สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 19 ตอนที่ 564 ถอนพลังภายในกลับไม่ได้ ซูจิ่นซี
ความเย็นชาที่มู่หรงอวิ๋นไห่มีต่อซูจิ่นซี ยิ่งทำให้นางยึดมั่นในการหาสาเหตุการตายของมารดาตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ่นซีไม่ได้คาดหวังอันใดกับมู่หรงอวิ๋นไห่มากนัก
เพราะไม่เคยมี จึงไม่คาดหวัง
ไม่ว่าจะเป็นซูจิ่นซีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หรือเจ้าของร่างเดิม ต่างก็สูญเสียบุพการีไปตั้งแต่ยังเล็ก แนวคิดเกี่ยวกับบิดามารดาเป็นเช่นไรนั้น ช่างเลือนลางยิ่งนัก
หากมู่หรงอวิ๋นไห่ต้องการเข้ามากอดคอและร้องห่มร้องไห้กับซูจิ่นซี นางก็ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว! แม้ภายในใจจะรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ก็ตาม
ซูจิ่นซีไม่อยากนึกถึงเรื่องเหล่านี้อีก นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงคิดหาทางออกไปจากที่นี่
หากเดาไม่ผิด สถานที่แห่งนี้ต้องเป็นทางขึ้นภูเขาสมุนไพรอีกด้านหนึ่งในดินแดนต้องห้ามสกุลจงเป็นแน่
ภาพลวงตาก่อนหน้านี้ ไม่ได้สร้างไว้เพื่อจัดการพวกเขา ทว่าเป็นพวกเขาเองที่บังเอิญเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพลวงตานั้นคงมีไว้เพื่อปกปิดสถานที่แห่งนี้
ดังนั้น การออกไปจากที่นี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เฝ้ามู่หรงอวิ๋นไห่เป็นคนของแคว้นไหวเจียง พวกเขาต้องใช้สารพิษปกป้องทางออก และใจกลางถ้ำต้องมีพิษแน่นอน
ซูจิ่นซีต้องหาสารพิษให้พบก่อน จากนั้นจึงอาศัยตำแหน่งและปริมาณของสารพิษเป็นตัวกำหนดว่าทางใดคือทางออก
นอกจากนั้น การใช้อาคมกำไลปี่อั้นตรวจสอบความชื้นและอุณหภูมิภายในถ้ำ ตลอดจนทิศทางของลม ก็สามารถช่วยนางได้มากทีเดียว
ซูจิ่นซีกำลังตั้งสมาธิกับการใช้อาคมกำไลปี่อั้นและระบบถอนพิษเพื่อค้นหาทางออก ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นไห่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้านหลัง ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นางหนู เจ้ามาทางนี้! ”
มือของซูจิ่นซีที่กำลังกำดินอยู่พลันหยุดชะงัก นางไม่ได้หันกลับไป และไม่ได้ตอบรับ
“มาทางนี้! ” มู่หรงอวิ๋นไห่ใช้เสียงที่ดุดันกว่าเดิม
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับไป นางมีท่าทีเย็นชาและจงใจใช้น้ำเสียงห่างเหิน “ฝ่าบาทมีอันใดหรือเพคะ? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับตน เขาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“มาทางนี้ ข้าจะสอนวรยุทธ์ให้เจ้า”
เขาจะสอนวรยุทธ์ให้ซูจิ่นซี?
ซูจิ่นซีอดประหลาดใจไม่ได้ ทว่านางกลับปฏิเสธ
“ในเมื่อพบกันโดยบังเอิญ หม่อมฉันคงมิกล้ารบกวนฝ่าบาท อีกอย่าง ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการหาทางออกไปจากที่นี่ ไม่ควรเสียเวลาไปกับเรื่องนี้เพคะ”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็ค้นหาทางออกต่อ
ใบหน้ามู่หรงอวิ๋นไห่พลันบึ้งตึง เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “เป็นถึงพระธิดาของมู่หรงอวิ๋นไห่ จะมีวรยุทธ์ย่ำแย่เช่นเจ้าได้อย่างไร? มานี่! ”
นี่เป็นการยอมรับกลายๆ ว่าซูจิ่นซีเป็นบุตรสาวหรือไม่?
ทว่าหัวใจของซูจิ่นซีกลับไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
นางไม่ได้แสดงท่าทีอันใด และไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงนิ่งเงียบและค้นหาทางออกต่อ
มู่หรงอวิ๋นไห่ขมวดคิ้วอย่างหนัก ทันใดนั้น เขาก็เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าเขาใช้กระบวนท่าใด เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ห่างจากซูจิ่นซีมาก ทว่ากลับใช้พลังภายในดึงตัวซูจิ่นซีให้มาอยู่ตรงหน้า
ซูจิ่นซีมีท่าทีเปลี่ยนไป นางต้องการขัดขืน ทว่ามือทั้งสองของนางกลับถูกพลังภายในของมู่หรงอวิ๋นไห่ตรึงไว้แน่น
“วรยุทธ์เท่าหางอึ่ง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ข้าจะไม่เสียเกียรติหรือ? ”
ซุจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นควบคุม
“เรื่องนี้มีเพียงหม่อมฉัน ฝ่าบาท และอู๋จุนเท่านั้นที่รู้ ตราบใดที่ไม่พูดเรื่องนี้ ผู้ใดจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดของหม่อมฉันกับพระองค์ อีกอย่าง มันเป็นเพียงความสัมพันธ์ทางสายเลือด หม่อมฉันหาได้สนใจไม่ ฝ่าบาทก็คงคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้น พระองค์อย่าได้ใส่พระทัยเลยเพคะ”
เคราที่มุมปากของมู่หรงอวิ๋นไห่กระตุก “เจ้าคิดว่า เมื่อต้องการหนีจากความสัมพันธ์ทางสายเลือด ก็จะหนีได้หรือ? หึ! ”
ทันทีที่พูดจบ มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ไม่รอให้ซูจิ่นซีได้พูดอันใด เขายกซูจิ่นซีขึ้นกลางอากาศ
แสงสีขาวนวลราวกับน้ำนมพุ่งออกมาจากฝ่ามือของมู่หรงอวิ๋นไห่ และค่อยๆ ไหลผ่านเข้าสู่ร่างของซูจิ่นซี
ร่างของซูจิ่นซีที่ลอยอยู่กลางอากาศ สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นพลัง ผสานเข้ากับพลังเดิม พลังนั้นไหลผ่านแขนและขา หมุนวนไปตามเส้นลมปราณ และมารวมตัวกันที่จุดตันเถียน
แม้จะไม่เก่งกาจด้านวรยุทธ์ ทว่าในฐานะหมอ ซูจิ่นซีย่อมรู้ดีว่า เวลานี้ นางไม่ควรทำอันใดบุ่มบ่าม เพราะมันอาจส่งผลต่อการถ่ายทอดพลังภายในระหว่างนางกับมู่หรงอวิ๋นไห่ และทำให้พลังเกิดการย้อนกลับ เส้นลมปราณสับสน ผลลัพธ์อาจเลวร้ายจนไม่สามารถคาดเดาได้
พลังภายในไหลเข้าสู่ร่างซูจิ่นซีมากขึ้น นางรู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งแกร่ง ตำแหน่งจุดตันเถียนถูกเติมเต็มอย่างเชื่องช้า ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยพลัง
อย่างไรก็ตาม พลังนั้นกลับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของนางใกล้จะระเบิด ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดและกระวนกระวายใจ
นางต้องการส่งเสียงออกมาเพื่อห้ามมู่หรงอวิ๋นไห่ ทว่านางไม่สามารถทำได้ เมื่ออ้าปากพูดกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ซูจิ่นซีร้อนใจอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่านางถูกสลักจุดใบ้ พลังภายในส่งผลกระทบต่อจุดฝังเข็มของนางเรียบร้อย
สถานการณ์ในตอนนี้ นางต้องหยุดมู่หรงอวิ๋นไห่ไม่ให้ถ่ายโอนพลังภายในเข้าสู่ร่างกายของนาง ไม่เช่นนั้น ผลที่ตามมาคงเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด
ซูจิ่นซีกังวลมาก นางทำท่าทางเป็นสัญญาณเตือนมู่หรงอวิ๋นไห่อย่างต่อเนื่อง ทว่าเขามองไม่เห็น อู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านข้างเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของซูจิ่นซี จึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดมู่หรงอวิ๋นไห่
“ฮ่องเต้มู่หรง แม่นางพิษน้อยไม่อาจรับพลังภายในของท่านได้ ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ รีบยั้งมือเถิด”
อู๋จุนพรวดพราดเข้าไป เขายังไม่ทันได้สัมผัสตัวมู่หรงอวิ๋นไห่และซูจิ่นซี ก็ถูกพลังที่ปกคลุมพวกเขาทั้งสองกระแทกจนกระเด็นออกมา
ในที่สุด มู่หรงอวิ๋นไห่ก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาขมวดคิ้วมุ่น และต้องการหยุดยั้งพลังภายใน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ร่างกายของซูจิ่นซีกลับมีพลังภายในอันทรงอานุภาพ มันกำลังดูดซับพลังภายในของเขาโดยที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
“รีบยั้งมือเถิด รออันใดอยู่? ” อู๋จุนตะโกนอย่างเป็นกังวล
มู่หรงอวิ๋นไห่ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อหยุดมัน ทว่าเขาหยุดไม่ได้ นี่… มันเกิดอันใดขึ้น?
ซูจิ่นซีใบหน้าซีดขาว พลังภายในร่างกายหมุนเวียนแปรปรวนต่อเนื่องไม่หยุด นางไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้
นางรู้สึกเพียงว่า พลังทั้งหมดในร่างไปรวมกันที่จุดตันเถียน จากนั้นก็ควบแน่นไปที่ตำแหน่งกระดูกสันหลัง
กระดูกสันหลังทั้งหมดร้อนผ่าวราวกับเปลวเพลิง มันแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นางทรมานยิ่งนัก นี่มัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
อู๋จุนยืนอยู่ใต้ร่างของซูจิ่นซี แม้เขาจะเข้าใกล้นางไม่ได้ ทว่าเขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของนางได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้น เขาก็เบิกตากว้าง พลางจ้องไปยังแผ่นหลังของซูจิ่นซี
“แม่นางพิษน้อย เจ้า…เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่มองเห็นความผิดปกติของซูจิ่นซีเช่นกัน
ชุดที่ซูจิ่นซีสวมอยู่ไม่บางมากนัก ทว่าผ้าเนื้อหนากลับปรากฏลวดลายของกิเลนสองตัวที่เหยียบอยู่บนดอกปี่อั้นสีแดง ราวกับมันจะปะทุออกมาจากร่างของซูจิ่นซี
ทันใดนั้น ลำแสงก็แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้ถ้ำที่มืดสลัว สว่างเหมือนยามกลางวัน
หลังจากนั้น ไม่ได้มีเพียงลวดลายกิเลนบนบั้นท้ายของซูจิ่นซีเท่านั้นที่กำลังเรืองแสง ทั่วทั้งร่างกายของนางก็เรืองแสงเจิดจ้าเช่นกัน
มู่หรงอวิ่นไห่ตกตะลึงกับแสงสว่างนั้น ซูจิ่นซีอยู่ท่ามกลางแสงสว่างราวกับเปลวเพลิงหงส์ แสงสว่างห่อหุ้มร่างของนางให้ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ แสงรอบตัวนางเจิดจ้าดั่งเปลวเพลิงที่ลุกโชน