สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 17 ตอนที่ 482 โยวอ๋องกลับมา
หลังจากที่องครักษ์นายนั้นตอบรับ เขาไม่ได้จากไปในทันที ทว่าแสดงท่าทางเหมือนต้องการพูดอันใดบางอย่าง
“ยังมีเรื่องอันใดอีก? ”
องครักษ์หันไปมองซูจิ่นซี จากนั้นก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้มู่หรงฉี
ไม่รู้ว่าเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอย่างไร เมื่อมู่หรงฉีก้มลงไปอ่าน ทันใดนั้น แววตาเคร่งขรึมของเขาพลันตกตะลึง
“เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ? ”
“เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ พี่น้องเราที่ประตูเมืองล้วนเห็นกับตาตนเอง นอกจากนั้น พี่น้องเราที่อยู่ประจำด่านต่างๆ ก็เห็นเช่นกัน หลังจากที่กระหม่อมยืนยันหลายครั้งจนมั่นใจ จึงกล้ามาทูลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของมู่หรงฉีปรากฏความซับซ้อน มองไม่ออกว่าสุขหรือทุกข์ ครู่หนึ่งเขาก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้องครักษ์ถอยออกไป
จากนั้นมู่หรงฉีก็หันไปมองซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียังคงจ้องมองดอกไม้นานาพันธุ์ในสวนดอกไม้ ราวกับนางไม่ทันสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของมู่หรงฉี
มู่หรงฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงพูดขึ้น “จิ่นซี! ”
ซูจิ่นซีหันกลับมาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ทั้งยังมองมู่หรงฉีด้วยแววตาสดใส
เมื่อเห็นดวงตาที่สดใสเป็นประกายของซูจิ่นซี คำพูดที่มู่หรงฉีกำลังจะเอ่ยออกมาพลันกลืนกลับเข้าไป เขาไม่ต้องการพูดอันใดแล้ว
ตั้งแต่ที่ซูจิ่นซีจากแคว้นจงหนิงมายังแคว้นหนานหลี ดูเหมือนนางไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มานานมากแล้ว!
แม้บางเวลานางจะแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของนางไม่ได้มาจากเบื้องลึกของจิตใจ
ดังนั้น มู่หรงฉีจึงตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้ เพราะต้องการสร้างความประหลาดใจให้นาง
บางทีมันอาจเป็นความประหลาดใจที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่ามู่หรงฉีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางมีท่าทีงุนงงอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอันใด ทั้งยังขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉีอ๋อง มีเรื่องอันใดติดอยู่ในพระทัยหรือ? เหตุใด พระองค์พูดออกมาเพียงครึ่งประโยคก็หยุดพูดเล่า? ”
มู่หรงฉีกลับมาได้สติ พลางแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น “ไม่มีอันใด! ”
หลังจากนั้น เขาก็ยกสุราบนโต๊ะขึ้นมาและหันไปทางซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีหรี่ตาลงเล็กน้อย นางไม่ได้ยกจอกสุราขึ้นมาชนกับมู่หรงฉีอย่างที่เขาคิด ทว่ากลับขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉีอ๋อง พระองค์ไม่พบหมอหลวงอวิ๋นใช่หรือไม่? ”
มู่หรงฉีพลันตกตะลึงและมองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เมื่อครู่ เพื่อไม่ให้ซูจิ่นซีได้ยิน เขากับองครักษ์จึงสนทนากันอย่างระมัดระวัง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่สุด เหตุใด… นางยังคาดเดาได้อีก?
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาภายในวังหลวง นางก็เปิดอาคมกำไลปี่อั้นตลอดเวลา
แม้เสียงภายนอกจะดังอึกทึก ทำให้ไม่สามารถเปิดอาคมกำไลปี่อั้นด้วยความถี่สูงมากนัก ทว่าจากระยะห่างระหว่างนางกับมู่หรงฉี การได้ยินบทสนทนาของเขากับองครักษ์นับเป็นเรื่องง่าย
เพียงแต่ เมื่อครู่ องครักษ์นายนั้นเหมือนจะรายงานฉีอ๋องอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับอวิ๋นจิ่น นางได้ยินอย่างชัดเจน ทว่าเรื่องที่สอง… กลับฟังได้ไม่ชัดนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจ
เมื่อเห็นแววตาของมู่หรงฉีปรากฏความประหลาดใจ ซูจิ่นซีจึงไม่พูดอันใดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแย้มยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉีอ๋อง หากพระองค์เห็นว่าหม่อมฉันเป็นมิตรสหายจริง พระองค์ไม่ควรปิดบังเรื่องเช่นนี้กับหม่อมฉัน แม้อวิ๋นจิ่นจะเรียกหม่อมฉันว่า ‘พระชายา’ ทว่าในใจของหม่อมฉัน เขาเป็นเช่นเดียวกับพระองค์ เป็นมิตรสหายของหม่อมฉัน อีกทั้ง… เขายังเคยร่วมเป็นร่วมตายกับหม่อมฉัน”
มู่หรงฉีหลบสายตาครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าคำพูดของซูจิ่นซีฟังดูมีเหตุผล
ระหว่างนางกับอวิ๋นจิ่นรู้จักกันมานานกว่าเขา คาดว่าภายในใจของซูจิ่นซี สถานะของอวิ๋นจิ่นย่อมสำคัญกว่าคนที่มาภายหลังแน่นอน ดังนั้น มู่หรงฉีจึงถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ขององครักษ์ให้ซูจิ่นซีฟังโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ดวงตาเปล่งประกายของซูจิ่นซีค่อยๆ เลือนหายไป นางเอื้อมมือไปคว้าจอกสุราที่อยู่บนโต๊ะ ทว่าไม่ได้ยกขึ้นดื่ม แต่กลับบีบแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาวซีด
“จิ่นซี เจ้าเองอย่าได้กังวลให้มาก หมอหลวงอวิ๋นเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน”
ซูจิ่นซีมองมู่หรงฉีด้วยสีหน้าจริงจัง “ทว่าพลธนูหลายร้อยคนและยอดฝีมือที่ท่านส่งไปล้วนหายตัวไป ทั้งยังเป็นการหายตัวไปอย่างไร้ร่อยรอย เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร? ”
คำพูดประโยคสุดท้ายของซูจิ่นซี ทำให้มู่หรงฉีนิ่งอึ้ง แววตาของเขาพลันหม่นหมอง
ซูจิ่นซีพูดได้ถูกต้องตรงจุด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขากังวลใจที่สุด
เขาสามารถพูดปลอบใจซูจิ่นซีด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่ไม่ได้หมายความว่าภายในใจของเขาจะไม่กังวล
ยามนี้ เขาก็เป็นเช่นเดียวกับซูจิ่นซี กังวลว่าอวิ๋นจิ่นจะหายตัวไปพร้อมกับพลธนูและบรรดาองครักษ์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หมอหลวงอวิ๋นเป็นคนละเอียดรอบคอบ มีความคิดลึกซึ้ง เขาควรหาวิธีบอกพวกเขาว่าตนเองยังปลอดภัยดี
ครู่หนึ่งซูจิ่นซีก็เงยหน้าขึ้น และยกจอกสุราในมือดื่มจนหมด
“ฉีอ๋อง หม่อมฉันขอประทานอภัย เรื่องนี้… จิ่นซีไม่ควรแสดงท่าทีขุ่นเคืองต่อพระองค์”
มู่หรงฉียกยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไร เรื่องนี้เป็นข้าเองที่ไม่ไตร่ตรองให้ดี ไม่ควร… ปกปิดเจ้า”
หลังสิ้นเสียงคำพูดของมู่หรงฉี แววตาซับซ้อนของซูจิ่นซีก็หันไปมองเขาอีกครั้ง
ซูจิ่นซีมองมู่หรงฉีด้วยแววตาเปล่งประกาย และพูดว่า “ในเมื่อฉีอ๋องรู้สึกว่าไม่ควรมีเรื่องปิดบังหม่อมฉัน เช่นนั้น ฉีอ๋องควรบอกอีกเรื่องหนึ่งกับหม่อมฉันหรือไม่? ”
แม้จะฟังเรื่องราวได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าซูจิ่นซีมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญกับนางแน่นอน
มู่หรงฉีเห็นท่าทางจริงจังและแน่วแน่ของซูจิ่นซี แม้เขาจะไม่รู้ว่าซูจิ่นซีทราบได้อย่างไร เนื่องจากเขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทว่าเขาเข้าใจดี เรื่องนี้เขาไม่มีทางปิดบังซูจิ่นซีได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง มู่หรงฉีก็ตัดสินใจบอกซูจิ่นซี เขาพูดกับซูจิ่นซีด้วยสีหน้าสงบนิ่งและน้ำเสียงราบเรียบ พยายามไม่ทำให้ซูจิ่นซีตกใจ
“จิ่นซี แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ข้าไม่มีความคิดจะปิดบังเจ้า เพียงต้องการสร้างความประหลาดใจให้เจ้าเท่านั้น”
ประหลาดใจ?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
“จิ่นซี เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดมาเมืองเย่หลิน? ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อฟังคำถามของมู่หรงฉีแล้ว ดวงตาของซูจิ่นซีก็เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า
ราวกับมีบางอย่างติดแน่นอยู่ในลำคอ จนทำให้นางหายใจไม่ออก
ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ผู้ใดหรือ? ”
มู่หรงฉีเห็นท่าทางจริงจังและตั้งใจฟังของซูจิ่นซี ในสมองราวกับมีบางอย่างปิดกั้นไว้ “คือ… ”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิด มู่หรงฉีมัวแต่อ้ำอึ้ง คำพูดต่อจากนั้นยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา ทั้งเวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาทุกที ทันใดนั้น เสียงของขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกสวนดอกไม้ก็ดังขึ้น “มหาอุปราชมาถึงแล้ว… โยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงมาถึงแล้ว… ”
มู่หรงฉีตกตะลึงในทันที
ใช่แล้ว เนื้อความในกระดาษที่องครักษ์มอบให้เขาก่อนหน้านี้ คือข่าวการมาถึงเมืองเย่หลินของเยี่ยโยวเหยา โยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง เมื่อครู่เรื่องที่เขาต้องการจะพูดกับซูจิ่นซีก็คือเรื่องนี้
มู่หรงฉีคิดวิธีที่เยี่ยโยวเหยาจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนไว้มากมาย ทั้งยังคิดหาวิธีสร้างความประหลาดใจให้ซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะปรากฏตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้คนตั้งรับไม่ทัน ทว่ามันเป็นวิธีการปรากฏตัวที่ธรรมดายิ่งนัก
มู่หรงฉีไม่ได้หันไปมองด้านนอกสวนดอกไม้ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซูจิ่นซี
แรกเริ่ม ดูเหมือนซูจิ่นซีจะไม่เชื่อในสิ่งที่ขันทีรายงาน ดวงตาของนางค่อยๆ หันไปมองด้านนอกสวนดอกไม้
ทว่าขณะที่นางหันไปมอง ร่างกายผอมบางของนางก็สั่นเทาด้วยความตกตะลึง นางตื่นตระหนกจนไม่รู้ว่าควรวางมือของตนไว้ที่ใด เดิมทีวางไว้บนโต๊ะ นางก็กระสับกระส่ายจนคว้าไหสุราสีขาวขึ้นมา และลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า