สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 19 ตอนที่ 544 หมอหลวงอวิ๋น ท่านเป็นวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร
- Home
- สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน
- เล่มที่ 19 ตอนที่ 544 หมอหลวงอวิ๋น ท่านเป็นวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร
เวลานี้ พวกเขาอยู่ด้านข้างแผ่นศิลาในดินแดนต้องห้ามของสกุลจง
“ไปตามจับคนที่ยังรอดชีวิตมาเดี๋ยวนี้” ทหารของสกุลจงที่อยู่ด้านหลังไล่ตามมาอีกครั้ง
“พระชายา” อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วมองซูจิ่นซี นางเงยหน้ามองไปยังดินแดนต้องห้ามของสกุลจงครู่หนึ่ง
ทหารของสกุลจงไล่ตามมาด้านหลัง แม้พวกเขาจะหลบหนีออกมาพร้อมกับสัตว์เทพกิเลน ทว่าพลังของสัตว์เทพกิเลนรุนแรงยิ่งนัก ซูจิ่นซีไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดมากไปกว่านี้
นอกจากนั้น แม้ตอนนี้นางจะห้ามเลือดให้อู๋จุนได้ ทว่าอาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินกว่าจะขยับตัวไปมาได้อีก
“เข้าไปก่อนเถิด คนสกุลจงเกรงกลัวดินแดนต้องห้าม เหล่าทหารไม่ไล่ตามมาแน่นอน”
ซูจิ่นซีพูดพลางช่วยอวิ๋นจิ่นพยุงร่างอู๋จุนขึ้นมา และมองไปยังดินแดนต้องห้ามของสกุลจง
เสียงลมพัดหวีดหวิว กระทั่งสายลมของที่นี่ก็เย็นกว่าด้านนอกเล็กน้อย
ใต้ฝ่าเท้ามีโครงกระดูกของคนผู้หนึ่ง เสียงลมกระซิบข้างหู ปะปนด้วยเสียงของนกฮูกและแมลงแปลกๆ นานาชนิด
แม้แต่เสียงเคลื่อนไหวของต้นไม้ใบหญ้ายังน่าขนหัวลุก
ดินแดนต้องห้ามของสกุลจง น่ากลัวยิ่งกว่าสุสานเสียอีก
หากคนธรรมดาเข้ามาคงหวาดกลัวจนหัวโกร๋น
ซูจิ่นซีเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง นางพอคุ้นเคยกับเส้นทางอยู่บ้าง จึงนำอู๋จุนและอวิ๋นจิ่นเดินลึกเข้าไปในดินแดนต้องห้าม
ทว่าพวกเขายังเดินไปได้ไม่ไกลนัก อู๋จุนก็เริ่มอาเจียนเป็นเลือดอีกครั้ง พวกเขาจึงต้องหยุดอยู่ที่เดิม
“พระชายา อู๋จุนในตอนนี้บาดเจ็บสาหัสมากเกินไป หากใช้วิธีฝังเข็มอาจช่วยบรรเทาได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ดูจากสภาพแล้ว ยังต้องใช้ยาสมุนไพรร่วมด้วย ทว่าตอนนี้… ”
อวิ๋นจวิ่นพูดพลางลุกขึ้นยืนและมองบริเวณโดยรอบที่ทั้งมืดและวังเวง
“ที่นี่คือดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ได้ยินมาว่าด้านหลังภูเขาของดินแดนต้องห้ามมีสมุนไพรล้ำค่าอยู่จำนวนมาก กระหม่อมจะลองไปหาดูว่าพอมีสมุนไพรที่ช่วยในการห้ามเลือดหรือไม่”
“ไม่ต้องไป! ”
ซูจิ่นซีไม่ได้เงยหน้าขึ้น นางยุ่งอยู่กับการฝังเข็มเงินบนร่างของอู๋จุน
ด้านหลังภูเขาของสกุลจงไม่มีสมุนไพรแล้ว
ภูเขาด้านหลังนั้นกว้างใหญ่ นางไม่รู้เกี่ยวกับพื้นที่อื่น ทว่าพื้นที่โดยรอบที่พวกเขาอยู่นั้น ไม่มีสมุนไพรที่พอจะใช้งานได้ เนื่องจากนางได้เก็บสมุนไพรเหล่านั้นมาไว้ในระบบถอนพิษแล้ว กระทั่งเมล็ดพันธุ์ก็ไม่มีหลงเหลือ
ดังนั้น จะมีสมุนไพรห้ามเลือดคุณภาพดีหรือไม่นั้น ซูจิ่นซีย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด
เมื่อฝังเข็มเสร็จเรียบร้อย ซูจิ่นซีก็พลิกฝ่ามือ ในมือของนางปรากฏเม็ดยาสองสามเม็ด จากนั้นจึงส่งมันให้อู๋จุน
อวิ๋นจิ่นมองไปยังฝ่ามือของซูจิ่นซี ที่จู่ๆ ก็มีสมุนไพรปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ทว่าดวงตาของเขากลับสงบนิ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นนางนำยาออกมาด้วยวิธีเช่นนี้
เมื่อเข็มเงินและยาสมุนไพรทำงานร่วมกัน ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าดีเกินคาด เลือดของอู๋จุนหยุดไหลแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าอาการของเขาจะพ้นขีดอันตราย
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อวัยวะภายในเกือบทั้งหมดได้รับความเสียหาย รอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
ซูจิ่นซีจับชีพจรให้อู๋จุนอยู่นานโดยไม่พูดอันใด ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดำ
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีกับอวิ๋นจวิ่นได้ผลัดกันวัดชีพจรของอู๋จุนอยู่หลายครั้ง ซึ่งสถานการณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก
หากเป็นโรคทั่วไป สำหรับซูจิ่นซีแล้วไม่ใช่เรื่องยาก ทว่านี่เป็นการบาดเจ็บภายใน! แตกต่างจากอาการป่วยทั่วไปโดยสิ้นเชิง ซูจิ่นซีคิดไม่ตก แม้ใบหน้าของนางจะดูสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับกระวนกระวายจนอยู่แทบไม่สุข
ทันทีที่ซูจิ่นซีปล่อยมือจากการจับชีพจรบนข้อมือของอู๋จุน นางก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอู๋จุน
นางไม่ควรปล่อยให้เขามาเลย
ตอนที่เขาจะตามมา นางควรรั้งเขาไว้ พลังภายในของเขาเพิ่งฟื้นฟู เลือดลมยังไหลเวียนได้ไม่คงที่ นางไม่ควรปล่อยให้เขาตามมาเสี่ยงด้วย
ซูจิ่นซีรำพึงรำพันกับตนเอง และเริ่มกล่าวโทษตนเองด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง
คราแรก หากเขาไม่ได้ใช้กำลังภายในจนหมด เขาคงไม่เสียเปรียบเมื่อเผชิญหน้ากับจงซูอี้
ซูจิ่นซีเริ่มโทษที่ตนเองอ่อนแอเกินไป ไม่มีกำลังมากพอ หากนางมีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง นางคงไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่หรงเฟิง และอู๋จุนก็คงไม่เจ็บหนักถึงเพียงนี้
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของนาง ต้องตำหนินาง
อวิ๋นจิ่นมองไปยังแผ่นหลังที่แสนอ้างว้างของซูจิ่นซี ความสงสารสะท้อนอยู่ในดวงตาอันอบอุ่น แววตาเอ็นดูและห่วงใยจับจ้องร่างของซูจิ่นซีอยู่นาน ดูเหมือนว่า หากซูจิ่นซีไม่หันมา สายตานั้นคงมองอยู่เช่นนั้นต่อไป
ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นจวิ่นก็ละสายตากลับมา เขาเก็บซ่อนความรู้สึกซับซ้อนทั้งหมดไว้ในใจ จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่งและอ่อนโยนดังเดิม
เขาเป็นเช่นนี้มาตลอด เพียงมองท่าทางของซูจิ่นซีก็รับรู้ได้ทันทีว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“พระชายา กระหม่อมคิดว่าเจ้าหุบเขาอู๋ทำไปทั้งหมดด้วยความเต็มใจ แม้พระชายาไม่ยอมให้เจ้าหุบเขาอู๋มาด้วย เจ้าหุบเขาอู๋ก็ต้องแอบตามพระชายามาอยู่ดี ดังนั้นพระชายาอย่าได้กล่าวโทษตนเองอีกเลย เจ้าหุบเขาอู๋เป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง เขาต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน”
ซูจิ่นซีจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ทว่าเมื่อได้ยินคำว่า ‘เต็มใจ’ ซูจิ่นซีกลับรู้สึกเจ็บปวด
อู๋จุนถูกนางแสดงท่าทีรังเกียจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายครั้งที่เขาช่วยเหลือนางโดยไม่นึกถึงชีวิตตนเอง แม้คำพูดของเขาจะไม่จริงจัง ทว่าหลายครั้งนางกลับมองเห็นความจริงใจในดวงตาของเขา และเป็นความจริงใจที่ออกมาจากใจจริงของเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาได้ลิขิตเรื่องราวต่างๆ ไว้แล้ว บางคนถูกกำหนดให้ไร้วาสนาต่อกัน และบางครั้งก็ลิขิตให้ความรู้สึกเป็นดั่งบ่วงรัดคอ
แม้ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าตอนนี้มันเปรียบดั่งบ่วงรัดคอหรือไม่ ทว่าสิ่งที่จำเป็นต้องทำ นางก็ต้องทำ
ดวงตาของนางปรากฏความเย็นชา ก่อนจะหันไปสบตาอวิ๋นจิ่น “หมอหลวงอวิ๋น ท่านอย่าลืมว่าตนเองยังเป็นขุนนางของแคว้นจงหนิง และท่านอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงในตอนนี้คือโยวอ๋อง”
นางเป็นพระชายาของท่านอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง
เขาเป็นขุนนางของท่านอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง
ทว่าเขากำลังใช้ความรู้สึกมาแทนที่บุรุษอีกคน และมีความรู้สึกที่ไม่สมควรกับพระชายา เขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทีดุดันของซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่นกลับสงบนิ่งเช่นเดิม เขาเป็นดั่งทะเลสาบภายใต้แสงจันทร์ แม้สายลมพัดผ่านก็ไม่เกิดระลอกคลื่น
มุมปากของเขายังคงปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นให้ซูจิ่นซีไม่เปลี่ยนแปลง “พระชายา กระหม่อมหมายถึงมิตรภาพระหว่างเจ้าหุบเขากับพระชายา ท้ายที่สุดแล้ว น้อยคนนักที่จะยอมสละชีวิตตนเองเพื่อมิตรสหายดั่งเจ้าหุบเขาอู๋”
ความดุดันในแววตาของซูจิ่นซีลดลงเล็กน้อย ทว่านางยังมองอวิ๋นจิ่นด้วยท่าทีซับซ้อน
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าอวิ๋นจิ่นผู้นี้ คือบุคคลที่ไม่มีผู้ใดสามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขามีหัวใจอ่อนโยนที่สามารถอ่านใจผู้คนได้ มีดวงตาสงบนิ่งที่สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องใด ผู้คนแบบไหน เขาก็ยังสงบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ราวกับดอกไม้งดงามที่เบ่งบานท่ามกลางแสงแดด
ซูจิ่นซีเห็นเขาในรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์และสง่างามดั่งหิมะสีขาวบนยอดเขาเทียนซาน ดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิและแสงแดดอันอบอุ่น ทว่าตัวตนของเขาในยามที่นางไม่เห็นนั้น เป็นเช่นไรกันแน่?
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิงจึงไม่แสดงออก? ”
ซูจิ่นซีถามอย่างกะทันหัน ดวงตาของอวิ๋นจิ่นพลันสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าไม่มีผู้ใดจับสังเกตได้ แม้ซูจิ่นซีจะจ้องมองดวงตาของเขา ทว่านางกลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
“พระชายา วรยุทธ์ของกระหม่อมนั้น… ”
เมื่อคำพูดของอวิ๋นจิ่นมาถึงจุดสำคัญ ทันใดนั้นอู๋จุนก็ไออย่างหนักและมีเลือดปนออกมากับน้ำลายของเขา
เสียงนั้นดังหนักหน่วงดั่งฟ้าร้อง สะเทือนไปยังหัวใจของซูจิ่นซี ทำให้นางไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจสิ่งใดอีก นางรีบไปอยู่ด้านข้างอู๋จุนและคว้าข้อมือของเขามาตรวจชีพจร
อวิ๋นจิ่นหันกลับมา เขามองไปยังซูจิ่นซีและอู๋จุนด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่านิ้วเรียวยาวที่ห้อยอยู่ด้านข้างกลับค่อยๆ ดึงพลังภายในอันแข็งแกร่งที่เพิ่งใช้ไปกลับมา
“แย่แล้ว สถานการณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก! ” สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปอย่างมาก