สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 17 ตอนที่ 507 พิธีอภิเษกในคืนนี้ต้องดำเนินการ
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังหงุดหงิดอยู่ในใจ ขันทีฝ่ายในก็นำพระราชโองการของมหาอุปราชออกมา และเริ่มอ่านประกาศต่อหน้าขุนนางทุกท่าน
บรรดาถ้อยคำทางการในสมัยโบราณนั้น แม้ซูจิ่นซีจะฟังไม่เข้าใจทุกคำพูด ทว่านางยังเข้าใจความหมายโดยรวม
มู่หรงเฟิงต้องการแต่งตั้งนางให้เป็นพระชายามหาอุปราช!
บัดซบ ถึงเวลานี้แล้วยังสร้างปัญหาอีก นี่มันเรื่องอันใดกัน?
“ปราชญ์แห่งแคว้น โอ้ ไม่สิ พระชายามหาอุปราช! น้อมรับพระราชโองการเถิด! ”
ขันทีพูดเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนทั้งหญิงและชาย
“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา ยินดีกับพระชายามหาอุปราช! ”
“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา ยินดีกับพระชายามหาอุปราช! ”
“ขอแสดงความยินดีกับพระชายา ยินดีกับพระชายามหาอุปราช! ”
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างคุกเข่าลงกับพื้น แม้แต่คณะทูตต่างแคว้นก็ปฏิบัติตาม
ซูจิ่นซีมุมปากกระตุกอย่างรุนแรง นางเงยหน้ามองมู่หรงเฟิงที่อยู่บนแท่นประทับ
มู่หรงเฟิงยืนขึ้น และค่อยๆ เดินลงจากแท่นสูงอย่างสง่างาม เขาเดินมายังข้างกายซูจิ่นซี เมื่อเห็นซูจิ่นซีก้มศีรษะลงเล็กน้อย จึงยกยิ้มมุมปาก
“อวิ๋นคาย วันนี้ข้ารู้สึกพอใจยิ่งนัก”
“เพคะ? ”
ซูจิ่นซียังคงรู้สึกสับสน
ขณะที่นางกำลังจะเงยหน้าถาม มู่หรงเฟิงก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้าพอใจการเต้นรำของเจ้าที่มอบให้ข้า พอใจในการสารภาพ… รัก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกผิดยิ่งนักที่รู้เรื่องนี้ช้าไป ทว่าอย่าได้เสียใจเลย ระหว่างเจ้ากับข้า เป็นเช่นนี้… ก็ดีอยู่แล้ว! ”
มู่หรงเฟิงพูดพลางกุมมือซูจิ่นซีแน่น
ซูจิ่นซีตกตะลึงไปชั่วขณะ นางเงยหน้าและถอยหลังออกไปสองก้าว เพื่อหลบหนีมู่หรงเฟิง
“หยุด หยุด หยุด! ”
“มหาอุปราช พระองค์… พระองค์ทรงคิดมากเกินไปหรือไม่? ระหว่างหม่อมฉันกับพระองค์… หม่อมฉัน… พระองค์… เขา… มัน… เกี่ยวอันใดกับพระองค์? ”
ซูจิ่นซีชี้ไปที่มู่หรงเฟิงและชี้มาที่ตนเอง ทั้งยังชี้ไปที่หิ่งห้อยซึ่งส่องแสงสว่างและผีเสื้อหลากสีสันบนเวที จากนั้นจึงชี้ไปบนแท่นประทับเมื่อครู่ของมหาอุปราชด้วยความสับสน เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อน ไม่อาจอธิบายอย่างชัดเจนได้
มู่หรงเฟิงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเดินเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีก้าวหนึ่ง ซูจิ่นซีรีบถอยหลังหนึ่งก้าวทันที
ใต้เท้าจางที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าและอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด พลันโน้มตัวลงมาพูดข้างใบหูซูจิ่นซีด้วยรอยยิ้ม
“แท้จริงแล้ว ปราชญ์แห่งแคว้น ท่านหาใช่คนขี้อาย ธรรมเนียมของแคว้นหนานหลีเราก็เปิดกว้าง สำหรับเชื้อพระวงศ์แล้วยิ่งไม่มีข้อจำกัด ท่านไม่ต้องหลบซ่อนแล้ว ความคิดของท่าน ข้าเข้าใจดี ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างเข้าใจดี มหาอุปราชยิ่งเข้าพระทัยอย่างชัดเจน”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย นางมองใต้เท้าจางอย่างสับสน
ใต้เท้าจางแย้มยิ้มและพูดอีกครั้งว่า
“ปราชญ์แห่งแคว้น คำสารภาพที่ลึกซึ้งของท่านทำให้หัวใจของข้าและทุกคนพองโต คนหนุ่มสาวอย่างท่าน ทำให้จิตใจของข้ากระชุ่มกระชวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายสิบปีมานี้ ท่านลองคิดดู ในฐานะมหาอุปราช วันนี้พระทัยของพระองค์ทรงคิดเช่นไร? ท่านเองก็อย่าเขินอายอีกต่อไปเลย! ”
ซูจิ่นซีมุมปากกระตุก นางมองใต้เท้าจางด้วยความรู้สึกที่ราวกับมีภาพลวงตาบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งยังสงสัยว่าเขาถูกแม่นมฮวา หญิงชราที่เรือนชิงโยวเข้าสิงหรือไม่
คำพูดทั้งหมดของนางล้วนพูดให้เยี่ยโยวเหยาฟัง เกี่ยวอันใดกับมู่หรงเฟิง?
เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็มองไปทางแท่นประทับ เพื่อค้นหาเหตุผล และดูการตอบสนองของเยี่ยโยวเหยา
ทว่าเมื่อเห็นสิ่งนั้น หัวใจของซูจิ่นซีก็สัมผัสถึงความสูญเสียอย่างลึกซึ้ง
ยามนี้ ตำแหน่งของเยี่ยโยวเหยากลับว่างเปล่า นึกไม่ถึงว่าเขาจะจากไปอย่างเงียบงัน
สายลมพัดโชย ซูจิ่นซีรู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย ไม่อาจบอกได้ว่าในใจของนางรู้สึกเช่นไร รู้สึกเพียงว่า… นางเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
ไม่แปลกใจเลยที่มู่หรงเฟิงและคนอื่นๆ จะเข้าใจผิด
แท่นประทับของเยี่ยโยวเหยากับมู่หรงเฟิงอยู่ใกล้กันมาก ซูจิ่นซีอยู่ด้านล่าง ห่างจากแท่นประทับไกลพอสมควร ขณะที่นางมองเยี่ยโยวเหยา ในสายตาของทุกคน พวกเขาอาจคิดว่านางมองมู่หรงเฟิง
กอปรกับที่วันนี้เป็นงานเทศกาลร้อยบุปผา ทั้งยังเป็นงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของมู่หรงเฟิง ทุกคนจึงมองมู่หรงเฟิงเป็นตัวเอกในงานเลี้ยง
หัวใจของซูจิ่นซีรู้สึกเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส นางต้องการตบปากตนเองสักครั้ง
“แหะ แหะ” ซูจิ่นซีแย้มยิ้มสดใส พยายามทำตัวให้ดูเป็นมิตรมากขึ้น
“เอ่อ ท่านมหาอุปราช แท้จริงแล้ว เรื่องในวันนี้เป็นการเข้าใจผิด เช่นนั้น พระองค์มอบดอกไม้ปีศาจให้หม่อมฉันนำกลับไปช่วยคนก่อน รอวันพรุ่งนี้ หม่อมฉันจะมาอธิบายให้พระองค์ฟังอีกครั้ง พระองค์เห็นว่าเป็นอย่างไร? ”
สีหน้าของมู่หรงเฟิงพลันปรากฏความเย็นชา “เจ้าคิดจะปฏิเสธตำแหน่งพระชายาของข้าหรือ? ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง เวลานี้นางไม่อาจล่วงเกินมู่หรงเฟิง จึงกระตือรือร้นพูดเสริมอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ
“หม่อมฉันเคารพต่อท่วงท่าอันสง่างามของมหาอุปราช สุริยันจันทราเป็นพยานได้ หม่อมฉันเคารพมหาอุปราชอย่างจริงใจ ดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านโดยไร้จุดสิ้นสุด”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แทนที่จะเลือกวัน มิสู้ทำทันที” ทันใดนั้น มู่หรงเฟิงก็ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าวและกุมมือซูจิ่นซีไว้ “วันนี้เจ้ารับราชโองการและจัดการเรื่องนี้กับข้าให้เรียบร้อย อาศัยโอกาสที่ขุนนางทุกท่านและคณะทูตอยู่กันพร้อมหน้า ให้พวกเขาเป็นสักขีพยาน นับเป็นโชคดีสองชั้น คำพูดที่เจ้าต้องการพูดกับข้า ก็ไม่ต้องรอจนถึงวันพรุ่งนี้ คืนนี้ค่อยพูดกับข้าก็ได้”
จัด… จัดการเรื่องให้เรียบร้อยหรือ?
ซูจิ่นซีขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ให้ตายเถิด ไม่เคยเห็นผู้ใดใจร้อนเท่านี้มาก่อน
ซูจิ่นซีต้องการสบถด่ามู่หรงเฟิง ทว่าไม่อาจทำได้ ในเวลานี้ นางไม่อาจล่วงเกินมู่หรงเฟิง
นางทำได้เพียงแย้มยิ้มอย่างจำยอม
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีสหายผู้หนึ่งที่รอให้หม่อมฉันนำดอกไม้ปีศาจกลับไปช่วย! วันนี้… ไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หม่อมฉันไร้ความสามารถ ขาดคุณธรรม พระองค์มอบตำแหน่งพระชายาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อาจน้อมรับได้! พระองค์ดูเถิด… ทรงโปรดเมตตา ปล่อยหม่อมฉันไปเถิด! ”
ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทางจริงจัง
มู่หรงเฟิงเลิกคิ้ว ทว่ายังไม่ยอมรามือ “สหายผู้นั้นที่เจ้าพูดถึง คืออู๋จุน เจ้าหุบเขาเทพโอสถที่ข้าเคยพบก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เจ้าพูดมาแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะสูญเสียกำลังภายใน ทว่ายังมีชีวิตรอดปลอดภัยดี คืนนี้เจ้าอยู่ร่วมพิธีกับข้าที่นี่ให้เสร็จเรียบร้อย ข้าจะให้คนนำดอกไม้ปีศาจไปส่งที่จวนฉีอ๋อง เป็นอย่างไร? ”
มู่หรงเฟิงพูดพลางขยับตัวเข้าใกล้ซูจิ่นซีอีกเล็กน้อย
“หากข้าให้คนคุ้มกันนำไปส่ง จะปลอดภัยกว่าเจ้านำไปเองมากนัก อวิ๋นคาย เจ้าว่าเช่นนั้นหรือไม่? ”
ข้อมูลในคำพูดของมู่หรงเฟิงมีจำนวนมาก ซูจิ่นซีไม่อาจแสดงความคิดเห็นในขณะนั้นได้
อาการของอู๋จุนเป็นอย่างไร เขารับรู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ?
หรือมู่หรงเฟิงมีสายสืบคอยรายงานเรื่องของพวกเขาในจวนฉีอ๋องมาตลอด?
ทั้งยังทราบว่าอู๋จุนสูญเสียพลังภายใน และไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต สายสืบของเขาปฏิบัติการถึงขั้นใดกัน? เหตุใดจึงเข้าใจอย่างชัดเจนเช่นนี้?
ชั่วขณะนั้น ซูจิ่นซีรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าท่านอ๋องผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านาง ไม่เพียงเป็นบุคคลที่ยากหยั่งถึงเท่านั้น ทว่าเขาไม่ธรรมดาและอันตรายอย่างมาก
เมื่อเห็นซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใดเป็นเวลานาน ทันใดนั้น ท่าทางของมู่หรงเฟิงก็เปลี่ยนไป เขากระชากเสียงเย็นชา
“ซูอวิ๋นคาย เจ้าควรรู้ว่าเหตุใดข้าจึงพึงใจในตัวเจ้า หากเจ้าไม่เห็นคุณค่าและยังไม่เข้าใจ เช่นนั้น เจ้าก็ไปกับข้าและครุ่นคิดให้ดี จนกว่าจะเข้าใจอย่างชัดเจน”