สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 18 ตอนที่ 535 หมอหลวงอวิ๋น คืนนั้นเกิดอันใดขึ้น
ภายในซอยแคบและเงียบสงัดแห่งหนึ่ง ในที่สุด ซูจิ่นซีก็สามารถหลบพ้นจากการจับกุมของทหาร นางแย้มยิ้มสดใส ทว่าขณะที่นางกำลังจะเดินไปทางจวนฉีอ๋อง ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งจับหัวไหล่ของนาง
ทั่วทั้งร่างซูจิ่นซีพลันตื่นตัว เตรียมพร้อมเผชิญหน้า เมื่อหันหลังกลับไปเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น แววตาของนางก็ปรากฏความตกตะลึง
“อู๋จุน? ”
อู๋จุนแย้มยิ้มให้ซูจิ่นซี ดวงตาที่โผล่ออกมานอกหน้ากากเขี้ยวสัตว์นั้นงดงามดั่งดอกท้อที่บานสะพรั่ง
“แม่นางพิษน้อย พี่จุนคิดถึงเจ้า! เจ้าคิดถึงพี่จุนบ้างหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเครียด
“แม่นางซู! ”
เวลานี้ มู่หรงฉีในชุดสีขาวนวลจันทร์ยืนเอามือไพล่หลัง และเดินออกมาจากหัวมุมของซอยแคบ
“พวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
มู่หรงฉียังไม่ทันได้ตอบคำถาม อู๋จุนก็พูดแทรกขึ้นก่อนว่า “แน่นอนว่าต้องมารับเจ้า หน้าประตูเมืองมีคนของเจ้าฉี เมื่อใดที่เจ้าเดินทางมาถึงประตูเมือง พวกเราจะรู้ได้ทันที”
ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจเรื่องอื่นมากนัก การตอบสนองแรกของนางคือ จับมือของอู๋จุนขึ้นมาตรวจดูว่าพลังภายในของเขาฟื้นคืนมาได้หรือไม่
อู๋จุนตกใจเล็กน้อยตอนที่ซูจิ่นซียื่นมือออกมาจับมือเขา ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าร้อนใจและเป็นห่วงของซูจิ่นซี เขาก็แย้มยิ้มอย่างสดใสดั่งดอกไม้บาน
“แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นห่วงพี่จุนมากใช่หรือไม่? ”
“พี่จุนชอบในความเป็นห่วงของเจ้า”
“เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าในใจของเจ้าห่วงใยพี่จุนมากใช่หรือไม่? ”
“แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย ท่าทางเป็นห่วงของเจ้าช่างงดงามมากทีเดียว! ”
เสียงเจื้อยแจ้วของอู๋จุนดังอยู่เหนือศีรษะ ซูจิ่นซีนิ่งเงียบและตั้งสมาธิตรวจชีพจรของอู๋จุน เมื่อยืนยันได้แล้วว่าพลังภายในของอู๋จุนฟื้นฟูกลับมาแล้ว นางจึงปล่อยมือ
แม้ยามอยู่ต่อหน้าอู๋จุน ซูจิ่นซีจะมีท่าทีเรียบเฉย ใบหน้าแสดงออกด้วยความเย็นชา ทว่ามุมปากของนางกลับยกยิ้มยินดีจนเผยให้เห็นความคิดในใจของนาง
ฟื้นฟูแล้วก็ดี ฟื้นฟูแล้วก็ดี!
ซูจิ่นซีรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
นางหันหน้าไปถามมู่หรงฉี “ดอกไม้ปีศาจมาถึงมือท่านแล้ว ผู้ใดเป็นคนปรุงยาหรือ? ”
คืนวันนั้น ขณะที่เยี่ยโยวเหยาบุกเข้าไปในตำหนักจื่อเฉิน มู่หรงฉีก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน ทั้งเยี่ยโยวเหยายังบอกว่าเขาได้ส่งดอกไม้ปีศาจไปที่จวนฉีอ๋องแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ นางกับมู่หรงฉีล้วนทราบเหตุการณ์เป็นอย่างดี ทว่าเขาไม่ได้พูดออกมาให้นางต้องเสื่อมเสีย
“สถานที่แห่งนี้อยู่นานไม่ได้ พวกเราไปสำนักแพทย์สกุลจงกันก่อน แล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง! ”
สำนักแพทย์สกุลจง?
เมื่อเห็นประกาศจับหน้าประตูเมือง ซูจิ่นซีก็เข้าใจเป็นอย่างดี นางไม่สามารถเข้าจวนฉีอ๋องได้โดยง่าย
ระหว่างสำนักแพทย์สกุลจงกับมู่หรงฉีมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันพอสมควร ประเด็นนี้ ซูจิ่นซีก็พอจะรู้มาบ้าง
สำนักแพทย์สกุลจงนั้น ช้าเร็วนางต้องกลับไปแน่นอน ทว่าเมื่อสบโอกาสประจวบเหมาะ นางจึงพยักหน้าตกลง
ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังสำนักแพทย์สกุลจง
ระหว่างทาง อู๋จุนยังพูดเจื้อยแจ้วกับซูจิ่นซีไม่หยุด ไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน ทว่าดูเหมือนเขาจะมีคำพูดที่ต้องการพูดกับซูจิ่นซีมากมาย
แม้ซูจิ่นซีจะรู้สึกรำคาญอย่างมาก ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงไม่โต้เถียงเขา
เมื่อเข้ามาในสำนักแพทย์สกุลจง ซูจิ่นซีก็เห็นคนผู้หนึ่งที่ทำให้นางต้องประหลาดใจ ทั้งยังเป็นคนที่นางไม่คิดว่าจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่
อวิ๋นจิ่น
แม้สำนักแพทย์สกุลจงจะตกต่ำ ทว่าเรือนต่างๆ ไม่ได้มีขนาดเล็ก เรือนรับรองด้านหน้ามีดอกไม้นานาพรรณปลูกไว้ หนึ่งในดอกไม้ที่ปลูกมากที่สุดคือดอกไห่ถัง อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ด้านหน้าดอกไห่ถังแย้มยิ้มให้ซูจิ่นซี รอยยิ้มนั้นสดใสยิ่งกว่าดอกไม้ที่บานสะพรั่งเสียอีก ทั้งยังสว่างไสวมากกว่าแสงอาทิตย์ในยามนี้
“กระหม่อมคำนับพระชายา”
ซูจิ่นซีรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไม่เพียงเป็นดั่งลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยเข้ามาปลอบประโลมจิตใจผู้ที่กำลังทุกข์ร้อน ทว่ายังสามารถทิ่มแทงหัวใจผู้คนให้เจ็บปวดได้อีกด้วย
ในความคิดของซูจิ่นซียังหวนนึกถึงช่วงเวลานั้น คืนวันที่แสงดาวส่องแสงระยิบระยับ เหตุการณ์ที่ลูกศรทั้งห้าดอกพุ่งเข้าไปหมายสังหารอวิ๋นจิ่น
หลายวันมานี้ แม้ซูจิ่นซีจะหมกมุ่นกับเรื่องอื่นมาตลอด ทว่านางไม่เคยลืมเรื่องของอวิ๋นจิ่นเลย และไม่เคยหยุดคิดเป็นห่วงอวิ๋นจิ่น
จนกระทั่งยามนี้ นางได้เห็นอวิ๋นจิ่นยืนอยู่ข้างต้นไห่ถัง เขาแย้มยิ้มอยู่เบื้องหน้านางและยังสุขสบายดีไม่เป็นอันใด ในที่สุด ภูเขาอีกลูกหนึ่งที่กดทับอยู่บนตัวนางก็ถูกยกออกไป
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้เพราะเหตุใด ส่วนลึกภายในใจของนางกลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
อวิ๋นจิ่นแย้มยิ้มเหมือนเช่นเคย และประสานมือเคารพซูจิ่นซีอย่างนอบน้อมตามธรรมเนียมพิธีการที่ถูกต้องครบถ้วน “กระหม่อมไม่เป็นอันใด ทำให้พระชายาทรงเป็นห่วง ขอบพระทัยพระชายา! ”
“ไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว! ” ซูจิ่นซีแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะถามคำถามที่นางเก็บซ่อนไว้ในใจ และเป็นคำถามที่นางต้องการถามอย่างมาก “หมอหลวงอวิ๋น ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในคืนนั้น หลังจากที่ข้าถูกคนของมู่หรงฉีพาตัวไปแล้ว เกิดอันใดขึ้นบ้าง? ”
มู่หรงฉี อู๋จุน และอวิ๋นจิ่น ทั้งสามคนที่ยืนอยู่
อู๋จุนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในคืนวันนั้น จึงนิ่งเงียบ
ทว่ามู่หรงฉีทราบเป็นอย่างดี คืนวันนั้น คนที่หายตัวไปไม่ได้มีเพียงคนชุดดำที่ตามฆ่าซูจิ่นซีกับอวิ๋นจิ่นเท่านั้น แม้แต่อวิ๋นจิ่นกับองครักษ์เงาทั้งหมดที่เขาส่งไปช่วยก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
นี่เป็นคำถามที่มู่หรงฉีต้องการถามอวิ๋นจิ่นมาโดยตลอด แม้เขาจะพบอวิ๋นจิ่นก่อนซูจิ่นซีนานแล้วก็ตาม
บรรยากาศในยามนี้อึมครึมอย่างมาก ไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก เพียงเฝ้ารอให้อวิ๋นจิ่นตอบคำถาม
ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แม้เขาจะมีฐานะเป็นเพียงหมอหลวง ทว่าร่างในชุดขาวหิมะที่ยืนตัวตรงอย่างสง่า กลับไม่ปรากฏให้เห็นความต่ำต้อยและหยิ่งทะนงจนเกินงาม นับเป็นความสงบนิ่งอย่างหนึ่ง ราวกับดอกไห่ถังที่อ่อนโยนและเงียบสงบ
“พระชายา ความจริงในคืนวันนั้น… ”
อวิ๋นจิ่นพูดออกมาได้เพียงครึ่งประโยค ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความรีบร้อน “หลานสาวของข้า หลานสาวของข้าอยู่ที่ใด? จิ่นซี จิ่นซีอยู่ที่ใด? ”
“ท่านแม่ ท่านเดินช้าลงหน่อย ระวังหกล้ม! หลานสาวของท่านอยู่ที่เรือนรับรอง ไม่ได้ไปที่ใด ท่านเดินช้าลงหน่อย สวรรค์ ประคองท่านย่าด้วย! ”
ทั้งสามคนที่ได้ยินเสียงต่างหันไปมองพร้อมกัน ทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นจงรุ่ยอันกับบุตรชายกำลังประคองหญิงชราผู้หนึ่งที่อายุเกือบร้อยปีเดินเข้ามา
ซูจิ่นซีมองอวิ๋นจิ่นที่หยุดพูดไป แววตาเผยให้เห็นความซับซ้อน นางเก็บความคิดทั้งหมดลงท้องชั่วคราว อย่างไรเสีย สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้มากเกินไป
ผู้ที่เดินมาไม่ใช่ใครอื่น นางคือฮูหยินเฒ่าหานที่ช่วยเหลือซูจิ่นซีจากการจับกุมของจงจิงเฉินที่หน้าประตูเมือง ทั้งนางยังเป็นเจ้าสำนักแพทย์สกุลจง
ฮูหยินเฒ่าหานวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของซูจิ่นซี นางกลับหยุดชะงัก ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปที่ซูจิ่นซี
แววตาของฮูหยินเฒ่าหานปรากฏความยินดี ความเมตตา และความคาดหวังที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งน้ำตายังเอ่อคลอ มุมปากสั่นเทาเล็กน้อย
ในร่างของซูจิ่นซีมีความทรงจำของคนสองคน นอกจากซูจิ่นซีที่อยู่ในยุคศตวรรษที่21แล้ว ยังมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ด้วย ในที่สุด ซูจิ่นซีก็ได้พบญาติที่นางตามหามานาน ภายในใจของนางจะสงบนิ่งได้อย่างไร?
ตอนที่ซูจิ่นซีได้ยินน้ำเสียงยินดีและเร่งรีบของฮูหยินเฒ่าหาน จิตใจของนางก็ตื่นเต้นไปกับเสียงนั้นนานแล้ว เมื่อนางเห็นใบหน้ายินดีของฮูหยินเฒ่าหาน จิตใจของนางก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นางยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น และไม่รู้ว่าควรรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไร
ในอดีตชาติ นางเป็นเด็กกำพร้า บิดามารดาเสียตั้งแต่นางยังเล็ก แต่ไหนแต่ไรมา นางไม่เคยสัมผัสถึงความอบอุ่นดั่งญาติมิตร และในชาตินี้ นางต้องเอาตัวรอดอย่างยากลำบากจากเรื่องราวความขัดแย้งในตระกูล สถานการณ์เช่นนี้ เป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกของนางและเจ้าของร่างเดิม
แม้ความตื่นเต้นที่ได้พบญาติมิตรจะเป็นความจริง ทว่าร่างกายของนางกลับแข็งทื่อ นางไม่รู้ว่าตนเองควรรับมือกับความรู้สึกนี้อย่างไร