยายามระงับความรู้สึกอย่างยากลำบาก สุดท้ายก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง นางกุมจี้หยกแนบอกของตน
“ดี! ดี! ดี! ดีที่เป็นบุตรสาว! บุตรสาวเติบโตขึ้นจะต้องฉลาดหลักแหลมเหมือนซีจือ น้องสาวของเจ้า”
จงรุ่ยอันยิ้มแล้วพูดว่า “แม้นางยังคงไม่ได้สติ ทว่าลูกมองดูคิ้วของนางอย่างละเอียด ช่างเหมือนน้องซีจือยิ่งนัก คิดว่าตอนที่นางฟื้นขึ้นมาแล้วคงมีลักษณะที่ฉลาดหลักแหลมเหมือนน้องสาวเป็นแน่”
ฮูหยินเฒ่าเม้มริมฝีปากแน่น ทั้งยังพยักหน้าไม่หยุดและพูดออกมาว่า “ฉลาดหลักแหลมก็ดี ฉลาดหลักแหลมก็ดี! สตรีที่ฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันอ่อนแอ ต้องมีนิสัยกล้าหาญเข้มแข็ง กล้าหาญเมื่อพบเจอเรื่องต่างๆ นี่จึงจะเป็นลักษณะของคนสำนักแพทย์สกุลจง”
ฮูหยินเฒ่าพูดพลางน้ำตาไหลอาบสองแก้ม “เอาเถิด แม้หลายปีมานี้ พวกนางสองแม่ลูกไม่ได้อยู่ข้างกายข้า ทว่าข้าก็โล่งใจ ตราบใดที่พวกเขามีลักษณะของคนสกุลจงของข้าติดตัวไปด้วย ย่อมสืบทอดจิตวิญญาณของคนสกุลจงข้า ไปที่ใดก็ไม่ปราชัย โชคดีแคล้วคลาด เจ้าว่าแม่พูดถูกหรือไม่? ”
จงรุ่ยอันเห็นมารดาร้องไห้ จึงเกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นภายในใจชั่วครู่ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดของดวงตา แม้จะเป็นบุตรชาย แต่ก็อดร้องไห้ออกมาอีกครั้งไม่ได้
จงรุ่ยอันพยักหน้าพูดตอบ “ท่านแม่พูดถูก ท่านแม่พูดถูก! ”
ฮูหยินเฒ่าแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้น นางก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ นางกุมมือจงรุ่ยอันและพูดว่า “ใช่แล้ว เมื่อครู่เจ้าบอกว่าฉีอ๋องเรียกเจ้าไปตรวจดูอาการป่วยของนาง นางเป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บป่วยใช่หรือไม่? หนักหรือไม่? ตอนนี้เป็นอย่างไร? ”
จงรุ่ยอันเห็นใบหน้าวิตกกังวลของมารดา ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองพูดสิ่งใดผิดไปจนทำให้ท่านแม่กังวล เขาประคองมือฮูหยินเฒ่าและพูดปลอบว่า “ท่านแม่วางใจได้ บุตรสาวของซีจือสบายดี ทว่าดูเหมือนนางจะมีเรื่องบางอย่างปกปิดไว้ภายในใจ ทำให้ครุ่นคิดเป็นกังวลมากไป กอปรกับไอเย็นเข้าแทรก ร่างกายจึงรับไม่ไหว ลูกได้เขียนเทียบยาให้ฉีอ๋องแล้ว ทั้งฉีอ๋องยังให้เทียนโย่วคอยดูแลนาง อีกสองวันคงฟื้นตัว”
“เช่นนั้นก็ดี! เช่นนั้นก็ดี! ” ฮูหยินเฒ่าโล่งใจ
จากนั้นจึงพูดว่า “ข้ามีโสมคน อบเชย และยาสมุนไพรล้ำค่าอื่นๆ อยู่บ้าง เจ้าจงไปนำมา จากนั้นก็นำยาที่รักษาไอเย็นไปด้วย ให้เด็กสาวผู้นั้นบำรุงร่างกาย อย่าได้ทิ้งโรคเรื้อรังใดๆ ไว้” ฮูหยินเฒ่าครุ่นคิด ก่อนจะยืนขึ้นและพูดอีกครั้งว่า “ไม่ได้ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง ให้ผู้อื่นไป ข้ารู้สึกไม่วางใจ! ”
จงรุ่ยอันแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาประคองฮูหยินเฒ่าและพูดว่า “ท่านแม่กังวลเกินไปแล้ว! ท่านลืมแล้วหรือ? ตอนนี้เด็กสาวผู้นั้นอยู่ที่จวนฉีอ๋อง นางเป็นแขกของจวนฉีอ๋อง จวนฉีอ๋องขาดยาสมุนไพรล้ำค่าใดบ้าง? พระองค์มียาสมุนไพรล้ำค่ายิ่งกว่าโสมคนตั้งมากมาย! อย่างไรก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางยังมีสวรรค์คอยปกป้องคุ้มครอง ต้องไม่หลงเหลืออาการเรื้อรังใดๆ ไว้อย่างแน่นอน! ”
ฮูหยินเฒ่าชักสีหน้าในทันที นางพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ฉีอ๋องจะเทียบกับพวกเราได้อย่างไร? ต่อให้ดีกับนางเพียงใด ก็จำกัดอยู่ที่ความสัมพันธ์ฉันมิตร พวกเราเป็นญาติของนาง แม้สิ่งต่างๆ จะไม่ดีเท่าจวนฉีอ๋อง ทว่าความรักและความเอาใจใส่ต่อนางย่อมมีมากกว่าผู้ใด”
จงรุ่ยอันรีบพยักหน้า “ใช่ใช่ใช่ เป็นลูกที่เลอะเลือน ท่านแม่ ท่านอย่าไปเลย ลูกจะนำสิ่งของไปให้นางเอง เป็นอย่างไร? อย่างไรเสีย ที่นั่นก็เป็นจวนฉีอ๋อง หากไม่มีรับสั่งจากฉีอ๋อง อาศัยเพียงฐานะสำนักแพทย์สกุลจงของพวกเราในยามนี้ และไปที่นั่นเองโดยไม่ได้รับอนุญาต คงไม่เป็นการดี! ”
แม้ฮูหยินเฒ่าจะร้อนใจต้องการพบซูจิ่นซี ทว่าสิ่งที่จงรุ่ยอันพูดมาก็มีเหตุผล ดังนั้นนางจึงยอมล่าถอย
ฮูหยินเฒ่าถอนหายใจยาวด้วยท่าทางผิดหวัง “ช่างเถิด ช่างเถิด! เจ้าเอาไปเถิด! เฮ้อ… สกุลจงของพวกเราทำบาปทำกรรมอันใด? ถือกำเนิดจากรากฐานเดียวกัน เหตุใดจึงรีบทำร้ายกันเอง… สำนักแพทย์และสำนักโอสถต่างมีจิตวิญญาณร่วมกัน ทว่าตอนนี้แพทย์ก็อยู่ส่วนแพทย์ โอสถก็อยู่ส่วนโอสถ เช่นนี้ยังเป็นสกุลจงที่ใดกัน? จะเป็นสกุลจงได้อย่างไร! ”
นางพูดพลางลุกขึ้นเดินไปเบื้องหน้าองค์พระแล้วคุกเข่าลง
ปากพูดพึมพำ “ขอบคุณพระท่านที่คุ้มครอง บุตรของข้าจากไปนานหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็มีข่าวคราวของนาง ขอบคุณพระท่านที่คุ้มครอง! ”
จงรุ่ยอันทำตามความต้องการของฮูหยินเฒ่า เขาเตรียมยาสมุนไพรและของบำรุงจำนวนมากส่งไปยังจวนฉีอ๋อง ทั้งยังไปตรวจดูอาการให้ซูจิ่นซีหลายครั้ง รวมถึงเยี่ยมเยียนจงเทียนโย่วที่อยู่ดูแลซูจิ่นซี
น้ำใจและความห่วงใยของจงรุ่ยอันและสำนักแพทย์สกุลจง ในยามนี้ซูจิ่นซีไม่รับรู้สิ่งใดแม้แต่น้อย
เดิมที หลังจากที่ซูจิ่นซีฟื้น นางก็ทานยาตามที่ระบบถอนพิษให้มาจนเกือบหายดีแล้ว นางพูดกับจงรุ่ยอันและจงเทียนโย่วไปหลายครั้งว่าไม่จำเป็นต้องคอยดูแลอยู่ข้างกาย และไม่ต้องต้มยาให้นางอีก ทว่าจงรุ่ยอันสองพ่อลูกยังคงปฏิบัติตัวตามปกติ พวกเขาเฝ้าดูแลซูจิ่นซีตลอดเวลา จนนางทานยาครบหมดทั้งเจ็ดวันจึงออกจากจวนฉีอ๋อง
ซูจิ่นซีเห็นเทียบยาที่จงรุ่ยอันเขียนแล้ว ล้วนเป็นยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนเป็นส่วนใหญ่ แม้จะใช้ยาในยามที่ไม่ป่วย ไข้ ก็ไม่ส่งผลเสียใดๆ ทั้งยังมีฤทธิ์บำรุงร่างกายอย่างมาก
ตอนนี้ร่างกายของนางไม่สู้ดีนัก หากบำรุงสักหน่อยก็คงดี เพียงคิดว่านี่เป็นความต้องการของมู่หรงฉี ซูจิ่นซีจึงยอมรับแต่โดยดี
ทุกๆ วัน มู่หรงฉีจะมาเยี่ยมซูจิ่นซีเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม นอกจากเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของซูจิ่นซีแล้ว ยังนำสิ่งของหลายอย่างมาให้นางอีกด้วย
อาทิ ใบชาสดใหม่ของเมืองไหวเจียงแคว้นหนานหลี หนังสือที่มีชื่อเสียงด้านวิชาพิษและวิชาแพทย์ หรือข้าวของเครื่องใช้แบบใหม่ของเมืองเย่หลินที่เพิ่งวางจำหน่าย อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการกระทำที่ให้ซูจิ่นซีได้ผ่อนคลาย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่ภายในใจมากเกินไป จนก่อให้เกิดผลร้ายต่อร่างกายตนเอง
แน่นอนว่าซูจิ่นซีเห็นถึงความปราถนาดีของมู่หรงฉีและรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ในระหว่างที่ซูจิ่นซีเจ็บป่วย แท้จริงแล้วยังมีคนสำคัญผู้หนึ่งที่มีเยี่ยมเยียนนาง เนื่องจากเป็นค่ำคืนที่แสงจันทร์งดงามดั่งบุปผายามราตรี ทั้งยังเงียบสงัด การเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้ร่องรอยของคนผู้นั้นราวกับเทพเซียน ดังนั้นซูจิ่นซีและทุกคนในจวนฉีอ๋องจึงไม่ได้สังเกต
ผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้ร่องรอย ใต้หล้านี้เกรงว่าไม่มีผู้ใดเทียบได้กับจิ่วหรง คุณชายจิ่ว เจ้าสำนักแพทย์เทียนอีอีกแล้ว
ใช่!
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด จิ่วหรงและจิ้งจอกน้อยตัวนั้นได้มาเยี่ยมซูจิ่นซี
ค่ำคืนนี้ยังคงเป็นคืนที่มืดมิด ท้องฟ้ามีดวงจันทร์กลมโตลอยเด่น แสงจันทร์ทอประกายสาดส่องลงมาบนพื้นดินอย่างเงียบงัน ช่างงดงามยิ่งนัก
คราแรก แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาราวกับมีเส้นด้ายสีเดียวกัน ทว่าหนากว่าเล็กน้อย
สีนั้นอ่อนจนแทบกลืนไปกับสีพื้นหลังของดวงจันทร์ หากไม่สังเกตให้ดีคงไม่อาจมองเห็น
ลวดลายนั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและเข้มขึ้น เมื่อภาพนั้นมีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ จึงเผยให้เห็นรูปร่างอย่างชัดเจน
ที่แท้ สิ่งนั้นคือเงาของคนผู้หนึ่ง
เขามีรูปร่างงดงามเหนือผู้ใด ร่างนั้นเหาะลงบนชายคาเรือนพักในจวนฉีอ๋องที่ซูจิ่นซีอาศัยอยู่อย่างสง่างาม
เสื้อคลุมสีขาวดั่งหิมะที่ไร้รอยยับย่นนั้น พลิ้วไหวราวกับเมฆขาวบนท้องฟ้า ทว่าผมที่พาดอยู่ด้านหลังกลับดกดำและเรียบยาวดุจน้ำตก ไม่พันกันแม้แต่น้อย
“จี๊ด จี๊ด… ”
จิ้งจอกน้อยสีขาวหิมะซึ่งเป็นสีเดียวกับชุดของเขา โผล่ศีรษะออกมาจากแขนเสื้อกว้าง แววตาของมันเป็นประกาย เมื่อมันปีนออกมาจากแขนเสื้อก็มองไปทางห้องของซูจิ่นซี แล้วส่งเสียงร้อง “จี๊ด จี๊ด”
จิ่วหรงโบกฝ่ามือ จิ้งจอกน้อยจึงกระโดดขึ้นไปบนหัวไหล่ของเขา
“จี๊ด จี๊ด… ”
จิ้งจอกน้อยส่งเสียงอีกครั้ง และดูเหมือนเสียงนั้นจะมีบางอย่างที่แปลกไป มันทั้งตื่นเต้นและแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
จิ่วหรงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมีความอบอุ่น งดงาม และชัดเจนยิ่งกว่าแสงจันทร์ยามเที่ยงคืนเสียอีก
เขาใช้นิ้วเรียวยาวงดงามค่อยๆ ลูบไล้ขนอ่อนนุ่มสีขาวราวหิมะของจิ้งจอกน้อย แววตาของเขาอ่อนโยนอย่างมาก
“สตรีนางนั้นทำร้ายตนเองอีกแล้ว! ทว่าครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน นางกลับทำเพื่อบุรุษอื่น! เจ้าคิดว่านางควรได้รับโทษหรือไม่? ”
“จี๊ด จี๊ด… ”