สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 17 ตอนที่ 499 โง่ยิ่งกว่าหอยทาก โมโหแทบตาย
คำถามข้อที่สอง เป็นอีกหนึ่งคำถามที่แปลกประหลาด
นางถามว่า ‘มีหอยทากตัวหนึ่งตกลงไปที่ก้นบ่อลึกเจ็ดฉื่อ [1] เช้าวันหนึ่งมันเริ่มปีนขึ้นไปอย่างไม่คิดชีวิต กลางวันสามารถปีนได้สามฉื่อ ทว่ากลางคืนต้องพักผ่อนจึงเลื่อนลงมาสองฉื่อ ถามว่าหอยทากต้องใช้เวลากี่วันจึงปีนไปถึงปากบ่อ’
“เจ็ดวัน! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงอ่านคำถามของใต้เท้าจาง แม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
เมื่อเห็นทุกคนมองมาที่ตนด้วยแววตาประหลาดใจ ปนชื่นชมและอิจฉา ใบหน้าของเขาจึงเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ
“รวดเร็วยิ่งนัก แม่ทัพเจิ้ง เหตุใดจึงเป็นเจ็ดวัน ท่านคิดได้อย่างไร? ”
“ถูกต้อง! ท่านพูดออกมาเถิด คำถามเช่นนี้วกวนยิ่งนัก ข้ายังไม่เข้าใจคำถามเลย! ”
“ถูกต้อง พูดออกมาเถิด! ”
แม่ทัพเจิ้งผู้นั้นเริ่มอธิบายอย่างลำพองใจ
“ตอนกลางวันหอยทากตัวนี้ปีนได้สามฉื่อ ตอนกลางคืนตกลงมาหนึ่งฉื่อ ดังนั้นทุกวันมันจะปีนขึ้นไปได้เพียงหนึ่งฉื่อไม่ใช่หรือ? ”
“ถูกต้อง! ”
“บ่อน้ำลึกเท่าใด? ”
“เจ็ดฉื่อ? ”
“เช่นนั้นไม่ใช่เจ็ดวันหรือ? ”
“นั่นก็มีเหตุผล ทว่าข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ! ”
“ใช่ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าคำถามนี้ ฮองเฮาฉางซุนผนึกไว้ในคัมภีร์เหล็กผลึกเทพ เพื่อเป็นมาตรฐานในการทดสอบระดับแคว้น โดยหลักการทั่วไปแล้ว คำถามข้อที่สองต้องซับซ้อนกว่าคำถามแรกจึงจะถูก เหตุใดจึงง่ายกว่า? ”
แม่ทัพเจิ้งผู้นั้นเลิกคิ้ว “ต่อให้ง่าย พวกเจ้าก็ตอบไม่ได้! ดังนั้น คำถามนี้ต้องให้ผู้ที่มีสติปัญญาสูงส่งอย่างพวกข้าแสดงระดับสติปัญญาออกมา จึงจะสามารถตอบได้ พวกเจ้าไม่อาจเข้าใจ! ”
“หึ! ” บางคนถึงกับยิ้มเยาะเย้ย “พวกเราล้วนไม่เข้าใจ เพราะสติปัญญาของพวกเราไม่เพียงพอ มีเพียงสติปัญญาของคุณชายใหญ่เจิ้งที่เพียงพอ สติปัญญาของท่านสูงส่งถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่เห็นท่านตอบคำถามข้อแรกเล่า? เวลานั้น เป็นผู้ใดที่หัวหดเกือบถึงเท้า? แม่นางซูเป็นผู้ตอบคำถามคนแรกไม่ใช่หรือ? ”
แม่ทัพเจิ้งผู้นั้นถูกหลายคนโจมตีจนหน้าแดงก่ำ เขากระชากเสียงเย็นชา
“แม่นางซูนั้นเก่งกาจ เก่งกาจจนพูดไม่ออก! เจ้ามีความคิดเห็นอันใดกับคำถามนี้? ”
ขุนนางกลุ่มหนึ่งของมู่หรงฉีไม่เห็นด้วย พวกเขาลุกขึ้นยืนและชี้หน้าแม่ทัพเจิ้ง
“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้กับแม่นางซู? อย่างไรแม่นางซูก็เป็นคนของฉีอ๋อง เจ้าทำเช่นนี้แสดงว่า เจ้าไม่เห็นฉีอ๋องอยู่ในสายตา”
มู่หรงฉีเป็นหนึ่งในสามเศียรมังกรแห่งแคว้นหนานหลี ล่วงเกินผู้อื่นได้ ทว่าไม่อาจล่วงเกินฉีอ๋อง!
เมื่อแม่ทัพเจิ้งถูกตำหนิเช่นนี้ ความหยิ่งยโสของเขาก็ลดลงอย่างมาก ทว่าใบหน้ายังคงบูดบึ้ง เขามองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจและการยั่วยุ
“แม่นางซู เจ้าตอบคำถามข้อที่สองได้หรือไม่? หากเจ้ายังตอบไม่ได้ เช่นนั้นก็นับว่าข้าเป็นผู้ชนะ”
แมลงฤดูร้อนไหนเลยจะเข้าใจหิมะ [2] ซูจิ่นซีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของคนผู้นั้น และไม่สนใจเขา
นางตอบคำถามกับใต้เท้าจางโดยตรง “คำตอบของข้าคือห้าวัน”
ทันทีที่เสียงของซูจิ่นซีดังขึ้น ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ
แม่ทัพเจิ้งบอกว่าเจ็ดวัน ทว่าแม่นางซูผู้นี้กลับพูดว่าห้าวัน แตกต่างกันถึงสองวัน!
หอยทากมีความสามารถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
หลายคนต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ
ความเร็วของหอยทากนั้นช้าอย่างมาก ไม่ได้ช้าธรรมดา เช่นนี้นับว่าคำตอบของแม่ทัพเจิ้งน่าเชื่อถือกว่า
“ทุกท่าน ยังมีคำตอบอื่นอีกหรือไม่? ”
ใต้เท้าจางกวาดสายตามองไปยังใบหน้าของห้าคนที่เหลือ
เมื่อมองไปยังคนสุดท้าย ดวงตาของคนผู้นั้นพลันเปล่งประกาย “คำตอบของข้าเหมือนกับแม่นางซู นั่นคือห้าวัน”
คนผู้นี้แซ่วัง เป็นคนในกองทัพ และเป็นแม่ทัพผู้หนึ่งเช่นกัน
“ตกลง รอบนี้มีผู้ตอบคำถามสามคน คำตอบของแม่นางซู และแม่ทัพวัง คือห้าวัน คำตอบของแม่ทัพเจิ้งคือเจ็ดวัน แม่ทัพวัง ท่านอธิบายสิว่าเหตุใดจึงเป็นห้าวัน? ” ใต้เท้าจางกล่าวเสียงดัง
ดวงตาของแม่ทัพวังสั่นเทาเล็กน้อย เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยการผลักปัญหาไปที่ซูจิ่นซี
“เชิญสุภาพสตรีก่อน ให้แม่นางซูพูดก่อนเถิด! ”
ช่างเป็นสุภาพบุรุษ แม้แต่คนตาบอดยังมองออกว่าแม่ทัพวังผู้นี้ตอบคำถามตามซูจิ่นซี เขาต้องการผ่านบททดสอบโดยที่ไม่รู้สิ่งใดเลย
ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้เปิดโปงเขา นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด แม่ทัพเจิ้งจึงลำพองใจ
“กระทั่งตนเองยังพูดไม่ออก? อธิบายไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด รอดูว่าคำตอบเป็นอย่างไร อย่างน้อยหากพ่ายแพ้ก็จะได้ไม่ขายหน้ามากนัก”
ผู้ที่เป็นพวกเดียวกับแม่ทัพเจิ้งต่างตะโกนสนับสนุน
“ใช่ ห้าวัน เป็นไปไม่ได้ แม่นางซู เจ้าผ่านคำถามแรกก็ นับว่าโชคดี ดูแล้วคำถามที่สองเจ้าอาจไม่โชคดีเหมือนเดิม! ”
“แม่นางซู เจ้าพูดมาเถิดว่าคิดอย่างไร? อย่าเสียเวลาเลย! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากให้แม่ทัพเจิ้ง
รอยยิ้มนั้นทำให้ร่างกายของแม่ทัพเจิ้งสั่นสะท้านอย่างน่าประหลาด สีหน้าลำพองใจของเขาพลันหายไป
เขาชี้หน้าซูจิ่นซี “เจ้า… เจ้ามองแล้วยิ้มอันใด? ใต้เท้าจางให้เจ้าอธิบายคำตอบ เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ”
“ได้ยินแล้ว! ” ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปาก “ทว่า เมื่อครู่ข้ากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น”
“เจ้า… เจ้ากำลังคิดสิ่งใด? ”
“คิดว่าจะใช้วิธีใดฉีกหน้าท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้ง! ”
“เจ้า… เจ้าบังอาจยิ่งนัก! ”
แม่ทัพเจิ้งเดือดดาลขึ้นมาทันที เขาชี้หน้าซูจิ่นซีและคิดจะจัดการนาง ทว่าซูจิ่นซีกลับเร็วกว่า นางก้าวมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว
แม้ร่างกายซูจิ่นซีจะเตี้ยกว่า ทว่านางไม่จำเป็นต้องเขย่งเท้าก็สามารถแสดงความก้าวร้าวออกมาได้
“ท่านแม่ทัพใหญ่เจิ้ง ท่านโง่เขลายิ่งกว่าหอยทากเสียอีกกระมัง? ”
แม่ทัพเจิ้งโกรธยิ่งนัก ทว่าเขาไม่กล้าทำอันใดซูจิ่นซี อย่างไรซูจิ่นซีก็เป็นคนของฉีอ๋อง
เขาทำได้เพียงกัดฟันกรอด อดกลั้นต่อความเดือดดาลจนแทบกระอักเลือด
ซูจิ่นซีไม่ใช่ผู้ที่ชอบเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อยั่วยุให้ผู้อื่นโกรธเคือง
นางยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย
“หอยทากรู้ว่าตนเองไปถึงปากบ่อในวันที่ห้าแล้ว จึงหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้ตกลงไปในบ่ออีก แต่ท่านกลับอยู่บนปากบ่อ ตั้งใจจะตกลงไป ท่านคิดว่า หากท่านไม่โง่แล้วจะเป็นอันใดไปได้? ”
เด็กน้อยที่พูดก่อนหน้านี้เข้าใจในทันที ทันใดนั้น เขาก็พูดขึ้นมาเสียงใส “เอ๊ะ ใช่แล้ว ในวันที่ห้า หอยทากได้ไปถึงปากบ่อแล้วจริงๆ เช่นนั้นมันจะทำให้ตนเองตกลงไปอีกทำไม? อีกสองวันที่เหลือจะไม่เสียแรงเปล่าหรือ? ”
หลังจากเด็กน้อยคิดวิเคราะห์ บางคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นกัน
“ใช่ ใช้เวลาห้าวันก็ได้แล้ว! ”
“ถูกต้อง คำตอบของแม่นางซูถูกต้อง ต้องใช้เวลาห้าวัน”
“ดูเหมือนรอบนี้ แม่นางซูจะชนะอีกแล้ว”
“ชนะสองรอบติดต่อกัน วันนี้ดอกไม้ปีศาจต้องตกเป็นของแม่นางซูแน่นอน”
แม่ทัพเจิ้งค่อยๆ ก้มศีรษะด้วยความละอายใจ เขาโน้มเอวลงไม่กล้ายืนตัวตรง ร่างกายสูงใหญ่พลันหดเล็กเมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี
แท้จริงแล้วไม่ใช่ร่างของเขาที่เล็ก แต่เป็นใจของเขาที่เล็ก
นึกไม่ถึงว่าเขายังเทียบเด็กน้อยผู้นั้นไม่ได้
ซูจิ่นซีไม่ต้องการพูดกับเขาอีกต่อไป นางหันหลังกลับและพูดกับใต้เท้าจางด้วยความภาคภูมิใจ
“ใต้เท้าจาง เปิดม้วนคำตอบและอ่านคำตอบของคำถามข้อที่สองเถิด! ”
……
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ มาตรวัดของจีน 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว
[2] แมลงฤดูร้อนไหนเลยจะเข้าใจหิมะ เป็นคำกล่าวของจวงจื่อ หมายความว่า หากแมลงมีวงจรชีวิตอยู่แค่ในฤดูร้อนเท่านั้น ถ้าคุณบอกว่าน้ำแข็งคืออะไร มันจะไม่รู้จักและจินตนาการไม่ออก เพราะวงจรชีวิตของมันไม่เคยผ่านฤดูหนาว เป็นการอุปมาว่า ความรู้ของคนเรานั้นตื้นเขิน พวกเขาไม่อาจเข้าใจหลักการที่ยิ่งใหญ่