สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 19 ตอนที่ 541 หากเจ้าตายไป เยี่ยโยวเหยาจะทำอย่างไร
แสงสลัวยามราตรี จงซูอี้เห็นเด็กเมื่อวานซืนสามคนที่บุกเข้ามาในจวนสกุลจงมีอายุไม่ถึงหนึ่งในสามของตน เขาจึงไม่เห็นคนทั้งสามอยู่ในสายตา
เมื่อเหลือบมองซูจิ่นซีเพียงครั้งเดียว กลับไม่คิดว่าใบหน้านั้น…
อย่างไรก็ตาม จงซูอี้ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่จงซีจือ
ประการแรก อายุไม่เท่ากัน
นอกจากนั้น ร่างของจงซีจือไม่มีไอสังหารที่เย็นชาเช่นนี้
ในโลกนี้ นอกจากหลิงเซียว หลานสาวของเขา นึกไม่ถึงว่ายังมีผู้ที่มีใบหน้าคล้ายจงซีจืออีกคน
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซีไม่ได้วางแผนที่จะเปิดเผยสถานะตนเองต่อหน้าทุกคน
นางยังคงถือดาบอันทรงพลังไว้ในมือ “ผู้นำสกุลจงคงเกรงว่าจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของข้า จึงได้ถามชื่อแซ่ล่วงหน้า เพื่อจะตามมาแก้แค้นในภายหลังกระมัง? ” นางพูดพลางยกยิ้มมุมปาก ทั้งยังเผยให้เห็นสีหน้าเหยียดหยาม
เคราที่มุมปากของจงซูอี้สั่นไหวเล็กน้อย “เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อายุเพียงเท่านี้กลับพูดจายโสโอหัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าจะแหกกฎสั่งสอนเจ้า เด็กรุ่นหลังที่ไม่มีผู้ใดสั่งสอน”
จงซูอี้พูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งที่ไพล่หลังไว้มาด้านหน้า เขายกมือขึ้น ก่อนจะพลิกแขนและฝ่ามือเล็กน้อย ทันใดนั้น พลังภายในโปร่งใสที่เยือกเย็นและรุนแรงก็ปรากฏขึ้น จากนั้น จงซูอี้ก็กางนิ้วมือทั้งห้าราวกับกรงเล็บนกอินทรี และพุ่งเข้ามาบีบคอซูจิ่นซี
จงซูอี้ลงมือได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทว่าการตอบสนองของซูจิ่นซีก็ไม่ช้า
ร่างของนางลอยขึ้นกลางอากาศ
โดยไม่คาดคิด การตอบสนองของจงซูอี้เร็วกว่าซูจิ่นซี ตั้งแต่วินาทีที่ซูจิ่นซีกระโดดขึ้น เขาก็เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว และไล่ตามซูจิ่นซีทันที
ร่างของซูจิ่นซีราวกับปลาหมึก นางยังคงหมุนเปลี่ยนทิศทางอยู่กลางอากาศ โดยมีจงซูอี้ไล่ตามมาด้านหลังอย่างกระชั้นชิด
ใบหน้าของจงซูอี้พลันแสดงออกอย่างหมดความอดทน นิ้วทั้งห้าที่ราวกับกรงเล็บนกอินทรีกำหมัดรวมกัน พลางส่งพลังภายในทั้งหมดจากแขนไปที่ฝ่ามือ ทันใดนั้น เขาก็เหาะไปทางด้านหลังซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีหันกลับมามอง นางไม่สามารถหลบหนีได้ทัน ทำได้เพียงจ้องมองพลังที่เคลื่อนเข้าใกล้ตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าซีดขาว
อวิ๋นจิ่นมีท่าทีเปลี่ยนไปในทันที เขาพุ่งตัวเข้าไปหาซูจิ่นซี
แม้แต่มู่หรงเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังจงซูอี้ยังใบหน้าซีดขาว
ทว่าขณะที่พลังฝ่ามือเฉียบคมกำลังเข้าใกล้ซูจิ่นซีที่ลอยอยู่กลางอากาศ เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็จะกระแทกร่างของซูจิ่นซีแล้ว ทันใดนั้น แส้สีแดงเพลิงเส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากความมืดและโอบรอบเอวซูจิ่นซี ก่อนจะดึงร่างของซูจิ่นซีให้หายไปในความมืดมิด
อวิ๋นจิ่นที่พุ่งเข้ามาช่วยซูจิ่นซีก็วิ่งไล่ตามนางและแส้สีแดงนั้นไป ก่อนจะหายเข้าไปในความมืดเช่นกัน
จงซูอี้ตวัดฝ่ามือใส่อากาศ เขาออกคำสั่งด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ตามไป! ”
มู่หรงเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังจงซูอี้ กำมัดแน่นด้วยความตกใจ ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ
ร่างของซูจิ่นซีที่ถูกพันด้วยแส้สีแดงตกลงไปข้างทะเลสาบด้านหลังจวนสกุลจง อู๋จุนผู้ทรงเสน่ห์ในชุดสีแดงเพลิงก้าวออกมาจากภูเขาจำลองและเดินมาหาซูจิ่นซี “แม่นางพิษน้อย เจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก รู้ว่าสู้ไม่ได้แล้วยังไม่ยอมหนีอีก! ”
“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
“พี่จุนสบายดีอยู่แล้ว! แม่นางพิษน้อย เมื่อครู่เจ้าคิดว่าพี่จุนถูกฝ่ามือของหมอเฒ่าจงซัดจนตายไปแล้วกระมัง จึงได้ลงมือจัดการเขา? เจ้าเป็นห่วงพี่จุนใช่หรือไม่? ”
แม้อวิ๋นจิ่นจะไม่ได้พูดอันใด ทว่าหลังจากที่เขาเหาะลงมาตามหลังซูจิ่นซีกับอู๋จุน และเห็นว่าซูจิ่นซีปลอดภัยดีแล้ว ใบหน้าที่ตื่นตระหนกจากเหตุการณ์คับขัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ซูจิ่นซีใช้หางตามองอู๋จุน “ผู้ใดเป็นห่วงเจ้ากัน เจ้าอย่าเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ข้าเพียงทดสอบพลังภายในของจงซูอี้เพื่อพิสูจน์ความจริงเท่านั้น” ซูจิ่นซีพูดพลางหรี่ตาลง ทั้งยังทอดสายตายาวออกไปชั่วครู่ “ไม่คิดว่า… พลังภายในของเขาจะสูงส่งถึงเพียงนี้”
ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนที่ฝ่ามือมรณะเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ซูจิ่นซีนึกเสียใจอยู่บ้าง
พลังภายในที่สูงส่งเช่นนี้ อย่าว่าแต่พวกเขาทั้งสามคนเลย เกรงว่ามู่หรงเฟิงยังต้องยอมแพ้ และต่อให้เยี่ยโยวเหยาเข้ามาช่วยอีกคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจงซูอี้
ดูแล้ว สำนักโอสถสกุลจงยังเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่จัดการได้ยาก
ทันใดนั้น อู๋จุนก็คว้าแขนซูจิ่นซี แววตาภายใต้หน้ากากเขี้ยวสัตว์ปรากฏความเย็นชา เขาพูดอย่างจริงจังว่า “แม่นางพิษน้อย พี่จุนไม่ยอมให้เจ้านำชีวิตมาเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว หากมีเรื่องเช่นนี้อีก เพียงเจ้าบอกพี่จุน พี่จุนจะทำแทนเจ้า หากเมื่อครู่ เจ้าถูกหมอเฒ่านั่นทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ผลที่ตามมา… ” อู๋จุนพูดพลางหรี่ตาลง ใบหน้ายิ่งแสดงออกถึงความจริงจัง “อย่างไรก็ตาม พี่จุนไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว”
ซูจิ่นซีต้องการสลัดมืออู๋จุน ทว่าเมื่อก้มมองแส้สีแดงในมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขา นางก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
นางรู้ว่าอันตรายที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อครู่ ทำให้เขาตกใจมาก ดังนั้นนางจึงแย้มยิ้มให้เขาเล็กน้อย และใช้มืออีกข้างผลักมืออู๋จุนที่จับแขนของนางออกอย่างแผ่วเบา
“อย่ากังวลไปเลย จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก คราวหลังหากพบกับความโชคร้าย ข้าจะให้เจ้านำอยู่ข้างหน้า” ซูจิ่นซีพูดติดตลกเล็กน้อย
ทว่าอู๋จุนกลับเฉยเมยต่อคำพูดของซูจิ่นซี และมองรอยยิ้มที่มุมปากของซูจิ่นซีอย่างมีความสุข
“แม่นางพิษน้อย เจ้ายิ้มแล้ว เจ้ายิ้มให้พี่จุนแล้ว หากพี่จุนมีสมบัติวิเศษก็คงดี จะได้เก็บรอยยิ้มที่เจ้ายิ้มให้พี่จุน ต่อไปตอนที่มองไม่เห็นเจ้า พี่จุนจะได้นำออกมาดูให้เต็มอิ่ม”
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกอย่างแรง
เวลานี้ อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ข้างหลังซูจิ่นซีอย่างเงียบงันก็เดินเข้ามา และกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและนอบน้อม “พระชายา กระหม่อมรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าหุบเขาอู๋มีเหตุผล คราวหลังพระองค์ไม่ควรเอาชีวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงอีก หากพระองค์มีอันเป็นไป โยวอ๋องจะทำอย่างไร? ”
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นกระหน่ำ ราวกับถูกคำพูดของอวิ๋นจิ่นกระชากอย่างแรง และทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด
ทันใดนั้น ในความคิดก็ปรากฏภาพในคฤหาสน์ก่อนหน้านี้ เมื่อเยี่ยโยวเหยารู้ว่านางไม่อาจร่วมเดินทางไปแคว้นซีอวิ๋นกับเขา ทว่านางต้องการมาเสี่ยงอันตรายที่เมืองเย่หลิน ท่าทางของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวด กังวล หวาดกลัว แต่กลับอดกลั้นเอาไว้
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ไม่รู้ว่า หากตนเองมีอันเป็นไปจริงๆ เยี่ยโยวเหยาจะเป็นอย่างไร
ผ่านไปไม่นาน ซูจิ่นซีก็หันไปมองอวิ๋นจิ่น แม้นางจะไม่ได้พูดสิ่งใด ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากกลับอธิบายทุกอย่าง
อวิ๋นจิ่นมีจิตใจแจ่มใส ละเอียดถี่ถ้วน และสามารถเข้าใจทุกสิ่ง
“อยู่ตรงนั้น เร็ว! ล้อมไว้ อย่าให้พวกเขาหนีไปได้! ”
ขณะนั้น เสียงแห่งความวุ่นวายก็ดังขึ้นจากทางเดินที่ไกลออกไป แสงไฟสีแดงลุกโชนส่องสว่างไปทั่วลานราวกับยามกลางวัน
ท่ามกลางแสงสว่างนั้น ทหารของจวนสกุลจงรวมตัวกันจนดูเหมือนกลุ่มคนสีดำ และวิ่งกรูเข้ามาหาพวกเขาทั้งสามคน
ซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่น และอู๋จุนพลันขมวดคิ้วแน่น
พวกเขากำลังจะหลบหนีไปในทิศทางตรงกันข้ามกับแสงไฟ แต่ไม่คาดคิดว่าทหารที่อยู่บนหลังคาทางด้านหลังของพวกเขาจะถือตาข่ายยักษ์ไว้ในมือ
ด้านหน้ามีคนชั่วช้าราวกับสัตว์ป่า ด้านหลังก็ไม่มีทางให้หลบหนี
จงซูอี้กับมู่หรงเฟิงต้องการจับเป็นซูจิ่นซีและพวกเขาทั้งสาม สถานการณ์นี้ พวกเขาไม่อาจหลบหนีได้อีกแล้ว!