สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 19 ตอนที่ 561 พวกเขาจะสังหารฮ่องเต้อย่างข้า
ฉินเทียนเกลี้ยกล่อมเยี่ยโยวเหยาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ท่านพี่ ขอร้อง ท่านกลับไปเถิด! ข้าจะไปตามหาซูจิ่นซี ข้ารับรองว่าหากตามหาซูจิ่นซีไม่พบ ข้าจะนำศีรษะตนเองมามอบให้ท่านแทน! ท่านกลับไปเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยามองฉินเทียนด้วยแววตาลึกซึ้ง และแน่วแน่ไม่สั่นคลอน
เขายังยืนยันคำพูดเดิม ใช่ว่าเขาไม่เชื่อฉินเทียน ทว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าซูจิ่นซีอยู่ที่ใดในหัวใจของเขา เขาสามารถเดิมพันด้วยสิ่งของทุกอย่าง ทว่าซูจิ่นซี… เขาไม่กล้า ไม่เคยกล้า
“บอกหลานเสวียนหมิง ข้ามอบเมืองเยวี่ยหยางไว้ในมือเขาเป็นเวลาสามวันนี้ เขาต้องปกป้องรักษาเมืองไว้ให้ได้”
พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของฉินเทียนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาไล่ตามหลังเยี่ยโยวเหยาไปทันที
“ท่านพี่ หากตระกูลหนานกงก่อกบฏขึ้นจริงจะทำอย่างไร? หากตระกูลหนานกงมาถึงชายแดนจะทำอย่างไร? พวกเขามีวิชาเรียกสัตว์ร้าย พวกเราไม่สามารถรับมือได้! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่หยุดหรือลดความเร็วแม้แต่น้อย
เสียงของเขามีพลังทะลุทะลวงผ่านความมืดยามค่ำคืน
“ขัดขวางไม่ได้ก็ต้องขัดขวาง นี่เป็นคำสั่ง! ”
ในที่สุดฉินเทียนก็หยุดเคลื่อนไหวด้วยความอ่อนแรง เขาหลับตาลงอย่างเหน็ดเหนื่อย และค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้วว่า สิ่งใดคือสาเหตุที่ทำให้จิตใจของเขาไร้เรี่ยวแรงในขณะนี้
เขาไม่อาจเกลี้ยกล่อมเยี่ยโยวเหยาได้ และไม่มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวเยี่ยโยวเหยาได้เลย
ใช่ว่ามีเพียงหญิงงามที่จะนำไปสู่หายนะ ทว่าวันหนึ่ง เมื่อบุรุษแห่งจักรวรรดิต้าฉินมีความรัก มันช่าง… น่ากลัวมากจริงๆ
เวลานี้ ถ้ำแห่งหนึ่งในแคว้นหนานหลี ซูจิ่นซีที่ควรถูกฝังตลอดกาลในซากปรักหักพังของถ้ำ นึกไม่ถึงว่ายังโชคดีมีชีวิตรอดมาได้
ทว่าไม่ได้มีนางเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิต ยังมีอู๋จุนอีกด้วย
สัตว์เทพกิเลนใช้เปลวเพลิงกิเลนจัดการกับเฒ่าประหลาดผู้ที่มีโซ่เหล็กล่ามไว้ เปลวเพลิงกิเลนได้ล้อมเฒ่าประหลาดไว้ตรงกลาง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพลังมหาศาล หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ร่างกายคงแตกสลายไม่เหลือซาก
ต่อให้เป็นเยี่ยโยวเหยา ก็คงเสียชีวิตไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฒ่าประหลาดไม่เพียงรอดชีวิต ทว่าเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พลังของเขายิ่งใหญ่เพียงใดกัน?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีและอู๋จุนยังไม่มีกะจิตกะใจจะมาครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้
ก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ถ้ำถล่มลงมา เฒ่าประหลาดได้หลบหนีเอาตัวรอด ทั้งยังช่วยซูจิ่นซีกับอู๋จุนออกมาด้วย
เวลานี้ เฒ่าประหลาดกำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้อู๋จุนและซูจิ่นซี
ไม่รู้ว่าวิชาที่เฒ่าประหลาดฝึกฝนนั้นคือวิชาอันใด ซูจิ่นซีและอู๋จุนฟื้นแล้ว ทว่าพวกเขาไม่สามารถขยับตัวหรือพูดสิ่งใดได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ เฒ่าประหลาดเก็บพลังกลับไป ซูจิ่นซีและอู๋จุนจึงสามารถเคลื่อนไหวได้
ครั้งแรกที่พบว่าตนเองสามารถขยับตัวได้ ซูจิ่นซียืนขึ้นทันที นางยืนอยู่เบื้องหน้าเฒ่าประหลาด ทั้งยังแสดงท่าทางต่อต้านเฒ่าประหลาดอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าผู้นี้ต้องการสังหารนาง ผู้ใดจะรู้ว่าเขารักษาอาการบาดเจ็บให้พวกนางเพื่ออันใด?
เฒ่าประหลาดมีวรยุทธ์ที่ทรงพลังยิ่งนัก นางต้องป้องกันไว้ก่อน
โดยไม่คาดคิด หลังจากเฒ่าประหลาดเก็บพลังกลับไป ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ทั้งยังมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางแปลกๆ
“ซีจือ… ซีจือ! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาอยู่เคียงข้างฮ่องเต้อย่างข้าแล้ว! ”
“ฮ่องเต้อย่างข้า? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น พยายามจับประเด็นสำคัญในคำพูด
นางหันไปมองอู๋จุน พบว่าอู๋จุนก็มีท่าทีงุนงงเช่นกัน
การกระทำและการแสดงออกของเฒ่าประหลาดนั้นดูผิดปกติและน่าขบขัน ไม่เหมือนเฒ่าประหลาดก่อนหน้านี้ที่ถูกล่ามโซ่ทั้งยังดุร้าย แต่ดูเหมือนเด็กน้อยมากกว่า
เขามองมาที่ซูจิ่นซีตลอดเวลา และค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ซูจิ่นซี
“ซีจือ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา พวกเขา… พวกเขาคิดจะชิงบัลลังก์ คิดจะสังหารฮ่องเต้อย่างข้า ข้าไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่ ข้าจะไม่ปล่อยพวกเขา! ”
เมื่อพูดเช่นนั้น ไอสังหารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ราวกับเด็กน้อย
คำพูดเหล่านั้นของเฒ่าประหลาด ทำให้ซูจิ่นซีเกิดความสงสัย คาดเดา และครุ่นคิดอยู่ในใจ ทว่าอู๋จุนไม่สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขากังวลที่สุด ใส่ใจที่สุด และให้ความสำคัญที่สุดก็คือ ซูจิ่นซี
ดังนั้น เมื่อเขารู้สึกว่าร่างกายตนเองฟื้นฟูแข็งแรงดีแล้ว สามารถยืนและเดินได้อย่างอิสระ สิ่งแรกที่เขาทำคือรีบไปอยู่ข้างกายซูจิ่นซี
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ในถ้ำ แม้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ทั้งการรับรู้ยังเลือนรางอยู่บ้าง ทว่าเขารู้สึกได้ว่าแม่นางพิษน้อยของเขาได้รับบาดเจ็บและอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกด้วย
ซูจิ่นซีเพิ่งได้สังเกตตนเอง นางพบว่าลมหายใจที่ติดขัดเริ่มมั่นคงขึ้น ทั้งกระดูกที่หักก็ประสานกันดีแล้ว
แม้จะประหลาดใจและสงสัยอยู่บ้าง ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้แสดงออกมากเกินไปนัก นางดึงแขนของอู๋จุนมาตรวจชีพจร
อย่างไรก็ตาม แม้ร่างกายของอู๋จุนจะยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ ทว่าก็เหมือนนางที่ฟื้นฟูได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว นางจึงวางใจ
“ข้าไม่เป็นอันใด! ”
ซูจิ่นซีหันไปมองเฒ่าประหลาดที่อยู่ตรงหน้า
“แหะ แหะ ซีจือ… ซีจือ… ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก ซีจือ! ”
เฒ่าประหลาดที่ราวกับเด็กน้อย ยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสใบหน้าของซูจิ่นซี
อู๋จุนปัดมือของเฒ่าประหลาด “เอามือสกปรกของเจ้าออกไป หากกล้าเสียมารยาทกับแม่นางพิษน้อย ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าแน่นอน”
อู๋จุนพูดพลางยกกำปั้นขึ้น เตรียมต่อสู้กับเฒ่าประหลาดอย่างไม่คิดชีวิต
เฒ่าประหลาดตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะหลบอยู่ด้านหลังซูจิ่นซีเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหวาดกลัว
“ซีจือ เขา… พวกเขาต้องการสังหารฮ่องเต้อย่างข้า! สังหารเขา สังหารพวกเขา! ”
อู๋จุนคิ้วกระตุกอย่างแรง เขาพับแขนเสื้อขึ้น พลางคว้ามือของเฒ่าประหลาดและลากมาอยู่ด้านหน้าตนเอง
“วัวแก่คิดจะเคี้ยวหญ้าอ่อนหรือ? เสแสร้งทำอันใด? แก่ถึงเพียงนี้แล้วยังเสแสร้งอีก ไม่รู้จักอายบ้างหรือ ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้! ”
“ซีจือ ซีจือ! พวกเขาต้องการสังหารฮ่องเต้อย่างข้า พวกเขาต้องการสังหารข้า ซีจือ เจ้าอย่าทิ้งข้าไป ซีจือ… ”
เฒ่าประหลาดหลบอยู่ด้านหลังซูจิ่นซี มือข้างหนึ่งจับแขนของซูจิ่นซีไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำตาไหลอาบแก้มราวกับเด็กน้อย ทั้งเท้ายังสั่นเทา
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
เฒ่าประหลาดที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีดุร้าย หายไปไหนแล้ว?
เฒ่าประหลาดผู้นั้นที่ต่อสู้กับเปลวเพลิงกิเลน หายไปไหน?
แม้อู๋จุนจะดึงรั้งเฒ่าประหลาดอย่างดุดัน ทว่าในใจของเขากลับเกิดความสงสัย
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีคิดอันใด นางจับมืออู๋จุน “อย่าได้ถือสาหาความกับเขามากนัก เขาคงเป็นบ้าไปแล้วกระมัง? ”
ซูจิ่นซีพูดพลางจับแขนของเฒ่าประหลาดอย่างรวดเร็ว และตรวจจับชีพจรบนข้อมือของเขา
อู๋จุนเห็นมือของซูจิ่นซีจับอยู่ที่ข้อมือของเฒ่าประหลาด ท่าทางของเขาพลันเปลี่ยนไป “แม่นางพิษน้อย ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าเฒ่าประหลาดน้อยจะแสร้งทำหรือไม่ ระวังเป็นแผนหลอกลวง”
ซูจิ่นซีไม่ตอบ นางจับชีพจรที่ข้อมือของเฒ่าประหลาดอยู่นาน ทั้งยังขมวดคิ้วแน่น
“ไม่ หากข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะเป็นมู่หรงอวิ๋นไห่ ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลีที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
“มู่หรงอวิ๋นไห่? ”
อู๋จุนตกตะลึง เขาหันไปมองใบหน้าของเฒ่าประหลาดที่ถูกบดบังด้วยเส้นผมรกรุงรัง พลางจ้องมองด้วยความสงสัย