สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 17 ตอนที่ 506 เพียงชำเลืองมองกลับทิ้งความประทับใจไว้อย่างลึกซึ้ง
- Home
- สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน
- เล่มที่ 17 ตอนที่ 506 เพียงชำเลืองมองกลับทิ้งความประทับใจไว้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อหิ่งห้อยและผีเสื้อมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผ้าม่านก็ถูกปิดบังอย่างแน่นหนา
ทว่า พวกมันไม่ได้ร่อนลงมาอย่างไร้จุดหมายและไร้รูปแบบ
ตอนที่พวกมันรวมตัวกันอยู่บนนั้น รูปภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาราวกับเวทมนตร์
ภาพนั้นเป็นทิวทัศน์ของแคว้นจงหนิง เรือนที่กว้างสะอาดและงดงามตั้งอยู่ในสถานที่สูงตระหง่าน ท่ามกลางเขตพระราชวังอันสง่างาม เรือนนั้นโดดเด่นจนดูไม่สอดคล้องกับความนิยมในสมัยนั้น ตรงกันข้าม ทั้งเรือนหลังนั้นและทิวทัศน์โดยรอบ กลับเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ด้านเหนือของเรือนเป็นตำหนักหรูหราและเคร่งขรึม ท้องฟ้าเหนือตำหนักเต็มไปด้วยแสงสีแดงดั่งเปลวเพลิงซึ่งสะท้อนไปยังห้องใต้หลังคาอันงดงามทางทิศใต้
แม้ตำหนักนั้นและห้องใต้หลังคาไม่ได้จารึกสิ่งใดไว้ ทว่าหนึ่งทิศเหนือ หนึ่งทิศใต้ หนึ่งสูง หนึ่งต่ำ หนึ่งหยาง หนึ่งหยิน ทั้งห้าองค์ประกอบ และความกลมกลืนของหยินหยาง ราวกับประกาศสิ่งใดบางอย่างออกมาอย่างลับๆ
หิ่งห้อยและผีเสื้อจำนวนมากค่อยๆ ร่อนลงมาระหว่างห้องโถงและศาลา จนเกิดเป็นภาพของชายหญิงทั้งสองในเรือน
บุรุษร่างกายสูงใหญ่กำยำและสง่างาม สตรีร่างเล็กเพรียวบาง ทว่ามุ่งมั่นและสดใส
วิเศษ ช่างวิเศษยิ่งนัก
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ไม่คิดว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ ยังสามารถใช้พลังจากธรรมชาติเพื่อสรรค์สร้างภาพที่วิจิตรงดงามเช่นนี้
ในค่ำคืนมืดมิด แม้สวนดอกไม้ของวังหลวงจะมีแสงเทียน ทว่าแสงนั้นค่อนข้างสลัวเล็กน้อย
แสงสว่างที่อยู่บนตัวหิ่งห้อยเหล่านั้นยังคงส่องสว่างบนผ้าม่านสีขาวหิมะ พวกมันไม่สนใจสิ่งใด กลับบินลงมาโดยไม่เกรงกลัวความตาย ไม่เพียงชีวิตของพวกมันและภาพวาดที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น ขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงความรักที่ยึดติดและความอดกลั้นที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจสตรีผู้หนึ่ง
“ขอบคุณงานเทศกาลร้อยบุปผาในวันนี้ ที่มอบโอกาสอันหาได้ยากยิ่งแก่ข้า” ซูจิ่นซีกล่าวเสียงดัง “การเต้นรำนี้ รูปภาพนี้ ข้าต้องการมอบให้คนผู้หนึ่ง… ผู้ที่มีความสำคัญมาก” สายตาของซูจิ่นซีมองไปทางแท่นประทับตลอดเวลา “ข้าคิดว่าก้นบึ้งของหัวใจเขาก็เหมือนกับข้า แม้จะเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทร ทว่ากลับพยายามให้ตนเองส่องประกายในรูปแบบที่แตกต่าง ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ไม่ยอมก้มหัวให้ชะตากรรม”
ซูจิ่นซีพูดด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ทว่านางกลับเงยหน้าขึ้น กล้ำกลืนอดกลั้นความรู้สึกนั้น
เมื่อมองไปบนแท่นประทับอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มเข้มแข็ง
“ดังนั้นข้าคิดว่า แม้ชีวิตของเขาจะรุ่งโรจน์สูงส่ง ทว่าโดดเดี่ยวอ้างว้างดั่งหิมะ การแสดงในวันนี้ ข้าไม่ปรารถนาให้จารึกไว้ในชีวิตของเขาตลอดไป ไม่ปรารถนาให้เขาเก็บไว้ในใจ ไม่ปรารถนาให้เจิดจรัสในชีวิตผู้ใด ข้าเพียงต้องการทิ้งแสงริบหรี่แห่งความประทับใจให้ฝังลึกไว้ในชีวิตของเขา ถูกต้อง แม้จะเป็นเพียงการชำเลืองมองเพื่อสร้างความประทับใจ ข้าก็พอใจแล้ว แม้ไม่อาจช่วยเขาบรรเทาช่วงชีวิตที่โดดเดี่ยวได้ ทว่าขอเพียงในอนาคต ท่ามกลางน้ำค้างยามค่ำคืนยังมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยในความทรงจำของเขา แม้ราชกิจยุ่งเหยิงก็อย่าได้ขมวดคิ้ว แววตาไม่หม่นหมอง อย่าได้ครุ่นคิดหนัก แย้มยิ้มบางเล็กน้อย คงไม่ผิดหากข้าจะจากไปในยามนี้”
หิ่งห้อยส่องแสง ผีเสื้อหลากสีสันกำลังโบยบินอยู่บนเวที แสงระยิบระยับของหิ่งห้อยสาดส่องไปยังใบหน้าของซูจิ่นซีจนสว่างไสวเป็นพิเศษ ทว่าสิ่งที่สดใสยิ่งกว่าคือดวงตาของนางที่เต็มไปด้วยความหวัง ทั้งจริงใจ กล้าหาญ และเร่าร้อน นางมองบุรุษสูงศักดิ์ที่มีใบหน้าเย็นชา ท่าทีเคร่งขรึมสงบนิ่ง บุรุษบนแท่นประทับผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้คนที่ตกตะลึงกับการแสดงของซูจิ่นซีก็กลับมาได้สติ พวกเขาพากันปรบมือเสียงดังสนั่นดั่งกระแสน้ำที่หลั่งไหลไม่รู้จบ
เยี่ยโยวเหยาเป็นดั่งแสงสว่างในอดีต เป็นคนในอดีตที่เปลี่ยนแปลงไป ท่านเข้าใจภาพนี้มากน้อยเพียงใดกัน? มันสามารถเรียกความทรงจำของท่านได้มากน้อยเพียงใด?
ซูจิ่นซีไม่เชื่อเรื่องอนาคต ยิ่งไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย นางเชื่อเพียงชีวิตนี้และโลกนี้
ข้าไม่เชื่อในความชอบธรรม ไม่เชื่อในความชั่วร้าย ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ข้าโดดเดี่ยวเหมือนล่องลอยอยู่กลางทะเล ผ่านอุโมงค์มิติแห่งเวลาที่แสนยาวนานมาอยู่ข้างกายท่าน โชคชะตาลิขิตให้ท่านเป็นบุรุษที่ข้ารัก ข้าเชื่อเพียงท่าน และเชื่อตนเองเท่านั้น
ดังนั้น เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีไม่สนใจว่าท่านจะจำได้เพียงใด ลืมไปมากน้อยเท่าใด แม้ต้องใช้ความสามารถที่เคยประสบมาทั้งชีวิต ข้าก็ไม่ยอมปล่อยท่าน ยิ่งไม่ยอมแพ้ต่อตนเอง
แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ชีวิตจะตกต่ำ ข้าจะต้อง… ฟื้นคืนความทรงจำของท่านที่ขาดหายไป และได้ยินเสียงที่ท่านเรียกข้าว่า… ซูจิ่นซี กับหูตนเองอีกครั้ง
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ทว่าท้องฟ้ามืดมิดกลับไม่สามารถปกปิดโลกที่มีสีสันรอบตัวได้
เสียงร้องชมเชยและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนดังอย่างต่อเนื่อง ทว่าซูจิ่นซีไม่มีจิตใจจะฟังอีกต่อไป
นางหลับตาลงด้วยความอ่อนแรง ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้า และสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจบางอย่าง
ซูจิ่นซียกชายกระโปรงขึ้นและก้าวไปทางมู่หรงเฟิงสองก้าว
“มหาอุปราช การแข่งขันวันนี้ควรจบลงแล้วกระมัง? ต่อไปควรประกาศผลการแข่งขันใช่หรือไม่? ”
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว นางต้องได้ดอกไม้ปีศาจมาโดยเร็ว และนำกลับไปฟื้นฟูพลังภายในให้อู๋จุน
ท่าทางของมู่หรงเฟิงไร้ซึ่งความเกียจคร้านนานแล้ว ทั้งเขายังมองซูจิ่นซีด้วยแววตาสับสน
มู่หรงเฟิงหันไปมองใต้เท้าจาง ใต้เท้าจางเข้าใจในทันที เขารีบเดินไปข้างหน้าและโน้มตัวไปข้างกายมู่หรงเฟิง
ไม่รู้ว่ามู่หรงเฟิงพูดสิ่งใด ใต้เท้าจางจึงมีแววตาตกตะลึง และมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้ายินดี
“มหาอุปราช หม่อมฉันชนะการแข่งขันทั้งบุ๋นและบู๊จากทั้งสองสนาม ตามกฎกติกาก่อนหน้านี้ มหาอุปราชควรพระราชทานดอกไม้ปีศาจให้หม่อมฉันใช่หรือไม่? ”
“แน่นอน! ” มู่หรงเฟิงกล่าวเสียงดัง
ทันใดนั้น แววตาของทุกคนก็ปรากฏความเย็นชาราวกับใบมีด ทั้งยังพุ่งเป้ามาทางด้านหลังซูจิ่นซี
แน่นอนว่าซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่อยู่โดยรอบ และความเยือกเย็นจากทางด้านหลัง ทว่าแผ่นหลังของนางยังคงตั้งตรงและยืนหยัดอย่างมั่นคง
ไม่ว่าผลลัพธ์ในวันนี้จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าวันนี้จะมีคนมากน้อยเพียงใดที่แย่งชิงกับนาง ทว่านางต้องได้ครอบครองดอกไม้ปีศาจนั้น
มู่หรงเฟิงยกมือขึ้น ใต้เท้าจางค่อยๆ เดินลงจากแท่นประทับพร้อมถาดที่วางดอกไม้ปีศาจ และตรงเข้ามาหาซูจิ่นซี
“ยินดีกับปราชญ์แห่งแคว้น ปราชญ์แห่งแคว้นเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ การแข่งขันบุ๋นบู๊ในวันนี้ ท่านมีผลงานยอดเยี่ยม สามารถคว้าชัยชนะเป็นอันดับหนึ่ง นี่คือดอกไม้ปีศาจ รางวัลสำหรับการแข่งขันในวันนี้ เชิญท่านรับมันไว้ด้วย! ”
ซูจิ่นซีรู้สึกเบิกบานใจ ทว่าใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง ขณะที่นางเอื้อมมือออกไปรับดอกไม้ปีศาจ รอยยิ้มบนใบหน้าของใต้เท้าจางก็ยิ่งเข้มขึ้น
“ยินดีกับปราชญ์แห่งแคว้น ยินดีกับปราชญ์แห่งแคว้น”
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มือที่ยื่นออกไปพลันหยุดชะงัก
“ใต้เท้าจาง ท่านพูดว่ายินดีไปแล้ว เช่นนั้น คำว่ายินดีในตอนนี้ หมายถึงสิ่งใด? ”
ใต้เท้าจางแย้มยิ้มอย่างลึกซึ้ง เขาพูดโดยใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้น ทั้งยังตั้งใจให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้ยิน
“มหาอุปราชตรัสแล้วว่า ดอกไม้ปีศาจเป็นยาสมุนไพรหายาก และล้ำค่าที่สุดในใต้หล้า พระองค์ใช้ความพยายามอย่างมาก ทั้งยังใช้ประสบการณ์ในการเสาะหามา ประการแรก เพื่อเพิ่มความสนุกสนานแก่เทศกาลร้อยบุปผาในวันนี้ ประการที่สอง… ”
ใต้เท้าจางจงใจลากเสียงยาว เฝ้ารอให้สายตาอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้น จึงพูดต่อ
“ประการที่สอง เพื่อเป็นของขวัญแก่พระชายาของมหาอุปราช ปราชญ์แห่งแคว้น วันนี้ความสามารถของท่านทำให้ท่านได้รับชนะ และได้ครอบครองดอกไม้ปีศาจ ทั้งท่านยังได้รับความโปรดปรานจากมหาอุปราช นับว่าเป็นความยินดีถึงสองประการมิใช่หรือ? ข้าจึงขอแสดงความยินดีกับปราชญ์แห่งแคว้นอีกครั้ง”
ใต้เท้าจางพูดพลางยกถาดขึ้น และแสดงความเคารพด้วยการโน้มตัวลงเล็กน้อย
มู่หรงเฟิง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?