สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 17 ตอนที่ 505 ท่านยังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของข้า
บรรดาคณะทูตและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ต่างพากันตกตะลึง ราวกับถูกเทพเจ้าแห่งความเที่ยงธรรมดูดวิญญาณออกจากขุมนรก
ซูจิ่นซีโบกสะบัดแขนเสื้อและขยับเอวเต้นรำ การเต้นรำกำลังเริ่มต้นขึ้น ทว่าเหล่าขุนนางที่ก่อนหน้านี้ร่วมซักซ้อมบรรเลงดนตรีจนชำนาญ กลับบรรเลงช้าไปครึ่งจังหวะ เพราะมัวแต่มองร่างของซูจิ่นซีโดยที่ไม่อาจละสายตาได้
มู่หรงเฟิงที่มีท่าทางเกียจคร้านมาโดยตลอด ทั้งยังไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา แววตาของเขาแฝงความเย่อหยิ่งและยากคาดเดา ร่างที่เอนพิงพนักเก้าอี้อยู่นั้นค่อยๆ เหยียดตัวตรง
เดิมที มู่หรงเฟิงต้องการหยิบจอกสุราบนโต๊ะ ทว่าเมื่อยื่นมือออกไปแตะจอกสุรา ร่างของเขากลับสั่นเทา ทำให้สุราทั้งหมดหกรดฝ่ามือ
ทว่าเขากลับไม่รู้ตัว
องครักษ์ข้างกายรีบยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ มู่หรงเฟิงหยิบผ้าเช็ดหน้าไป แต่เขาไม่ได้นำมาเช็ดมือ กลับนำมาเช็ดโต๊ะจนสะอาด
เมื่อเห็นการกระทำที่ผิดปกติของมู่หรงเฟิง องครักษ์ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ท่านอ๋องทรงวางแผนกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ทั้งยังมองการณ์ไกล พระองค์เคยมีช่วงเวลาที่ผิดปกติเช่นนี้ที่ใดกัน?
เกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋องกันแน่?
ตั้งแต่แม่นางซูผู้นั้นกลับเข้ามาในชุดสตรี และท่านอ๋องเห็นว่านางมีใบหน้าเหมือนกับภาพวาดในตำหนักฉินเจิ้ง พระองค์ก็ราวกับคนที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หรือว่า… สติของท่านอ๋องจะถูกแม่นางซูดึงดูดไปจริงๆ ?
แม่นางซูเป็นผู้ใดกันแน่?
เหตุใดใบหน้าของนางจึงเหมือนสตรีผู้นั้น?
หรือว่า… แม่นางผู้นั้นกลับมาแล้วจริงๆ ?
น่าเสียดาย ไม่ว่าปฏิกิริยาของผู้อื่นจะผิดปกติอย่างไร พวกเขาล้วนไม่อยู่ในสายตาของซูจิ่นซี
ทุกครั้งที่ซูจิ่นซีสะบัดเอว ทุกครั้งที่นางเล่นหูเล่นตา และทุกครั้งที่นางหมุนตัว ดวงตาของนางล้วนจับจ้องไปที่เยี่ยโยวเหยา
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับเป็นคนที่ทำให้นางผิดหวังมากที่สุดเช่นกัน
แม้เขาจะมองซูจิ่นซีเต้นรำเป็นบางครั้ง ทว่าส่วนใหญ่ดวงตาดำขลับนั้นกลับมองต่ำโดยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ ราวกับน้ำนิ่งในสระที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
นอกจากแววตาที่มองซูจิ่นซีด้วยความสงสาร ความสนใจของเขากลับอยู่ที่จอกสุราในมือเสียส่วนใหญ่
ราวกับจอกสุรานั้นน่าชื่นชมมากกว่าการฟ้อนรำที่น่าสนใจและน่าประทับใจของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีจึงไม่คาดหวังสิ่งใดมากนัก และจดจ่อสมาธิทั้งหมดกับการเต้นรำ
นางพยายามทดสอบเยี่ยโยวเหยาหลายครั้ง จนแน่ใจแล้วว่าเขาลืมนางอย่างแน่นอน ลืมซูจิ่นซีผู้นั้นไปแล้ว ลืมความเจ็บปวดและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางจนหมดสิ้น
เมื่อไร้ซึ่งความปรารถนา จึงปราศจากการร้องขอ
ผู้คนผ่านไปไม่เหลือแม้เงา ห่านบินผ่านไปไม่ทิ้งร่องรอย
ลืมไปแล้วก็ดี
ไร้ซึ่งการป้องกัน ไร้ซึ่งความกังวล ท่านก็เป็นเช่นนี้ ปรากฏตัวในโลกของข้า สร้างความประหลาดใจแก่ข้า ทำให้ความรู้สึกท่วมท้น
ทว่าท่านก็เป็นเช่นนี้ หายหน้าไปเงียบๆ ในตอนที่ข้าไม่ทันรู้ตัว ไร้ข่าวคราวของท่านในโลกของข้า หลงเหลือเพียงความทรงจำ
ท่านยังคงอยู่ในสมองส่วนลึกของข้า ในความฝันของข้า ในใจของข้า ในเสียงเพลงของข้า
ท่านยังคงอยู่ในสมองส่วนลึกของข้า ในความฝันของข้า ในใจของข้า ในเสียงเพลงของข้า
จำได้ว่าครั้งหนึ่ง เราสองเคยเดินเคียงข้างกันในถนนที่มีผู้คนคับคั่ง แม้ท่านกับข้าจะเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไป
ทว่ายังคงรู้สึกถึงสายตาของกันและกัน การเต้นของหัวใจ ความสุขที่เกินคาดเดา ราวกับความฝันที่ถูกลิขิตไว้แล้ว
ท่านยังคงอยู่ในสมองส่วนลึกของข้า ในความฝันของข้า ในใจของข้า ในเสียงเพลงของข้า
ท่านยังคงอยู่ในสมองส่วนลึกของข้า ในความฝันของข้า ในใจของข้า ในเสียงเพลงของข้า
ดนตรีโบราณสอดประสานกับเนื้อเพลงปัจจุบัน ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ยังให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ทว่าเหล่าขุนนางที่เล่นดนตรีล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง พวกเขาไม่เพียงใช้เวลาอันสั้นในการเขียนเสียงดนตรีตามที่ซูจิ่นซีต้องการ ทว่าดนตรีที่มีจังหวะมาตรฐานนั้น พวกเขายังสามารถปรับปรุงให้ฟังดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เสียงขับขานบทเพลงของซูจิ่นซีเหมือนกับการเต้นรำของนาง เป็นความงดงามที่สุดในค่ำคืนนี้ ทำให้ผู้คนยากจะลืมเลือน
เสียงเพลงและการเต้นรำหยุดลง ทว่าเสียงขับขานอันไพเราะยังก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของทุกคน พวกเขาต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงกลับมามีการตอบสนอง
“เยี่ยม! ”
“เยี่ยม! ”
“ยอดเยี่ยม! ”
“วิจิตรงดงาม! วิจิตรงดงามยิ่งนัก! ”
ผู้ชมด้านล่างต่างส่งเสียงชื่นชมและลุกขึ้นยืนอย่างปลาบปลื้มใจ พวกเขาพยายามยกย่องและให้กำลังใจซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนคิดว่าการแสดงของซูจิ่นซีสิ้นสุดลงแล้ว เสียงดนตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง
นางรำหลายคนในชุดเต้นรำเดินนำผ้าม่านสีขาวหิมะขึ้นมาบนเวที ตามด้วยสตรีสองคนที่ถือพู่กันและหมึก
ร่างเพรียวบางของซูจิ่นซีเหาะไปยังด้านข้างสตรีทั้งสอง นางหยิบพู่กันและเหาะกลับมาบนเวทีอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เมื่อจังหวะของดนตรีมีการเปลี่ยนแปลง ผ้าม่านที่สตรีเหล่านั้นถืออยู่ก็เคลื่อนที่ราวกับเมฆขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ทั้งยังเปลี่ยนตำแหน่งทิศทางขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง
เรือนร่างเพรียวบางของซูจิ่นซีราวกับนกนางแอ่นบินล้อหมู่เมฆ เป็นดั่งหงส์ที่ทะยานสู่ท้องฟ้า บินผ่านเมฆขาวอย่างต่อเนื่อง นางสะบัดพู่กันในมือตลอดเวลา แต่เนื่องจากหมึกนั้นไร้สี จึงไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
ณ ที่แห่งนั้น มีเหล่าเชื้อพระวงศ์ระดับสูงจำนวนมาก ทั้งยังมีผู้ที่ทรงอำนาจเหนือชีวิตผู้คน เช่นมู่หรงเฟิงและเยี่ยโยวเหยา
มีการเต้นรำแบบใดบ้างที่พวกเขาไม่เคยเห็น?
ทว่าการเต้นรำของซูจิ่นซีที่อยู่เบื้องหน้า กลับมีเอกลักษณ์ ทำให้ทุกคนสูญเสียการควบคุมโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เรื่องบางอย่างถูกลิขิตไว้แล้ว
ยามนี้ ซูจิ่นซีไม่ได้คาดหวังสิ่งใดกับเยี่ยโยวเหยาอีกต่อไป สุดท้ายนางจึงพลาดข้อมูลสำคัญที่นางอยากรู้มากที่สุด
เนื่องจากตอนนี้ ดวงตาของเยี่ยโยวเหยากลับจดจ่อและปรากฏความหลงใหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้ท่าทางของเขาจะไม่เปิดเผยร่องรอยภายในใจมากนัก ทว่าหัวใจของเขาปั่นป่วนยิ่งกว่ามู่หรงเฟิงแน่นอน
เยี่ยโยวเหยาปกปิดมือที่กำแน่นไว้ในแขนเสื้อกว้าง แม้จะกำแน่นจนมีเลือดไหลออกมา ทว่ามือของเขายังคงสั่นเทาอยู่อย่างนั้น
ซูจิ่นซี สตรีนางนี้… ช่างบังอาจยิ่งนัก
เมื่อเสียงเพลงบรรเลงมาถึงท่อนสุดท้าย จังหวะการเต้นรำของซูจิ่นซีก็ค่อยๆ จบลงตามทำนอง
รอจนร่างที่งดงามอ่อนช้อยของนางค่อยๆ เหาะลงมาราวกับเทพธิดา แขนเสื้อยาวของนางพลิ้วไหว ท่ามกลางผู้คนที่ยังไม่ได้สติ ทันใดนั้น เสียงที่แสดงถึงความประหลาดใจก็ดังขึ้น
“สิ่งใดกัน? หอมมาก! ”
“เป็นกลิ่นที่พิเศษมาก! ”
“เหมือนจะมาจากร่างของปราชญ์แห่งแคว้น! ”
“ใช่ มาจากร่างของปราชญ์แห่งแคว้นจริงๆ ! ”
“ปราชญ์แห่งแคว้น เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดจึงมีกลิ่นหอมเช่นนี้? ”
“ใช่ กลิ่นหอมอันใด? แปลกประหลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงพิเศษเช่นนี้? ”
ทุกคนต่างสอบถามซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีไม่ตอบ นางเหาะไปยังด้านข้างเวทีอีกครั้ง และส่งต่อการแสดงให้สตรีสองนางที่ถือผ้าม่านสีขาวหิมะ
พวกนางค่อยๆ เปิดผ้าม่านออกบนเวที ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “ดูเร็ว มีหิ่งห้อยจำนวนมาก! ”
“มีผีเสื้อจำนวนมากด้วย! ”
“ค่ำมืดเช่นนี้ เหตุใดจึงมีผีเสื้อและหิ่งห้อยจำนวนมากปรากฏขึ้นพร้อมกัน? ”
จริงอยู่ที่ยามกลางคืนสามารถพบเห็นหิ่งห้อยได้บ่อยครั้ง ทว่าการปรากฏของผีเสื้อ กลับเป็นเรื่องแปลกใหม่
หิ่งห้อยและผีเสื้อบินมาอย่างเชื่องช้าราวกับดวงดาวระยิบระยับ พวกมันส่องสว่างไปทั่วสวนดอกไม้ของวังหลวง ทำให้สวนดอกไม้ที่งดงามอยู่แล้ว เปล่งประกายมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางความประหลาดใจและเสียงโห่ร้องของทุกคน พวกมันค่อยๆ ร่อนลงบนผ้าที่วางไว้บนเวทีอยู่ก่อนแล้ว
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้น?