สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 16 ตอนที่ 480 เขาคือเทพแห่งความตายจากขุมนรก
ชั่วพริบตา ลูกธนูที่ราวกับห่าฝนก็พุ่งมาทางซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น
ซูจิ่นซีเห็นลูกศรเรียวยาวค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น… ใหญ่ขึ้น… ใหญ่ขึ้น และพุ่งมาทางนาง
“หมอหลวงอวิ๋น ระวัง”
ซูจิ่นซีผลักอวิ๋นจิ่นไปด้านหลังอย่างแรง พลางคว้าท่อนไม้มาไว้ในมือ และรีบวิ่งไปด้านหน้าเพื่อสกัดกั้นลูกธนูนั้น
แม้ซูจิ่นซีเพิ่งได้ฝึกฝนพลังภายใน ทั้งยังเรียนรู้กระบวนท่าไม่มากนัก ทว่าร่างเล็กบอบบางของนางกลับรับห่าธนูที่เต็มไปด้วยไอสังหารอย่างแข็งแกร่ง ทรงพลัง และกล้าหาญ เพื่อป้องกันตนเอง นางยังใช้ไหล่อันบอบบางปกป้องร่างของอวิ๋นจิ่นที่มีกำลังอ่อนแอและไม่มีวรยุทธ์
เมื่ออวิ๋นจิ่นลุกขึ้นมาจากพื้น เขาเห็นร่างเล็กและบอบบางของซูจิ่นซียืนอยู่ท่ามกลางห่าธนู
หลายครั้งที่ลูกธนูซึ่งเต็มไปด้วยไอสังหารเฉียดผ่านจุดอันตรายบนร่างกายของนาง หลายครั้งที่นางหันหลังมาป้องกันลูกธนูที่พลาดเป้าและมุ่งไปทางอวิ๋นจิ่น หลายครั้งที่นางช่วยอวิ๋นจิ่นจากความตายโดยไม่ทันหลบหลีกลูกธนูที่ยิงมาที่ตน ทำให้ร่างกายของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด
คราบเลือดเหล่านั้น ร่างอันบอบบางนั้น สะท้อนให้เห็นในดวงตาอ่อนโยนของอวิ๋นจิ่น แววตาของเขาค่อยๆ ปรากฏความล้ำลึกราวกับน้ำในสระ
ในที่สุด ร่างสีขาวดุจหิมะของอวิ๋นจิ่นก็เหาะขึ้นไปทางห่าธนูที่ดำมืดดั่งเมฆครึ้ม เขาเหาะไปยืนข้างกายซูจิ่นซี และจับมือซูจิ่นซีมาปกป้องไว้ด้านหลังตนเอง
อวิ๋นจิ่นไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทำเพียงชำเลืองมองพลธนูที่อยู่ตรงข้ามด้วยแววตาสังหาร และใช้แขนเสื้อปัดป้องลูกธนูที่ยิงใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นลูกธนูตกลงบนพื้น ทันใดนั้น ภายในใจของซูจิ่นซีก็รู้สึกประหลาดใจ “อวิ๋นจิ่น เจ้ามีวรยุทธ์หรือ? ”
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจคิดสิ่งใดได้มากนัก
ห่าธนูพุ่งมาอย่างต่อเนื่อง อวิ๋นจิ่นพาซูจิ่นซีพลิกตัวหลบลูกธนูที่พุ่งมากลุ่มแรก จากนั้นก็โอบเอวซูจิ่นซี ยกร่างของนางขึ้นและโยนออกไปที่ปากทางเข้า
“พระชายา รีบหนีไปก่อน! ”
ร่างของซูจิ่นซีลอยออกไปไกลมากขึ้นทุกที ขณะเดียวกัน อวิ๋นจิ่นในชุดสีขาวดั่งหิมะที่เข้าขัดขวางห่าธนูนั้น ก็ยิ่งห่างไกลจากนางมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ร่างของซูจิ่นซีกำลังจะตกลงบนชายคา พลธนูที่ยิงลูกธนูระลอกแรกไปทางอวิ๋นจิ่น พลันเปลี่ยนทิศทางการยิงธนูไปอีกทางหนึ่ง พวกเขาหันปลายลูกธนูที่วางอยู่คันศรและยิงไปทางซูจิ่นซี
ร่างของซูจิ่นซีที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่สามารถออกแรงได้ ลูกธนูเหล่านั้นเคลื่อนที่เข้าใกล้ตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งอวิ๋นจิ่นที่กำลังต้านทานห่าธนูอยู่ก็ไม่ทันสังเกตเห็น
ความเป็นความตายของซูจิ่นซีขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น ชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น หนึ่งในกลุ่มนั้นจับตัวซูจิ่นซีไว้ และพาร่อนลงจากชายคาอย่างมั่นคง
“แม่นางซู! ฉีอ๋องให้ข้ามารอรับท่าน! ”
มาได้ทันเวลาพอดี!
ซูจิ่นซีไม่คิดสิ่งใดมาก นางรีบชี้ไปที่อวิ๋นจิ่น “รีบไปช่วยเขา! ”
หลังสิ้นเสียงคำพูด คนผู้นั้นก็ยกมือขึ้น ชายชุดดำที่เหลือจึงวิ่งไปทางอวิ๋นจิ่น
“แม่นางซู ที่นี่อันตรายยิ่งนัก ไม่ควรรั้งอยู่นาน ฉีอ๋องรอพบแม่นางซูอยู่ที่ประตูทางเข้าวังหลวง ข้าจะพาท่านไปก่อน”
เมื่อพูดจบ ยังไม่ทันรอให้ซูจิ่นซีเอ่ยปาก คนชุดดำผู้นั้นก็พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า “ล่วงเกินแล้ว! ” จากนั้นเขาก็อุ้มซูจิ่นซีมุ่งหน้าไปยังทางที่มีแสงสว่างสาดส่องในยามค่ำคืน ทั้งยังมีดอกไม้หลากสีสันประดับไว้
ขณะที่หันกลับไปมอง ซูจิ่นซีก็ต้องตกตะลึง นางเห็นพลธนูเปลี่ยนลูกธนูให้มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ และยิงลูกธนูห้าดอกในครั้งเดียวไปทางอวิ๋นจิ่น
ร่างของอวิ๋นจิ่นเหาะเหินอยู่ท่ามกลางห่าธนู เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีวิชาแยกร่าง หรือหลบหลีกลูกธนูที่หมายเอาชีวิต
“อวิ๋นจิ่น”
ซูจิ่นซีตะโกนเรียก นางพูดกับชายชุดดำว่า “เร็ว รีบไปช่วยอวิ๋นจิ่น เร็ว พวกเรากลับไปช่วยเขา! ”
ร่างของชายชุดดำยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ฟังคำพูดของซูจิ่นซีที่ให้เปลี่ยนทิศทาง
“แม่นางซู หมอหลวงอวิ๋นมีพี่น้องของเราคอยช่วยเหลือแล้ว เขาไม่มีทางได้รับอันตรายอย่างแน่นอน ท่านโปรดวางใจ ฉีอ๋องมีรับสั่งให้ข้าพาท่านกลับไปให้ได้ขอรับ”
ซูจิ่นซีมองไปยังทิศทางที่อวิ๋นจิ่นอยู่ด้วยแววตาประหลาดใจ
ลูกธนูนั้น ต่อให้อวิ๋นจิ่นมีความสามารถมากเพียงไร ก็ไม่อาจหลบพ้นได้แน่นอน
เขาจะไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคงนึกไม่ถึง
หลังจากที่นางถูกชายชุดดำพาตัวไปในค่ำคืนมืดมิด อวิ๋นจิ่นในชุดขาวดุจหิมะ ทั้งยังอบอุ่นอ่อนโยนราวกับหยกอยู่เสมอ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยแรงอาฆาตรุนแรงอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน แรงอาฆาตในดวงตาเย็นชานั้น แผดเผาจนทำให้ผู้คนสะพรึงกลัว
อวิ๋นจิ่นเปรียบเสมือนเทพแห่งความตายที่มาจากขุมนรก เขาพลิกตัวและยกมือขึ้น ธนูใหญ่ทั้งห้าดอกที่มีไอสังหาร รวมทั้งลูกธนูที่พุ่งมาราวห่าฝนพลันหยุดนิ่งกลางอากาศ
เมื่อเขาเลิกคิ้วและพลิกฝ่ามือ ลูกธนูเหล่านั้นก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ และลอยหายไปตามสายลมหนาวที่พัดผ่านมา
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้เหล่าพลธนูและชายชุดดำที่มาช่วยเหลือต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป
พลธนูบางคนตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าจนโยนคันธนูทิ้งและวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
มือของอวิ๋นจิ่นที่กำแน่นอยู่ข้างกายก่อตัวเป็นแสงสีฟ้าเย็นยะเยือก จากนั้น เขาก็เลื่อนมือไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า พลังเย็นยะเยือกสีฟ้าในมือทั้งสองมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็รวมกันเป็นก้อนเดียว
อวิ๋นจิ่นพลิกฝ่ามืออีกครั้ง ราวกับเทพแห่งความตายที่ควบคุมความเป็นตายในโลกนี้ เขาซัดพลังหมัดขนาดใหญ่นั้นออกไป
ท่ามกลางใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ม่านพลังสีฟ้าเย็นยะเยือกพลันแตกกระจายดัง ‘ครืน’ สังหารทุกคนในชั่วพริบตา
ใช่ เพียงชั่วพริบตา!
เหล่าพลธนูหรือแม้กระทั่งชายชุดดำที่มาช่วยเหลือ นอกจากใบหน้าตกตะลึงก่อนเสียชีวิตแล้ว พวกเขาไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดใดๆ ทุกคนล้วนเสียชีวิตในทันที
แม้จะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด ในสถานการณ์ที่ต้องรับมือกับผู้คนจำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้า ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ทว่าอวิ๋นจิ่นใช้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น
เมื่อจบการต่อสู้ในสองกระบวนท่าแล้ว อวิ๋นจิ่นไม่แม้แต่ชำเลืองตามองซากศพที่ล้มกองอยู่บนพื้น ร่างอบอุ่นดั่งหยกของเขาพลันมีท่วงท่าราวกับเทพเซียน แววตาอาฆาตค่อยๆ จางหายไป แปรเปลี่ยนเป็นแววตาสงบนิ่งดังเดิม เขาใช้หางตามองดูสิ่งต่างๆ บนโลก อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ บนโลกนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา
ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘จี๊ด จี๊ด’ มาแต่ไกล จิ้งจอกน้อยน่ารักตัวนั้นที่ติดตามข้างกายจิ่วหรงอยู่เสมอ วิ่งเข้ามาหาอวิ๋นจิ่นจากระยะไกลและวิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
อวิ๋นจิ่นยื่นมือออกไป จิ้งจอกน้อยน่ารักก็กระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น
ดวงตาของอวิ๋นจิ่นที่มองไปยังจิ้งจอกน้อยน่ารักตัวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขาใช้นิ้วเรียวยาวลูบไล้ขนสีขาวราวหิมะของจิ้งจอกน้อยน่ารักอย่างแผ่วเบา
‘จี๊ด จี๊ด’ จิ้งจอกน้อยร้องครางออกมา มันใช้ศีรษะถูไถร่างกายของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางที่มือขวา กรีดไปที่ขาข้างหนึ่งของจิ้งจอกน้อยอย่างแผ่วเบาจนมีเลือดไหลออกมา
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและสะบัดหยดเลือดที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากปากแผลออกไป หยดเลือดที่ถูกสะบัดออกไปกระจายไปทั่วทิศทางจนกลายเป็นหมอกสีเลือด เมื่อหมอกสีเลือดพัดผ่าน ซากศพทั้งหมดพลันกลายเป็นฝุ่นผง กระทั่งคราบเลือดก็จางหายไป จนไม่หลงเหลือคราบเลือดแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยอื่นใด