สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 17 ตอนที่ 502 รู้สึกว่าเอาใจจนนิสัยเสียไปแล้ว
บ้าไปแล้ว!
ผู้ใดจะมอบสิ่งของเปื้อนเลือดให้เป็นของขวัญกัน?
มีผู้ใดที่พูดคำว่า ‘พอใจ’ ต่อหน้า ‘ของขวัญ’ อันโหดร้ายเช่นนี้?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีเพียงต้องการยืมมือของมู่หรงเฟิงเพื่อห้ามปรามแม่ทัพเจิ้งผู้นั้น กลับไม่คิดว่ามู่หรงเฟิงจะลากท่านแม่ทัพเจิ้งผู้นั้นออกไปตัดศีรษะจริงๆ
ดูเหมือนข่าวลือที่ว่ามู่หรงเฟิงมีนิสัยโหดร้ายและอารมณ์แปรปวนจะเป็นความจริง บุคคลที่อันตรายเช่นนี้ คราวหลังควรอยู่ให้ไกล
ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงยกยิ้มมุมปากอย่างขมขื่น โดยไม่พูดอันใด
ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในแคว้นหนานหลีที่คุกเข่าอยู่ต่างหวาดกลัวมู่หรงเฟิง ทว่ายังมีบางส่วนที่มีสติดีอยู่
พวกเขาล้วนมึนงงและไม่เข้าใจว่า เหตุใดวันนี้มหาอุปราชจึงพิโรธถึงเพียงนี้
โดยทั่วไปแล้ว แม้มังกรทั้งสามจะเข้ากันไม่ได้ ทว่ามหาอุปราชก็ไม่ถึงกับฉีกหน้าท่านแม่ทัพใหญ่จงอย่างซึ่งหน้าเช่นนี้
แม้มหาอุปราชจะเป็นคนเจ้าอารมณ์เล็กน้อย ทั้งบางครั้งยังลงมือโหดเหี้ยมไปบ้าง ทว่าการกระทำในวันนี้ กลับไม่เหมือนอุปนิสัยและรูปแบบการจัดการของเขาเลย!
หรือว่า… จะเกี่ยวข้องกับแม่นางซูผู้นี้?
เหล่าขุนนางต่างครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ทว่าไม่กล้าพูด ยิ่งไม่กล้าแสดงความคิดออกมาทางสีหน้า
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงชีวิต ไม่แน่ว่าหลังจากท่านแม่ทัพเจิ้ง คนถัดไปอาจเป็นตนเองก็ได้
หลังจากสถานการณ์เงียบสงบไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้น มู่หรงเฟิงก็ถามซูจิ่นซีว่า “ท่านหมอซู คำถามข้อที่สามนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง? ”
ซูจิ่นซีมีใบหน้าเรียบเฉย นางยิ้มไม่ออกมานานแล้ว ทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย
ดูเหมือนมู่หรงเฟิงจะแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้แสดงออกมากนัก
“ในเมื่อตอบได้ เช่นนั้นก็รีบตอบคำถามเถิด! เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว! ”
ซูจิ่นซีก็คิดเช่นนั้น เวลาใกล้ค่ำแล้ว อีกสี่ถึงห้าชั่วยามก็จะเป็นยามจื่อ หากยังชักช้า ดอกไม้ปีศาจจะไม่สามารถนำมาทำเป็นยารักษาอู๋จุนได้
“รบกวนใต้เท้าจางช่วยหาสุราเหลืองมาให้ข้าสักหน่อย! ”
เวลานี้ ใต้เท้าจางไม่กล้าไม่เคารพซูจิ่นซีอย่างแน่นอน เขารีบตอบรับคำและเร่งให้คนไปหาสุราเหลือง
สุราเหลืองถูกนำมาอย่างรวดเร็ว
แม้ทุกคนต่างสงสัยว่าซูจิ่นซีจะตอบคำถามข้อที่สามได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นภาพลวงตา ทว่าพวกเขาทำได้เพียงเงี่ยหูฟัง ไม่กล้าเงยหน้ามอง
ซูจิ่นซีกางม้วนคำถามออก ทั้งยังเชิญให้ใต้เท้าจางช่วยจับไว้ จากนั้นนางก็นำสุราเหลืองเช็ดบนม้วนคำถามอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปไม่นาน ม้วนคำถามที่พื้นหลังเป็นสีขาวก็ค่อยๆ ปรากฏรอยสีดำขึ้นมา ใต้เท้าจางยืนอยู่ใกล้ม้วนคำถามและซูจิ่นซี เขาเป็นคนแรกที่เห็นการเปลี่ยนแปลง จึงอุทานด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้น ผู้ที่ใจกล้าบางคนต่างให้ความสนใจต่อเสียงร้องของใต้เท้าจาง และเงยหน้าขึ้นมองม้วนคำถามทีละคน
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป รอยหมึกบนม้วนคำถามก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ขยายใหญ่มากขึ้น ในที่สุดก็ปรากฏเป็นรูปภาพหนึ่ง
เพียงแต่ลวดลายและทักษะการวาดภาพไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งเนื้อหาของภาพวาดนั้น…
แม้จะอึดอัดใจอยู่บ้าง ทว่าใต้เท้าจางยังนำม้วนคำถามนั้นขึ้นมา และถวายต่อเบื้องพระพักตร์มู่หรงเฟิง
มู่หรงเฟิงมองภาพนั้นพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนำม้วนคำถามโยนลงบนโต๊ะ
“ผู้คนต่างพูดกันว่าฮองเฮาฉางซุนแห่งต้าโจวนั้นวิกลจริต ช่างสมดั่งคำร่ำลือจริงๆ คำพูดของนางยังเชื่อถือได้อีกหรือ? ”
ใต้เท้าจางที่อยู่ใกล้มู่หรงเฟิงมากที่สุดพลันก้มหน้าลงด้วยความอึดอัดใจ ด้วยเกรงว่ามู่หรงเฟิงจะโกรธขึ้นมาอีกครั้ง และอาจทำให้เกิดหายนะ
เขาไม่รู้ว่าฮองเฮาฉางซุนเป็นคนเช่นไร รู้เพียงว่าหนึ่งร้อยปีของต้าโจวนั้น ฮองเฮาฉางซุนได้รับความเคารพนับถือดุจเทพเจ้า แม้ในเวลาต่อมา จักรวรรดิต้าฉินก็ไม่กล้าดูแคลนคำสั่งสุดท้ายของฮองเฮาฉางซุน
ดังนั้น เมื่อบรรพบุรุษของราชวงศ์ใต้ก่อตั้งแคว้น พวกเขาได้รับคัมภีร์เหล็กผลึกเทพโดยบังเอิญ และสั่งให้คนรุ่นหลังเก็บรักษาคัมภีร์เหล็กผลึกเทพไว้ในสำนักเอกสารโบราณ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน ใต้เท้าจางเองก็ไม่กล้าพูดจาไร้สาระ ยิ่งไม่กล้าคาดเดา
เยี่ยโยวเหยานั่งห่างจากมู่หรงเฟิงเล็กน้อย หลังจากม้วนคำถามถูกโยนลงบนโต๊ะ เขาก็เหลือบตามองเนื้อหาด้านบน
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็หัวเราะเสียงดัง
“มู่หรงเฟิง ดูเหมือนราชวงศ์ใต้จะเป็นเหมือนต้าโจว มีนักปราชญ์ผู้มากความสามารถเพิ่มมาอีกคนแล้ว”
มู่หรงเฟิงกระชากเสียงเย็นชา พลางเงยหน้าดื่มสุราหนึ่งจอกโดยไม่พูดอันใด
เยี่ยโยวเหยายื่นนิ้วมืออันเรียวยาวและสง่างามออกมาหยิบม้วนคำถาม
“บนม้วนคำถามของฮองเฮาฉางซุนเขียนไว้อย่างชัดเจน ทั้งต้นฉบับและฉบับย่อยนั้นใช้สำหรับคัดเลือกนักปราชญ์ระดับแคว้น คนรุ่นหลังไม่ว่าผู้ใด หากเปิดม้วนคำถามนี้และละเมิดคำสั่งจะเป็นเหมือนในภาพ! มหาอุปราช เหตุใดท่านไม่พูดสิ่งใด หรือท่านอยากเป็นเต่าชั่วจริงๆ ? ”
ถูกต้อง หลังจากเช็ดสุราเหลืองแล้ว รูปภาพเต่าก็ปรากฏขึ้นมา ด้านข้างยังมีอักษรอยู่แถวหนึ่ง
แม้ทุกคนจะมองไม่เห็นว่าอักษรแถวนั้นเขียนว่าอย่างไร ทว่าสามารถมองเห็นภาพเต่าได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ต่อให้พวกเขามองเห็นชัดเจนก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีผู้ใดกล้าพูดอย่างแน่นอน
ทว่าพวกเขาคาดไม่ถึงว่า โยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงจะอ่านตัวอักษรและอธิบายภาพวาดนั้น ทั้งยังอ่านด้วยน้ำเสียงอันดัง
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และทุกคนต่างคาดเดาอยู่ในใจว่ามหาอุปราชต้องเดือดดาลอีกครั้งเป็นแน่ พวกเขาจึงรีบก้มศีรษะลง
มู่หรงเฟิงค่อยๆ หันไปมองซูจิ่นซี ทั้งยังจ้องมองนางอยู่นาน
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าม้วนคำถามนี้มีตัวอักษรและรูปภาพ ทั้งยังต้องใช้สุราเหลืองเพื่อให้มันปรากฏขึ้น? ”
ซูจิ่นซีพูดอย่างไม่ลังเล “หม่อมฉันมีความรู้ด้านวิชาแพทย์ ความสามารถนี้ของหม่อมฉัน ท่านอ๋องทรงทราบดี หม่อมฉันคงไม่ต้องอธิบาย คราแรกที่ใต้เท้าจางเปิดม้วนคำถามที่ว่างเปล่านั้น หม่อมฉันรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง จึงพบว่ามีกลิ่นยาเก่าๆ ติดอยู่
หม่อมฉันเคยเห็นวิธีการซ่อนรอยหมึกในหนังสือโบราณมาบ้าง ขั้นแรกให้ใช้หมึกจากปลาหมึกกับน้ำส้มสายชูเขียนคำบนกระดาษและรอให้หมึกแห้ง หลังจากนั้น ลายมือจะเลือนหายไป หากพระองค์มีพระประสงค์ให้ตัวอักษรก่อนหน้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง ต้องใช้สุราเหลืองเช็ดไปบนตัวอักษรที่เคยเขียนไว้”
มู่หรงเฟิงไม่ละสายตาจากใบหน้าซูจิ่นซีแม้แต่น้อย เขาจ้องมองนางอยู่อย่างนั้น ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“สิ่งเหล่านี้ หม่อมฉันเคยเห็นเพียงครั้งเดียว และไม่ได้ใส่ใจมากนัก เมื่อครู่เพียงต้องการทดลองดู ไม่คิดว่าจะทำได้สำเร็จจริงๆ ”
ซูจิ่นซีไม่ใช่คนโง่ จริงอยู่ที่วิธีการนี้ถูกจดบันทึกไว้ในเอกสารโบราณ ทว่าวิธีนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในการทหารมาโดยตลอด
มู่หรงเฟิงเชี่ยวชาญด้านการปกครองตามวิถีแห่งราชา เชี่ยวชาญด้านการทหาร ชำนาญด้านการวางแผนกลอุบาย
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเชื่อคำพูดของซูจิ่นซีโดยง่าย เขาย่อมสงสัยในตัวนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ควรอธิบายก็ต้องอธิบาย สิ่งที่ควรพูดก็ยังต้องพูด นางไม่อาจละเลยทำเป็นไม่สนใจได้
ไม่รู้ว่ามู่หรงเฟิงฟังคำพูดของซูจิ่นซีมากน้อยเพียงใด หรือสงสัยมากน้อยเพียงใด ทันใดนั้น มู่หรงเฟิงก็เลิกคิ้วขึ้น
“ข้ามองเจ้าได้ถูกต้องจริงๆ ทว่าเหตุใดจึงไม่เคยเห็นหมอท่านอื่นมีจมูกไวเหมือนเจ้า? ข้าเห็นว่าจมูกของเจ้านั้นว่องไวพอๆ กับจมูกของสุนัข! ”
เมื่อใต้เท้าจางและขุนนางชั้นผู้ใหญ่เห็นมู่หรงเฟิงยิ้ม พวกเขาต่างก็ยิ้มตาม ทว่าซูจิ่นซีกลับยิ้มไม่ออก
ไม่ใช่เพราะนางกังวลใจมากเกินไป และไม่ใช่เพราะนางหลงตัวเอง
เมื่อครู่ ตอนที่มู่หรงเฟิงกำลังพูดว่าจมูกของนางนั้นว่องไวราวกับสุนัข น้ำเสียงในคำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความโปรดปรานอันน่าประหลาด ความโปรดปรานเช่นนั้น… ไม่ใช่ความโปรดปรานระหว่างขุนนางกับราชา ทว่าเป็น…
อย่างไรก็ตาม มันทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกไม่ดี ไม่ดีเลยจริงๆ