สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 19 ตอนที่ 556 เป็นตายเท่ากัน ใครคือผู้ชนะ
ทว่าซูจิ่นซีเคยเดิมพันกับอู๋จุนไว้แล้ว เดิมพันด้วยชีวิตของอู๋จุน นางไม่มีทางปล่อยให้อู๋จุนตายง่ายๆ แน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ แววตาของซูจิ่นซีก็เผยให้เห็นความมุ่งมั่นแน่วแน่ นางประคองแขนอู๋จุน
“ไป พวกเราจะนอนรอความตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม้จะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็ต้องทิ้งร่องรอยให้เห็นบ้าง พวกเราต้องหาวิธีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
ตอนที่ยังไม่ได้ประคองอู๋จุน ซูจิ่นซีก็ไม่รู้สึกอันใด ทว่าเมื่อนางยกตัวเขา นางกลับรู้สึกว่าร่างกายเขาหนักอึ้งอย่างมาก หนักกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
คนทั่วไป เมื่อใกล้ตาย ร่างกายจะหนักกว่าปกติ
ทันใดนั้น ราวกับมีบางอย่างสัมผัสหัวใจของซูจิ่นซี เหมือนมีก้อนนุ่นติดอยู่ในลำคอของนาง ไม่สามารถขึ้นลงได้ ทำให้หน้าอกของนางติดขัด ดวงตาทั้งสองพลันเจ็บปวด
ทว่าซูจิ่นซีทำเพียงนิ่งเงียบและหยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นจึงตั้งสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และประคองอู๋จุนเดินหน้าต่อไป นางหายใจเป็นปกติ แสดงท่าทางเป็นปกติ ไม่เผยพิรุธใดๆ ให้อู๋จุนเห็น
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่า พวกเขาเพิ่งเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันก้าวออกจากปากถ้ำ ภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นภาพที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
พื้นที่ทั้งสี่ด้านปิดมิดชิด แสงภายนอกไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาได้ มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟดวงเล็กริมกำแพงที่ทำให้เห็นภาพภายในถ้ำเท่านั้น
สถานที่แห่งนี้คือถ้ำที่ล้อมรอบด้วยหินรูปร่างประหลาดทั้งสี่ด้าน บางครั้งก็มีเสียงน้ำหยดลงบนหินดังสะท้อนภายในถ้ำ รวมถึงเสียงอันสับสนของหนู แมลง ยุง และค้างคาว
หากเป็นสตรีทั่วไป เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้คงตกใจจนแทบสิ้นสติ ทว่าซูจิ่นซีไม่เผยความผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่หลงเหลือพื้นที่ให้นางได้แสดงความอ่อนแอ มันกระตุ้นให้นางต้องสงบนิ่ง และยืนหยัดอย่างแน่วแน่
ทว่าอู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเพียงเล็กน้อยของนาง
เขาเห็นนางกำมือที่อยู่ข้างกายแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ทั้งระหว่างนิ้วมือยังมีเหงื่อผุดขึ้นมาอีกด้วย
“แม่นางพิษน้อยเป็นอันใด? เจ้าพบอันใดหรือ? ”
เมื่อได้ยินเสียงของอู๋จุน ความตึงเครียดภายในใจของนางก็คลายลงอย่างมาก นางชำเลืองมองอู๋จุน
“สถานการณ์ที่นี่ซับซ้อนยิ่งนัก พวกเราต้องระมัดระวังให้มาก”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็ไม่รอให้อู๋จุนตอบกลับ นางประคองเขาเดินไปข้างหน้า
ยิ่งเดิน เสียงของหนู งู แมลง และยุงก็ยิ่งดังมากขึ้น ทั้งยังดังใกล้เข้ามาทุกที ซูจิ่นซีกำนิ้วมือทั้งห้าแน่น ทั้งยังสั่นเทาเล็กน้อย
ทันใดนั้น อู๋จุนก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนอยู่ที่หุบผาราชันพิษ ซูจิ่นซีกลัวหนูมากที่สุด เขาจึงเข้าใจสาเหตุที่นางตื่นตระหนกเช่นนี้
อู๋จุนจับแขนซูจิ่นซีแน่น “แม่นางพิษน้อย ไม่ต้องกลัว พี่จุนอยู่กับเจ้า! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง นางนึกขึ้นได้ว่า เยี่ยโยวเหยาเคยพูดกับนางเช่นนี้ ‘ซูจิ่นซี ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่กับเจ้า’
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ดึงแขนออกจากมือของอู๋จุน
บรรยากาศระหว่างพวกเขาพลันตึงเครียดขึ้นมาชั่วครู่
อู๋จุนคิดจะพูดอันใดบางอย่างเพื่อบรรเทาบรรยากาศอันน่าอึดอัด ทว่าซูจิ่นซีกลับถามขึ้นก่อน “เจ้าเดินเองได้หรือไม่?”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่ได้รอให้อู๋จุนตอบ นางก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว
“หากเดินได้ เจ้าก็เดินเอง”
อู๋จุนมองร่างอันบอบบางของซูจิ่นซี ทว่าร่างนั้นกลับตั้งตรง แลดูแน่วแน่ ท่าทางอึดอัดของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินตามหลังซูจิ่นซีไป
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่ได้อ่อนแอ ทว่านางกลัวหนูมาก มากถึงระดับที่พูดได้ว่าสะพรึงกลัว ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อนึกถึงหนูพวกนั้น นึกถึงขนเส้นเล็กๆ บนตัวของมัน ขนทุกเส้นบนร่างกายของนางก็ลุกซู่
อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยหวาดกลัวสิ่งอื่น โดยเฉพาะงูเหลือมยักษ์ ค้างคาว หรือเสือโคร่งที่ตัวใหญ่กว่ามันหลายสิบเท่า นางไม่กลัวแม้แต่น้อย
เวลานี้ ซูจิ่นซีไม่รู้ว่านางกับอู๋จุนกำลังจะไปยังสถานที่แห่งใด พวกเขาเดินอย่างไร้จุดหมาย
ซูจิ่นซีเปิดความถี่อาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด ทั้งยังเปิดระบบถอนพิษให้อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด
นางคิดว่า แทนที่จะนั่งรอความตายอยู่ที่เดิม มิสู้เดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาวิธีทำลายค่ายกลภาพมายานี้
พวกเขาค่อยๆ เดินเข้าไปภายในถ้ำ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เสียงที่อาคมกำไลปี่อั้นตรวจจับได้นั้น นอกจากเสียงของงู หนูแมลง และยุงแล้ว เหมือนจะมีอีกเสียงหนึ่ง
ทว่าเสียงนั้น…
ซูจิ่นซีค่อยๆ หลับตาลง และตั้งสมาธิเพื่อฟังเสียง
เสียงนั้นวังเวงยิ่งนัก ทั้งยังทอดยาวออกไป เมื่ออยู่ภายในถ้ำที่มืดมิดและเงียบสงัดเช่นนี้ สามารถได้ยินเสียงสะท้อนที่ดังเข้ามาทุกทิศทาง ราวกับเสียงร้องเรียกของดวงวิญญาณในขุมนรก
บางครั้งเสียงนั้นเหมือนอยู่ไกลจากพวกเขา บางครั้งก็เหมือนอยู่ใกล้พวกเขามาก
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘เคร้ง เคร้ง’ เป็นเสียงของโซ่เหล็กซึ่งแฝงไว้ด้วยพลังอันหนาวเหน็บ สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปในทันที นางรีบลืมตาและดึงร่างของอู๋จุนหลบไปด้านข้าง
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ซูจิ่นซีดึงร่างอู๋จุนหลบไปด้านข้าง วินาทีนั้น โซ่เหล็กสีดำทะมึน ทั้งยังมีสภาพเก่าไปตามกาลเวลาก็โผล่ออกมาจากส่วนลึกภายในถ้ำราวกับงูวิเศษ มันพุ่งมายังจุดที่ซูจิ่นซีกับอู๋จุนยืนอยู่เมื่อครู่ และทะลวงไปยังทิศทางตรงข้าม
อู้…
อันตรายมาก!!
อันตรายมากจริงๆ !!!
โชคดีที่ซูจิ่นซีมีอาคมกำไลปี่อั้น และโชคดีที่อาคมกำไลปี่อั้นพัฒนาจนถึงขั้นที่สี่ มันสามารถเพิ่มระดับประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้ใช้ได้ ทำให้ซูจิ่นซีได้ยินในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ได้ยิน ไม่เช่นนั้น เมื่อครู่พวกเขาคงต้องนอนตายอยู่ตรงนั้น เพราะถูกโซ่เหล็กโจมตีทะลุหน้าอก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ภายในถ้ำมีเสียงโซ่เหล็กทะลุผ่านแผ่นหิน และเสียงดึงรั้งปลายทั้งสองข้างของโซ่
ซูจิ่นซีกับอู๋จุนเห็นโซ่เหล็กสีดำส่องประกายไอดำทะมึน ทำให้สันหลังของพวกเขาเย็นวาบ หน้าผากผุดเม็ดเหงื่อออกมาจำนวนมาก
พวกเขาสบตากัน ประกายความโชคดีพลันเผยให้เห็นในดวงตาของคนทั้งสอง
ทว่ายามนี้ โซ่เหล็กเส้นนั้นราวกับถูกพลังแข็งแกร่งบางอย่างกระทบจนเกิดเสียงดังสนั่น ทันใดนั้น โซ่เหล็กก็ขาดสะบั้น
ปลายด้านหนึ่งของโซ่ตกกระแทกพื้น ทำให้ภายในถ้ำเกิดแรงสั่นสะเทือน สิ่งที่น่าสะพรึงคือ บนพื้นปรากฏรอยแตกเป็นหลุมลึก
ปลายอีกด้านหนึ่งยืดออกไป โซ่เหล็กราวกับมีดวงตา มันพุ่งเข้าหาซูจิ่นซีกับอู๋จุน
ปฏิกิริยาแรกของอู๋จุนคือ รีบออกมายืนด้านหน้าซูจิ่นซี เพื่อปกป้องนาง
ทว่ายามนี้อู๋จุนได้รับบาดเจ็บ เขาไม่มีทางป้องกันได้แน่นอน!
ทันทีที่อู๋จุนพุ่งตัวออกมา ซูจิ่นซีก็ยื่นมือออกมารั้งตัวอู๋จุนไว้ ด้วยการหมุนตัวที่คล่องแคล่ว นางเปลี่ยนตำแหน่งมายืนอยู่ด้านหน้าอู๋จุน และจับโซ่เหล็กอันทรงพลังไว้แน่น
ภายในถ้ำที่เงียบสงัด เสียงดึงรั้งโซ่เหล็กด้วยพลังที่แข็งแกร่งจากทั้งสองฝั่งพลันดังขึ้นอีกครั้ง